ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"แท้จริงสุสาน (กุโบรฺ) คือสถานที่พักแห่งแรกหลังความตาย ดังนั้น ถ้าหากเขารอดพ้นจากการทรมานในหลุมฝังศพ สิ่งที่จะตามมาหลังจากนั้น (ในวันกิยามะฮฺ) ก็ย่อมง่ายดายขึ้น แต่ถ้าหากเขาไม่รอดพ้นจากมัน สิ่งที่จะเจอในภายหลังจากนั้นก็ย่อมหนักกว่า" (หะซัน เศาะเฮียะฮฺสุนัน อัตตัรมีซี, จากอุษมาน บินอัฟฟาน, หะดิษเลขที่ 1878)
มีในหะดีษบทหนึ่งกล่าวว่า
"ท่านอุษมาน บินอัฟฟาน เราะฎิยัลลอฮุอันฮู ครั้งหนึ่งท่านได้ยืนอยู่บนหลุมกุโบรฺ แล้วท่านก็ร้องไห้อย่างมากมาย จนกระทั่งเคราของท่านเปียกโชกด้วยน้ำตา มีคนถามท่านว่า "แม้ตอนที่กล้าวถึงสวรรค์ท่านยังไม่ร้องไห้ แต่ท่านจะมาร้องไห้เพราะกุโบรฺหลุมนี้กระนั้นหรือ ?"
ท่านจึงได้ตอบโดยยกคำกล่าวของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมข้างต้นมาเป็นเหตุผล
หนึ่งในวิธีการอบรมขัดเกลา (ตัรบียะฮฺ) ของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ต่อบรรดาเศาะฮาบะฮฺของท่านก็คือ ท่านจะอบรมพวกเขาให้เห็นความสำคัญของการร่วมนมาซให้กับศพ (มัยยิด) ไปเยี่ยมศพ ตลอดจนการไปร่วมฝังที่สุสานด้วย ทั้งนี้นอกจากรางวัลอันยิ่งใหญ่ที่จะได้รับจากอัลลอฮฺ ตะอาลา แล้ว ยังเป็นการสอนให้มนุษย์ฝึกฝนจิตใจตนเองให้สูงขึ้นด้วยการระลึกถึงความตายซึ่งทุกคนล้วนจะต้องประสบ ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สอนไว้ว่า
"ผู้ใดไปเยี่ยมศพและได้นมาซให้กับมัยยิดนั้น เขาจะได้รับผลบุญเท่า 1 กีรอต ส่วนผู้ใดที่มาเยี่ยม (ร่วมนมาซแล้วจึง) ฝังมัยยิด เขาจะได้รับผลบุญเท่า 2 กีรอต เมือ่ถูกถามว่า 2 กีรอตนั้นคืออะไร ? ท่านตอบว่า "เท่ากับภูเขาขนาดใหญ่ 2 ลูก" (1)
และในอีกหะดีษหนึ่งท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"พวกท่านทั้งหลายจงไปเยี่ยมสุสานเถิด เพราะแท้จริงมันทำให้ท่านระลึกความตาย" (2)
(1) ดู มุตตะศ็อรฺ เศาะเฮียะฮฺอัลบุคอรี, บทอัลญะนาอิช, หะดีษเลขที่ 666
(2) ดู มุตตะศ็อรฺ เศาะเฮียะฮฺมุสลิม, บทอัลญะนาอิช, จากอบูฮุร็อยเราะฮฺ หะดีษเลขที่ 495
.................................................
**** การเยี่ยมอย่างเป็นทางการ ****
รายการจากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮูอันฮู กล่าวว่า
ครั้งหนึ่งท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ไปเยี่ยมกุโบรฺผู้เป็นมารดาของท่าน (คือ นางอามินะฮฺ) ดังนั้นท่านก็ร้องไห้จนทำให้ (บรรดาศอฮาบะฮฺ) ผู้ที่อยู่รอบ ๆ พลอยร้องไห้ไปด้วย และท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า
"ฉันได้ขออนุญาตจากองค์อภิบาล ให้ฉันได้ขออภัยโทษให้แก่นาง แต่พระองค์ไม่ทรงอนุญาตแก่ฉัน และฉันได้ขออนุญาตอีกเพื่อจะได้เยี่ยมเยียนหลุมฝังศพของนาง ดังนั้นพระองค์ก็ได้ทรงอนุญาตให้แก่ฉัน ดังนั้นพวกท่านทั้งหลายจงไปเยี่ยมเยียนสุสานเถิด เพราะมันทำให้ระลึกถึงความตาย" (1)
การรักในดุนยาซึ่งเป็นโลกมายาอันแสนสั้น ย่อมทำให้มนุษย์นั้นตามืดบอด เขาถูกมอมเมาให้แสวงหามัน ทำทุกอย่างเพื่อมันจนลืมสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น
บางครั้งการเกลียดกลัวความตาย อาจทำให้มนุษย์เกิดความรู้สึกอยากจะลืมมันไปเสีย ซึ่งมันตรงข้ามกับคำสั่งเสียของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ว่า
"พวกท่านจงระลึกสิ่งมาทำลายความหรรษาทั้งหลายให้มากเถิด (นั่นคือ ความตายนั่นเอง)" (2)
ตัวอย่างที่บรรดาคนดีมีคุณธรรมได้ทำไว้ ส่งเสริมให้เรายึดเอาเป็นอุทธาหรณ์และเกิดความตระหนัก นั่นก็คือแบบอย่างแห่งการเยี่ยมสุสาน ทั้งนี้เพราะมันเป็นวิธ๊หนึ่งที่จะทำให้หัวใจของมนุษย์เกิดความอ่อนโยน และได้ตระหนักถึงวาระสุดท้ายของอายุขัย เป็นจุดจบของความอุตสาหะของมนุษย์ทุกคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนยุคปัจจุบันนี้อาจลืมไปว่า ในที่สุดก็เป็นบั้นปลายที่กลับสภาพไปสู่ความสูญสลายเน้าเปื่อยนั่นเอง
สิ่งที่บรรพชนอิสลามยุคต้นได้ปฏิบัติ ดูช่างน่าแปลกประหลาดและไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลยแม้แต่น้อยในความรู้สึกของเรา แต่ทั้งนี้เพราะในจิตใจของพวกเขามีความตระหนัก และเข้าใจในเป้าหมายของมัน พร้อมยำเกรงต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากความตายนั่นเอง
การเยี่ยมสุสาน ในทัศนะของชาวบ้านส่วนใหญ่ บางทีก็เป็นเพียงประเพณีที่ปฏิบัติกันเพื่อมารยาททางสังคม เช่น เมื่อญาติพี่น้องหรือคนรู้จักนับถือเสียชีวิตลงก็ไปเยี่ยม ส่วนโอกาสอื่นจากนี้แทบไม่มีเลย เมื่อวันเวลา เดิือน ปีผ่านพ้นไป ความรู้สึกต่าง ๆ นั้นก็ลบเลือนหายไปหมดสิ้น และกลับไปสู่ความเผลอเรอเช่นเดิมอีก
ท่านอิบรอฮีม อัลบะคออีย์ กล่าวว่า
"เมื่อมีญะนาซะฮฺ (ศพ) หนึ่งมา หรือเราได้ยินข่าวการตายของผู้ใด เหตุการณ์นั้นจะถูกพูดคุยตักเตือนกันอยู่ในหมู่พวกเราเป็นเวลาหลายวัน ทั้งนี้เพราะเราตระหนักแก่ใจอยู่ว่าการตายที่เกิดขึ้นกับเรานั้นคือการไปสู่สวรรค์ หรือไม่ก็ไปสู่นรกในขณะที่พวกท่านเมื่อมีญะนาซะฮฺฺเกิดขึ้นกลับมัวพูดคุยกันอยู่แต่เรื่องราวของดุนยา"
ฉะนั้นในทุกญะนาซะฮฺ หรือการตายที่เกิดึ้น ย่อมเป็นบทเรียนสอนใจและเตือนสติแก่ทุกคน ให้พวกเขาเข้าใจว่าสักวันหนึ่งชีวิตของตนเองก็ต้องเป็นไปเช่นเดียวกัน ให้เขามีความรู้สึกว่าวันนั้นตนเองก็จะถูกนำไปยังสุสานและฝังอยู่ในนั้นเหมือนกับญานะซะฮฺของคนอื่น ๆ เพื่อว่าเราจะได้ไม่เป็นดั่งคำกลอนอาหรับที่ว่า
"เรากลัวก็ต่อเมื่อเห็นญะนาซะฮฺเท่านั้น
แต่เมื่อมันผ่านลับไปเราก็เริงร่า
เช่นแกะที่กลัวการปรากฏตัวของหมาป่า
ครั้นเมื่อมันไม่มา ก็แทะเล็มหญ้าอย่างเพลิดเพลิน"
และคำกลอนอีกบทหนึ่งที่สอนไว้ว่า
"มนุษย์ช่างอยู่ในความเผลอเรอ ความตายเท่านั้นคือผู้ปลุก
เพราะเขาจะไม่ยอมตื่นจนกว่าวิญญาณจะออกจากร่าง
ทุกคนต่างมาเยี่ยมเยียนญะนาซะฮฺของญาติมิตรที่จากลา
ล้วนพาให้คิดอาลัยในร่างที่จะถูกกลบดิน
แต่ครั้งเมื่อเสร็จสิ้นต่างก็กลับไปสู่การเผลอเรอต่อไป
เสมือนหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อสักครู่ก่อนหน้านี้"
(1) ดู มุตตะศ็อรฺ เศาะเฮียะฮฺมุสลิม, บทอัลญะนาอิช, จากอบูฮูร็อยเราะฮฺ, หะดีษเลขที่ 666
(2) หะดีษหะซัน เศษะเฮียะฮฺ, เศาะเฮียะฮฺ หะสัน อัตติรมีซีย์ จากอบูฮูร็อยเราะฮฺ หะดีษเลขที่ 1877
...................................................
(จากหนังสือ : เมื่อผู้ศรัทธาร้องไห้)
เขียน : อับดุรเราะฮฺมาน บินอับดิลลาฮฺ อัลละอฺบูน
แปล : นัศรุลลอฮฺ ต็อยยิบ
อดทน เพื่อชัยชนะ โพส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น