อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพุธที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2560

มุสตอฟา เคมาล อตาร์เตอร์ค ผู้โค่นล้มอาณาจักรอิสลามอุษมานียะห์






มุสตอฟา เคมาล อตาร์เตอร์ค ได้ชื่อว่าบิดาแห่งยุคทันสมัยของตุรกี แต่จริงๆแล้วเขาคือผู้ที่โค่นล้มอาณาจักรอิสลามอุษมานียะห์ ในปีค.ศ.1924 ทำให้อาณาจักรอิสลามที่ยืนยงมาถึง 595 ปีต้องล่มสลายลง

ฉายาอตาร์เตอร์ค มีความหมายว่า บิดาของตุรกี เขาเกิดเมื่อปี ฮ.ศ.1299(ค.ศ.1880) ที่เมืองซาโลนีก้า ประเทศกรีก ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองขึ้นของคอลีฟะห์อุษมานียะห์ พ่อของเขาชื่อว่า อลี รีฎอ อัฟฟันดี้ ซึ่งทำงานเป็นศุลกากร ผู้ช่วยคนสนิทของมุสตอฟา เคมาล กล่าวว่า

“มุสตอฟา มาจากเชื้อสายชาวยิว ปู่ย่าตายายของเขา คือ ยิวที่อพยพมาจากสเปน มาอยู่ที่ซาโลนีก้า “ ยิวกลุ่มนี้มีชื่อเรียกว่า ยิวเดานามะห์ ซึ่งมีอยู่ 600 ครอบครัว พวกเขารับอิสลามในปี 1683 แต่ว่าพวกเขายังคงนับถือศาสนายาฮูดีอย่างลับๆ นั่นหมายความว่า มุสตอฟา เคมาล เป็นอิสลามแต่เพียงในนาม แต่ที่จริงแล้วเขาเป็นยิว
เขาได้เข้าเรียนในโรงเรียนทหารตั้งแต่อายุ 12 ปี และในปี 1855 เขาได้เข้าวิทยาลัยวิชาทหารที่ โมนาซิตาร์ ปี 1905 เขาเข้าเรียนต่อทางทหารอีกที่อิสตันบูลและจบในปี 1907 หลังจากนั้นเขาได้เข้าประจำการที่ค่ายทหารบาตัลเลี่ยน ที่ซาโลนีก้า

ที่นี่เองที่เขาได้เริ่มปลุกปั่นเพื่อนทหารให้มีความคิดต่อต้านระบบคอลีฟะห์และการปกครองระบบอิสลาม

เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของตุรกี โดยความช่วยเหลือของอังกฤษ ในสมัยของเขาได้ทำการเปลี่ยนแปลงอิสลามในตุรกี อันเป็นประวัติศาสตร์ที่ด่างดำต่ออิสลาม สิ่งที่เขาทำคือ

-ให้ผู้หญิงคลุมฮิญาบได้ แต่มีเงื่อนไขคือต้องนุ่งกะโปรง
-ให้ผู้ชายนุ่งกางกงขายาว แต่มีเงื่อนไข คือ ต้องผูกเน็คไทค์และใส่หมวกปีก(แบบตะวันตก)
-เขากล่าวว่าประเทศชาติจะทันสมัยไม่ได้ หากคนในชาติยังแต่งกายแบบโบราณ(แบบอิสลาม)
-อนุญาติให้มีการดื่มสุราได้อย่างเปิดเผย
-ให้พิมพ์อัลกุรอานเป็นภาษาตุรกี โดยไม่มีภาษาอาหรับ
-เปลี่ยนการอาซานเป็นภาษาตุรกี
-เปลี่ยนแปลงในภาษาตุรกี โดยให้ตัดคำทับศัพท์ภาษาอาหรับและภาษาเปอร์เชียออกไป
-นำเอาสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกมาใช้แทนสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม


เขาได้พูดต่อหน้าสาธารณชนในเมืองเบอลิเกอร์ซิร ว่าจำเป็นต้องแยกศาสนาออกจากเรื่องทางโลก รวมถึงการเมือง และจำเป็นต้องลบล้างศาสนาออกไปเพื่อให้เกิดความเจริญ โดยสรุปในคำปราศรัยของเขา คือ “ไม่มีศาสนาในการเมือง และก็ไม่มีการเมืองในศาสนา” และถอดเอาศาสนาอิสลามออกจากการเป็นศาสนาประจำชาติ

เขาสร้างระบบการแต่งงานแบบจดทะเบียนตามกฎหมายตะวันตก

เปลี่ยนมัศยิดอยาโซเฟีย ให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ และยังเปลี่ยนมัศยิดหลายแห่งให้กลายเป็นโบสถ์

ปิดมัศยิดและห้ามทำการละหมาดรวมกันเป็นญามาอะห์

เลิกกระทรวงเอากอฟ(สวัสดิการ)และปล่อยทิ้งเด็กกำพร้าและอนาถา รวมถึงคนยากจน

เลิกการรับมรดกตามกฎหมายอิสลาม

ยกเลิกปฎิทินอิสลามและเปลี่ยนแปลงตัวเลขภาษาอาหรับเป็นตัวเลขภาษาลาติน


เขามีความคิดใฝ่สูงว่าเขามีความยิ่งใหญ่เปรียบเสมือนฟิรอูน เขาเคยถามทหารใต้บังคับบัญชาว่า “พระเจ้า คือ ใคร และไหนล่ะพระเจ้า” ด้วยความหวาดกลัวทหารนั้นได้ตอบว่า “เคมาล อตาร์เตอร์ค คือ พระเจ้า” เขายิ้มด้วยความภาคภูมิใจในคำตอบนั้น
การตายของเคมาล อตาร์เตอร์ค

เขาป่วยเป็นโรคประหลาดทำให้คันไปทั่วร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทำให้ความดันโลหิตสูง และมีไข้ขึ้นตลอดเวลา เขามีความร้อนขึ้นสูงตลอด จนต้องสั่งให้ดับเพลิงมาฉีดน้ำที่บ้านเขาตลอด 24 ชั่วโมง และสั่งให้คนรับใช้นำเอาน้ำแข็งมาใส่ไว้ในผ้าห่มของเขาตลอด

มหาบริสุทธิ์พระองค์อัลเลาะฮ์ ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ตาม ความร้อนนั้นก็ไม่ลดลงเลย จนกระทั่งเขากรีดร้องจนได้ยินไปทั่วพระราชวัง คนใช้ได้นำเขาใส่ในเรือและไปทิ้งไว้กลางทะเล โดยหวังว่าจะทำให้เขาเย็นลงบ้าง
ในที่สุดเมื่อวันที่ 26 กันยายน 1938 เขาได้สลบไปเป็นเวลา 48 ชั่วโมง เนื่องจากความร้อนขึ้นสูงเกินไป หลังจากนั้นเขาฟื้นขึ้นมาอีกทีแต่ก็สูญเสียความทรงจำ ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 1938 เขาได้สลบไปอีกเป็นเวลา 36 ชั่วโมง จนในที่สุดเขาได้เสียชีวิตลง

ในตอนที่เขาเสียชีวิต ไม่มีสักคนที่มาอาบน้ำศพให้เขา กาฝั่น หรือมาละหมาดให้เขา

ยิ่งไปกว่านั้นอัลเลาะฮ์ได้ทำการอาซาบลงโทษ ในตอนที่มายัตของเขาจะถูกฝัง แผ่นดินไม่ยอมรับ(ไม่ทราบชัดเจนว่าเป็นแบบใด) ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับศพของเขา จึงได้ทำการแช่แข็งไว้และเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ชื่อว่า เอทนากราฟฟี่ เป็นเวลาถึง 15 ปี จนกระทั่งปี 1953 จึงได้นำศพของเขามาฝังอีกครั้งหนึ่ง แต่อัลเลาะฮ์ก็ได้แสดงพลังอำนาจอีกครั้งหนึ่งแผ่นดินไม่ยอมรับศพของเขา เมื่อหมดความสามารถจึงได้นำศพของเขาไปยังภูเขาลูกหนึ่งและก่อหินอ่อนและฝังไว้ใต้หินอ่อนนั้นที่หนักถึงถึง 44 ตัน

บรรดาอุลามะห์ในตุรกีได้กล่าวว่าอย่าว่าแต่แผ่นดินตุรกีเลย แผ่นดินทั่วทั้งโลกนี้ก็ไม่ยอมรับศพของเคมาล อตาร์เติร์ค


นั่นคือ อาซาบสำหรับคนที่ต่อต้านศาสนาของอัลเลาะฮ์ ยังไม่รวมถึงการลงโทษที่เขาจะได้รับในวันอาคิเราะห์ นั่นคือสิ่งที่สาสมสำหรับคนมุรตัดเคมาล อตาร์เติร์ค หวังว่าเรื่องนี้คงเป็นอุธาหรณ์สำหรับผู้ที่คิดจะต่อต้านอิสลามได้สังวรณ์ไว้

ที่มา: ดาบแห่งอัลเลาะห์ แอนตี้ไซออนิสต์


ข้อคิด


1. หญิงมีผ้าคลุมไปทำงาน,ไปเรียนแต่ใส่กระโปร่งบวกเสื้อใส่ใน


2. เขียนคำอ่านกุรอานด้วยภาษาอังกฤษ,ไทย


3. การไม่ใช้ทับศัพเช่นใช้ศิริมงคลแทนบารอกะห์


4. การตั้งขื่อที่ไม่ใข่อารับเช่นดอเลาะห์,ดลเลาะ,ย่าสาด,ร่อหมานหรือชื่อไทยไปเลย


สงสัยว่า?นี่เราเข้าแผนการทำลายล้างอิสลามไม่?







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น