อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เขาอ้างว่าการยกมือขึ้นสู่ฟากฟ้า ไม่ได้แสดงบอกว่าทรงอยู่เบื้องสูง



ไปอ่านข้อความของ อ.อะหมัดรอซีดี อิสมัญ อัลอัชอะรีย์ เขาอ้างว่า
การยกมือขอดุอาอฺขึ้นบนฟากฟ้า มิใช่มูลเหตุที่ยืนยันว่า อัลลอฮฺตะอาลาเจ้าของเรานั้นทรงประทับ(นั่ง)อยู่บนฟากฟ้าหรือบนบัลลังก์ แนวทางของอะลุสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ในการวิเคราะห์อัลกุรอ่านและอัลหะดีษผ่านการลงมติของนักวิชาการของเรานั้น พวกเขาเชื่อมั่นและเผยแพร่หลักอะกีดะฮ์ที่ว่า “ อัลลอฮฺเจ้าของเรานั้น ทรงมี โดยไม่มีสถานที่ ไม่มีเวลา ไม่มีสัดส่วนอวัยวะ หรือคุณลักษณะที่บกพร่องและที่เป็นรูปธรรม ” (ซึ่งหลักการเชื่อมั่นตรงนี้สวนทางกับแนวทางของกลุ่มคณะใหม่วะฮาบีย์โดยสิ้น เชิง)
..................................
เดือนเราะมะฎอน เป็นเดือนที่ไม่ได้ห้ามเผยแพร่ศาสนา และไม่ได้ห้ามไม่ให้ปกป้องศาสนาอัลลอฮ ในต่างกลับกัน มันเป็นเดือนที่ประเสริฐที่เราจะต้องทำความดี และส่วนหนึ่งจากความดีนั้นคือ การเผยแพร่ศาสนา และการปกป้องศาสนาอัลลอฮ เพราะฉะนั้น จึงขอขอชี้แจง ข้างอ้างข้างต้นดังนี้
การกระทำของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม เช่นการที่ท่านชี้นิ้วขึ้นไปยังฟากฟ้าขณะที่ท่านคุฏบะฮฺกับผู้คนจำนวนมาก ดังกล่าวนั้นคือ วันอะรอฟะฮฺ ปีหัจญ์วะดาอฺ (หัจญ์อำลา) แสดงถึงการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
فقال علية الصلاة والسلام «ألا هل بلغت؟» . قالوا : نعم «ألا هل بلغت؟» قالوا: نعم «ألا هل بلغت؟» قالوا : نعم . وكان يقول : «اللهم ! أشهد» ، يشير إلى السماء بأصبعه ، ثم يُشير إلى الناس.
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า "พึงรู้เถิด ฉันได้แจ้งให้ทราบแล้วหรือยัง ?" พวกเขากล่าวว่า ใช่ "พึงรู้เถิด ฉันได้แจ้งให้ทราบแล้วหรือยัง ?" พวกเขากล่าวว่า ใช่ "พึงรู้เถิด ฉันได้แจ้งให้ทราบแล้วหรือยัง ?" พวกเขากล่าวว่า ใช่ และท่านก็กล่าวว่า "โอ้อัลลฮฺได้โปรดเป็นพยานด้วยเถิด" โดยท่านชี้นิ้วยกขึ้นไปยังฟากฟ้า และจากนั้นก็ชี้ไปยังผู้คน -รายงานโดยมุสลิม จาก หะดิษญาบีร เรื่อง หัจญ์
คำพูดของอิหมามอบู หะสัน อัลอัชอะรีย์ อิหม่ามอะชาอิเราะฮ ต่อไปนี้ แสดงให้เห็นว่า ท่านได้ยืนยันยันการอยู่เบื้องสูงเหนือฟากฟ้าของอัลลอฮ
ورأينا المسلمين جميعا يرفعون أيديهم إذا دعوا نحو السماء؛ لأن الله تعالى مستو على العرش الذي هو فوق السماوات، فلولا أن الله عز وجل على العرش لم يرفعوا أيديهم نحو العرش، كما لا يحطّونها إذا دعوا إلى الأرض
และเราเห็นชาวมุสลิมทั้งหลายต่างยกมือของพวกเขาขึ้นสู่ฟ้ายามที่พวกเขาขอดุ อาอ์ เพราะอัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่ง อยู่เหนืออะรัชที่อยู่เหนือชั้นฟ้าทั้งหลาย ถ้าหากว่าอัลลอฮฺไม่ได้อยู่เหนืออะรัช แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ยกมือของพวกเขาขึ้นไปยังอะรัช เช่นเดียวกับที่พวกเขาไม่ได้ชี้มือลงไปยังพื้นดินยามที่พวกเขาขอดุอาอ์ – อัลอิบานะฮ อะลาอุศูลิดดิยานะฮ บทที่ 5 ว่าด้วยเรื่อง อิสติววาอฺ อะลัลอะรัช
อายะฮและหะดิษมากมาย ที่ยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัล ขอยกมาอย่างละ หลักฐานเพื่อยืนยัน การอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮคือ
และเช่นพระดำรัสที่ว่า
﴿تعرج الملائكة والروح إليه﴾ المعارج/4.
ความว่า “มาลาอิกะฮฺและอัรรูหฺ (ญิบรีล) จะขึ้นไปหาพระองค์ ” (อัลมะอาริจญฺ / 4)
หะดิษที่ระบุในเศาะเฮียะบุคอรี หมายเลข ๖๙๘๖ เรื่อง อิสรออฺ เมียะรอจญ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า
فَالْتَفَتَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم إِلَى جِبْرِيلَ كَأَنَّهُ يَسْتَشِيرُهُ فِي ذَلِكَ، فَأَشَارَ إِلَيْهِ جِبْرِيلُ أَنْ نَعَمْ إِنْ شِئْتَ. فَعَلاَ بِهِ إِلَى الْجَبَّارِ فَقَالَ وَهْوَ مَكَانَهُ يَا رَبِّ خَفِّفْ عَنَّا، فَإِنَّ أُمَّتِي لاَ تَسْتَطِيعُ هَذَا. فَوَضَعَ عَنْهُ عَشْرَ صَلَوَاتٍ ثُمَّ رَجَعَ إِلَى مُوسَى فَاحْتَبَسَهُ، فَلَمْ يَزَلْ يُرَدِّدُهُ مُوسَى إِلَى رَبِّهِ حَتَّى صَارَتْ إِلَى خَمْسِ صَلَوَاتٍ
’ ดังนั้น นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ ไปพบพบญิบรีล เพื่อขอคำชี้แนะต่อเขาในเรื่องดังกล่าวนั้น แล้ว ญิบรีลได้ชี้แนะแก่ท่านนบี ว่า เชิญ ครับ หากท่านต้องการ แล้ว เขา(ญิบรีล)ได้นำท่านนบีขึ้นไปยัง พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรง อนุภาพ แล้วนบี ได้กล่าว โดยที่พระองค์(พระเจ้าผู้ทรงอนุภาพ)อยู่สถานที่ของพระองค์ ว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ,ได้โปรดลดย่อนจากเรา เพราะแท้จริง อุมมะฮของข้าพระองค์ ไม่สามารถปฏิบัติแบบนี้ได้(หมายละหมาด ๕๐ เวลา) แล้วพระองค์ได้ลดย่อน จากมัน ให้เหลือ สิบเวลา หลังจากนั้น นบีก็ได้กลับไปยังมูซา แล้ว มูซา ได้กับตัวนบีเอาไว้ และมูซาได้ให้นบีกลับไป ยังพระผู้อภิบาลอยู่ตลอดเวลา จนกระทั้ง ละหมาด กลายเป็น(หมายถึงถูกกำหนดให้เป็น)ห้าเวลา....
..........................
จากหะดิษข้างต้น เป็นการยืนยันการอยู่ ณ สถานที่เบื้องสูงของอัลลอฮ อย่างชัดเจน และ ญิบรีล นำท่านนบี ศอ็ลฯ ขึ้นไปยังพระองค์
อิหม่ามอัดดาริมีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)ได้อธิบาย หะดิษอัลญารียะฮว่า
وفي قول رسول الله صلى الله عليه وسلم أين الله؟ تكذيب لقول من يقول: هو في كل مكان، ولا يوصف ب أين، لأن شيئا لا يخلو منه مكان يستحيل أن يقال أين هو، ولا يقال أين إلا لمن هو في مكان يخلو منه مكان، ولو كان الأمر على ما يدعي هؤلاء الزائغة لأنكر عليها رسول الله قولها وعلمها، ولكنها علمت به فصدقها رسول الله وشهد لها بالإيمان بذلك،
“และในคำพูดของรซูลุลลอฮที่ว่า “อัลลอฮยู่ใหน? เป็นการยืนยันความเท็จ คำพูดของผู้ที่กล่าวว่า “พระองค์อยู่ทุกสถานที่ ,พระองค์ไม่ทรงคุณลักษณะ ด้วยคำว่า “อยู่ที่ใหน? เพราะแท้จริงสิ่งใดๆ สถานที ย่อมไม่เป็นอิสระจากมัน เป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “พระองค์อยู่ใหน และจะไม่ถูกกล่าวว่า อยู่ใหน นอกจากผู้ที่เขาอยู่ในสถานที่ ซึ่งสถานที่เป็นอิสระจากเขา และถ้าเรื่องนี้ เป็นไปตามที่พวกเบี่ยงเบนเหล่านี้อ้าง แน่นอน ท่านรซูลุลลอฮ ย่อมจะคัดค้าน คำพูดและการกระทำของนาง(หมายถึงทาสหญิงตามที่ระบุในหะดิษ) แต่ในทางกลับกัน นางรู้ด้วยมัน แล้วรซูลุลลอฮ ก็ยืนยันความถูกต้องแก่นาง และเป็นพยานให้แก่นาง ว่านางมีศรัทธา ด้วยดังกล่าวนั้น – ดู รอดอะลัลญะมียะฮ ของ อิหม่ามอัดดาริมีย์ หน้า 47
..............
ท่านอิหม่ามอัดดารีมีย์ ได้ยืนยันว่า ท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ให้การรับรอง คำตอบของนางที่ว่า อัลลอฮทรงอยู่บนฟากฟ้า เมื่อท่านถามว่า “อัลลอฮอยู่ใหน เพราะถ้าสิ่งที่นางตอบ ไม่ถูกต้อง ตามที่พวกเบี่ยงเบนบางกลุ่มอ้าง ว่า ไม่มีสถานที่เกี่ยวข้องกับ อัลลอฮ แน่นอนท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯต้องคัดค้านคำพูดของนางแล้ว แต่..ท่านไม่ได้ค้าน นอกจากให้การรับรองคำพูดของนางอีกต่างหาก
..............................
والله أعلم بالصواب


คำว่า “ทรงอยู่บนฟ้า หมาย ถึงทรงอยู่เหนือฟากฟ้า เหนือมัคลูค คำว่า “ฟากฟ้านั้น ชั้นสูงสุดของมัน คือ ฟากฟ้าชั้นที่เจ็ด เพราะฉะนั้นเมือทรงอยู่เหนือฟากฟ้า ก็คือ ทรงอยู่เหนือฟากฟ้า ชั้นที่เจ็ด ซึ่งก็มีความหมายในตัวของมันอยู่แล้ว
เช่น
การระบุว่าพระองค์ทรงอยู่บนชั้นฟ้า ดังพระดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
أأمنتم من في السماء أن يخسف بكم الأرض الملك /1
ความว่า “พวกเจ้าจะปลอดภัยละหรือ จากการที่พระผู้ทรงสถิตอยู่ ณ ฟากฟ้าจะให้แผ่นดินสูบพวกเจ้า” (อัลมุลกฺ / 16)
และคำว่า “อะรัช “ ก็พิสูจฯได้ว่า ทรงอยู่เหนือฟากฟ้าชั้นที่เจ็ด เพราะอะรัช อยู่เหนือฟากฟ้าชั้นที่เจ็ด และพระองค์อยู่เหนืออะรัช
หลัก ฐานชัดเจนที่กล่าวว่า อัลลอฮทรง อิสตะวา(ประทับ)บนอรัช. อรัช-บัลลังก์ คือ สิ่งถูกสร้างของอัลลอฮที่อยู่สูงที่สุด ตัวอย่างในเรื่องนี้ เช่นในอายะฮฺที่ว่า
الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى
ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์
(สูเราะฮฺฏอฮา 20 : 5)

คำกล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ที่ว่า
لَمَّا قَضَى اللَّهُ الْخَلْقَ كَتَبَ فِى كِتَابِهِ ، فَهْوَ عِنْدَهُ فَوْقَ الْعَرْشِ إِنَّ رَحْمَتِى غَلَبَتْ غَضَبِى
“ครั้น ที่อัลลอฮทรงกำหนดแก่สิ่งถูกสร้างของพระองค์นั้น พระองค์ทรงบันทึกลงในบันทึกของพระองค์ ซึ่งมันอยู่ ณ พระองค์ เหนือบัลลังก์(อะรัช) ว่า : แท้จริง ความเมตตาของข้ามาก่อนความโกรธกริ้วของข้า” –บุคอรี


รายงานจากยูสุฟ บิน มูซา อัล-เฆาะดาดียฺ กล่าวว่า

قيل لأبي عبد الله احمد بن حنبل الله عز و جل فوق السمآء السابعة على عرشه بائن من خلقه وقدرته وعلمه بكل مكان قال نعم على العرش و لايخلو منه مكان

อิ มามอะหฺมัด บิน หัมบัล เคยถูกถามว่า “อัลลอฮทรงอยู่เหนือชั้นฟ้าทั้งเจ็ด เหนืออรัชของพระองค์ แยกจากสิ่งถูกสร้างอของพระองค์ ในขณะที่เดชานุภาพและความรอบรู้ของพระองค์นั้นทรงอยู่ในทุกพื้นที่หรือ?” อิมามอะหฺมัด ตอบว่า “ถูกต้องแล้ว อัลลอฮทรงอยู่เหนืออรัช และไม่มีที่ใดหลุดรอดจากความรอบรู้ของพระองค์” ] ดู อิษบะตุ ศิฟะตุล อุลูวฺ หน้า 116


“อบู บักร อัล-ค็อลลาล กล่าวว่า อัล-มะรูซียื ได้เล่าแก่ฉันว่า เขากล่าวว่า มุหัมมัด บิน ศอบะฮฺ อัน-นัยสะบูรีย์ ได้เล่าแก่เราว่า เขากล่าวว่า อบูดาวูด อัล-เคาะนัฟ สุลัยมาน บิน ดาวูด ได้เล่าแก่เราว่า เขากล่าวว่า อิสหาก บิน เราะหุวะฮฺ กล่าวว่า ‘อัลลอฮ สุบหานะฮุวะตะอาลา ทรงตรัสว่า
, الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى
ผู้ทรง กรุณาปรานี ทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์ [18] บรรดาอุละมาอ์มีมติเอกฉันท์ว่า อัลลอฮทรงอยู่เหนืออรัชและอิสตะวา-ประทับอยู่เหนือมัน แต่ทว่า พระองค์ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นข้างล่าง แม้จะอยู่ใต้ผืนดินชั้นที่เจ็ดก็ตาม
ดู อัล-อุลูวฺ ลิล อะลิยยิล ฆ็อฟฟาร หน้า 179 ดู มุคตะศ็อรฺ อัล-อุลูวฺ หน้า 194


อิบนุอัลมุบาร็อก (ฮ.ศ.181)

روى ابن شقيق أنه قيل لابن المبارك: "كيف نعرف ربنا؟"
قال: ;بأنه فوق السماء السابعة على العرش، بائن من خلقه

อิบ นุชะกีก ได้รายงานว่า มีผู้กล่าวแก่อิบนุอัลมุบารอ็กว่า "ท่านรู้จักพระเจ้าของเราอย่างไร เขากล่าวว่า " พระองค์ทรงอยู่เหนือฟากฟ้าชั้นเจ็ด บนอะรัช แยกจากมาคลูคของพระองค์ (1)

..........
(1) الرد على الجهمية للدارمي (ص39-40) بسند حسن، عن الحسن بن الصباح البزاز ثنا علي بن الحسن بن شقيق. وعبد الله بن أحمد بن حنبل في كتابه "السنة" (ص175) عن عبد الله بن شبويه عن ابن شقيق. ورواها غيرهما كثير بعضهم نقلا عن هؤلاء وبعضهم بأسانيدهم
......
คำว่า แยกออกจากมัคลูค

معنى أن الله بائن من خلقه: أي أنه منفصل عن المخلوقات، فليس في ذاته شيء من مخلوقاته، ولا في مخلوقاته شيء من ذاته. ولا يحويه أو يُحيط به شيء من خلقه.

ความ หมายคำว่า อัลลอฮแยกออกจากมัคลูคของพระองค์ หมายถึง พระองค์ทรงแยกออกจากบรรดามัคลูค ไม่มีสิ่งใดจากมัคลูคของพระองค์ อยู่ในซาต(ตัวตน)ของพระองค์ และไม่มีสิ่งใดจากซาตของพระองค์ อยู่ในมัคลูค และไม่มีสิ่งใดจากมัคลูคของพระองค์บรรจุและห้อมล้อม พระองค์


อบูบักร อัลอิสมาอีลีย์ (อศ 371) กล่าวเกี่ยวกับอะกีดะฮอะลุลหะดิษว่า

وأنه عز وجل استوى على العرش بلا كيف، فإن الله تعالى أنهى إلى أنه استوى على العرش، ولم يذكُر كيف كان استواؤه

แท้ จริงพระองค์ทรงประทับเหนือบัลลังค์ โดยไม่มีการอธิบายรูปแบบวิธีการ เพราะอัลลอฮหยุดอยู่ที่คำว่า "แท้จริงพระองค์ทรงประทับเหนือบัลลังค์ และพระองค์ไม่ได้ระบุว่า การประทับของพระองค์เป็นอย่างไร (1)

.............

(1) اعتقاد أهل السنة لأبي بكر الإسماعيلي (ص36)
الامام ابن بطة العكبري شيخ الحنابلة ( 304-387
กล่าวว่า
اجمع المسلمون من الصحابة والتابعين وجميع اهل العلم من المؤمنين ان الله تبارك وتعالى على عرشه فوق سمواته .انظر الابانة 3/ 136

เป็นมติของบรรดามุสลิม จากบรรดาเศาะหาบะอ บรรดาตาบิอีน และ บรรดานักวิชาการ จากบรรดาผู้ศรัทธา ว่า แท้จริงอัลลออ(ซ.บ)ทรงประทับบนบัลลังก์ บนฟากฟ้า - ดูอัลอินาบะฮ 3/136


อัลลอฮทรงกล่าวถึงการสถิตย์เหนืออะรัชไว้
สถิตย์'
จำนวน ที่พบ = 7 แห่ง
--------------------------------------------------------------------------------

ซูเราะฮฺ อัล-อะอฺรอฟ (Al-Araf) อายะหฺที่ 54 (7:54)
ซูเราะฮฺ อัรเราะอฺดฺ (Ar-Rahdu) อายะหฺที่ 2 (13:2)
... แล้วทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์(*1*) ...
ซูเราะฮฺ ฏอฮา (Ta-Ha) อายะหฺที่ 5 (20:5)
... ทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์(*1*) ...
ซูเราะฮฺ อัลฟุรกอน (Al-Furqan) อายะหฺที่ 59 (25:59)
... แล้วพระองค์ทรงสถิตย์อยู่บนบังลังก์ ...
ซูเราะฮฺ อัลหะดีด (Al-Hadid) อายะหฺที่ 4 (57:4)
... แล้วพระองค์ทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์ ...
ซูเราะฮฺ อัลมุลกฺ (Al-Mulk) อายะหฺที่ 16 (67:16)
... จากการที่พระองค์ทรงสถิตย์อยู่ ...
ซูเราะฮฺ อัลมุลกฺ (Al-Mulk) อายะหฺที่ 17 (67:17)
... หรือว่าพวกเจ้าจะปลอดภัยจากการที่พระผู้ทรงสถิตย์อยู่ ...
และอายะฮนี้ก็ชัดเจน ที่ยืนยันการอยู่เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ด
إِنَّ رَبَّكُمُ اللّهُ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ يُدَبِّرُ الأَمْرَ مَا مِن شَفِيعٍ إِلاَّ مِن بَعْدِ إِذْنِهِ ذَلِكُمُ اللّهُ رَبُّكُمْ فَاعْبُدُوهُ أَفَلاَ تَذَكَّرُونَ
แท้จริงพระเจ้าของพวกท่านคืออัลลอฮ์ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินใน เวลา 6 วันแล้วพระองค์ทรงประทับบนบัลลังก์ ทรงบริหารกิจการ ไม่มีผู้ให้ความช่วยเหลือคนใด เว้นแต่ต้องได้รับอนุมัติจากพระองค์ นั่นคืออัลลอฮ์พระเจ้าของพวกท่าน พวกท่านจงเคารพภักดีต่อพระองค์เถิด พวกท่านมิได้ใคร่ครวญกันดอกหรือ? ยูนูส/๓


หะดิษต่อไปนี้ก็แสดงถึงการอยู่เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ดคือ
มีรายงานจากอบูฮุร็อยเราะฮฺ- เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ- ว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม-ได้กล่าวว่า
إِنَّ فِي الْجَنَّةِ مِائَةَ دَرَجَةٍ أَعَدَّهَا اللَّهُ لِلْمُجَاهِدِينَ فِي سَبِيلِ اللَّهِ مَا بَيْنَ الدَّرَجَتَيْنِ كَمَا بَيْنَ السَّمَاءِ وَالأَرْضِ فَإِذَا سَأَلْتُمُ اللَّهَ فَاسْأَلُوهُ الْفِرْدَوْسَ فَإِنَّهُ أَوْسَطُ الْجَنَّةِ وَأَعْلَى الْجَنَّةِ وفَوْقَهُ عَرْشُ الرَّحْمَنِ وَمِنْهُ تَفَجَّرُ أَنْهَارُ الْجَنَّةِ
แท้ จริง ในสวรรค์นั้นมีหนึ่งร้อยชั้นที่อัลลอฮฺเตรียมไว้สำหรับผู้ที่ต่อสู้ในหนทาง ของอัลลอฮฺ ช่วงระหว่างสองชั้นนั้นมีระยะห่างราวฟ้ากับดิน ดังนั้น เมื่อพวกท่านขอสวรรค์ ก็จงขออัลลอฮฺให้ประทานสวรรค์ฟิรดาวส์ เพราะมันคือสวรรค์ที่อยู่ตรงกลางและสูงที่สุด " (อบูฮุร็อยเราะฮฺกล่าวว่า) ฉันรู้สึกว่าท่านยังกล่าวว่า "และเบื้องบนของมันคือบรรลังค์ของอัลลอฮฺผู้ทรงปรานี และจากที่นั่นเช่นกันที่แม่น้ำแห่งสรวงสวรรค์สายต่าง ๆ พุ่งกำเนิดขึ้น"
(บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลข 2790)
“”””””””””””””
เป็น ที่ทราบกันดีว่า สวรรค์นั้น อยู่เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ด และ หะดิษระบุว่า เหนือสวรรค์นั้นคือ อะรัช และอัลกุรอ่านบอกว่า ทรงอยู่เหนืออะรัช ก็เท่ากับพระองค์อยู่เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ด


ซูเราะฮอัลอะรอฟ อายะฮที่ ๕๔
พระองค์ตรัสว่า
]إِنَّ رَبَّكُمُ اللَّهُ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالأرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ[………
แท้จริงพระผู้อภิบาลของพวกเจ้านั้น คืออัลลอฮฺผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผนดินภายในหกวันแล้วทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์
อิบนุกะษีรอธิบายว่า
فَلِلنَّاسِ فِي هَذَا الْمَقَامِ مَقَالَاتٌ كَثِيرَةٌ جِدًّا ، لَيْسَ هَذَا مَوْضِعَ بَسْطِهَا ، وَإِنَّمَا يُسْلَكُ فِي هَذَا الْمَقَامِ مَذْهَبُ السَّلَفِ الصَّالِحِ : مَالِكٌ ، وَالْأَوْزَاعِيُّ ، وَالثَّوْرِيُّ ، وَاللَّيْثُ بْنُ سَعْدٍ ، وَالشَّافِعِيُّ ، وَأَحْمَدُ بْنُ حَنْبَلٍ ، وَإِسْحَاقُ بْنُ رَاهَوَيْهِ وَغَيْرُهُمْ ، مِنْ أَئِمَّةِ الْمُسْلِمِينَ قَدِيمًا وَحَدِيثًا ، وَهُوَ إِمْرَارُهَا كَمَا جَاءَتْ مِنْ غَيْرِ تَكْيِيفٍ وَلَا تَشْبِيهٍ وَلَا تَعْطِيلٍ . وَالظَّاهِرُ الْمُتَبَادَرُ إِلَى أَذْهَانِ الْمُشَبِّهِينَ مَنْفِيٌّ عَنِ اللَّهِ
สำหรับ มนุษย์นั้น ในประเด็นนี้ มีบรรดาทัศนะมากมายจริงๆ ,ในที่นี้ ไม่ใช่ที่ที่จะต้องอธิบายมันให้กว้างออกไป และในประเด็นนี้ ได้ถูกให้ดำเนินตามมัซฮับของสะละฟุศศอลิหฺ คือท่านมาลิก , ท่านอัลเอาซะอีย์ , ท่านอัษเษารีย์ , ท่านอัลลัยษ์ บิน สะอัด , ท่านอัชชาฟิอีย์ , ท่านอะหฺมัด บิน หัมบัล , ท่านอิสหาก ร่อฮุวัยฮ์ , และท่านอื่น ๆ จากนักปราชญ์บรรดามสุลิมีนทั้งอดีตและปัจจุบัน ซึ่งมันคือ การปล่อยให้มันผ่านไปเหมือนที่มันได้มีมา โดยไมอธิบายรูปแบบวิธีการ ไม่ยืนยันการคล้ายคลึง และไม่ปฏิเสธคุณลักษณะ(ซีฟัต) และความหมายที่ปรากฏตามตัวบท ที่เข้ามาอยู่ในความเข้าใจของบรรดาพวกมุชับบิฮะฮ์ โดยทันที(คือพวกที่เข้าใจว่าอัลลอฮคล้ายคลึงมัคลูค)นั้น ถูกปฏิเสธจากอัลเลาะฮ์..." ดู ตัฟซีร อิบนุ กะษีร ซูเราะฮ์ อัลอะร๊อฟ อายะฮ์ที่ 54
อิบนิ กะษีร ได้บอกต่อไปอีก
فَإِنَّ اللَّهَ لَا يُشْبِهُهُ شَيْءٌ مِنْ خَلْقِهِ ، وَ ( لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ ) [ الشُّورَى : 11 ] بَلِ الْأَمْرُ كَمَا قَالَ الْأَئِمَّةُ - مِنْهُمْ نُعَيْمُ بْنُ حَمَّادٍ الْخُزَاعِيُّ شَيْخُ الْبُخَارِيِّ - : " مَنْ شَبَّهَ اللَّهَ بِخَلْقِهِ فَقَدْ كَفَرَ ، وَمَنْ جَحَدَ مَا وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ فَقَدْ كَفَرَ " وَلَيْسَ فِيمَا وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ وَلَا رَسُولَهُ تَشْبِيهٌ ، فَمَنْ أَثْبَتَ لِلَّهِ تَعَالَى مَا وَرَدَتْ بِهِ الْآيَاتُ الصَّرِيحَةُ وَالْأَخْبَارُ الصَّحِيحَةُ ، عَلَى الْوَجْهِ الَّذِي يَلِيقُ بِجَلَالِ اللَّهِ تَعَالَى ، وَنَفَى عَنِ اللَّهِ تَعَالَى النَّقَائِصَ ، فَقَدْ سَلَكَ سَبِيلَ الْهُدَى
คำแปล
. โดยแท้จริงนั้น อัลลอฮ จะไม่ถูกนำมา เปรียบกับสิ่งใดๆ จาก มัคลูคของพระองค์ และจะไม่มีสิ่งใด เสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์นั้น คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็นเสมอ แต่ทว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ตามที่ อิหม่าม ของประชาชาตินี้ได้กล่าวเอาไว้ หนึ่งในพวกเขาก็คือ ท่าน นุอัยมฺ บิน ฮัมมาด อัลคุซาอีย์ชัยคุ้ลบุคคอรี ท่านกล่าวว่า ผู้ใดที่นำเอาอัลลอฮมาเปรียบกับสิ่งถูกสร้างของพระองค์ เขาคือ กาเฟร และผู้ใดที่ปฎิเสธ ดื้อดึง ในสิ่งที่ อัลลอฮได้ให้คุณลักษณะ กับพระองค์เอง โดยแท้จริง เขาคือ กาเฟร และจะไม่นับว่า สิ่งใดที่พระองค์ได้ให้คุณลักษณะของพระองค์เอาไว้ หรือ รอซูลของพระองค์ เป็นการเปรียบเทียบ ผู้ใดที่ยืนยันต่ออัลลอฮ ในสิ่งที่ปรากฏอยู่ในโองการที่ชัดเจน หะดีษที่ซอเหี๊ยะ ตามความเหมาะสม และปฎิเสธในสิ่งที่จะทำให้เกิด ความบกพร่อง แท้จริงเขาผู้นั้นกำลังดำเนินตามแนวทางที่ถูกต้อง)" ดูตัฟซีรอิบนุกะษีร ซูเราะฮ์อัลอะร๊อฟอายะฮ์ที่54..............สรุปจากคำอธิบายของอิบนุกะษีร คือ ให้ยึดตามแนวทางสลัฟ สอง- การยึดถือตามที่อัลลอฮและรอซูลบอก ไม่ใช่เป็นการตัชบีฮ (การเปรียบว่าคล้ายคลึงกับมัคลูค) สาม- ผู้ใดที่ยืนยันต่ออัลลอฮ ในสิ่งที่ปรากฏอยู่ในโ?


จุดประสงค์จริงของอิหม่ามอิบนุกะษีร ที่บอกว่า

إمرارها كما جاءت من غير تكييف ولا تشبيه ولا تعطيل

ปล่อยมันให้เป็นไปตามที่มันได้มีมา โดยไม่อธิบายรูปแบบวิธีการ ไม่ยืนยันการคล้ายคลึง และไม่ปฏิเส คำว่า
إمرارها كما جاءت
หมายถึง ปล่อยมันให้เป็นไปตามที่ได้มีมา หมายถึงยอมรับตามที่ปรากฏในอัลกุรอ่านโดยไม่อธิบายรูปแบบวิธีการ ไม่ยืนยันการคล้ายคลึง และไม่ปฏิเสธคุณลักษณะ(ซีฟัต)

ดังที่อัลหาฟิซ อบีบักร อัลเคาะฏิบ (ฮ.ศ.463) กล่าวว่า

إِثباتها وإِجراؤها عَلَى ظاهرها ، ونفي الكيفية عنها

คือ การยืนยันมันและปล่อยมันบนความหมายที่ปรากฏของมัน และปฏิเสธ การอธิบายรูปแบบวิธีการจากมัน – อะลามุลนุบะลาอ เล่ม 18 หน้า 284
คำว่าปล่อยให้ผ่านไป ไม่ใช่ไมรู้ความหมาย ไม่ใช่ห้ามแปลอย่างที่บางกลุ่มเข้าใจ


คำว่า

والظاهر المتبادر إلى أذهان المشبهين منفي عن الله
และความหมายที่ปรากฏตามตัวบท ที่เข้ามาอยู่ในความเข้าใจของบรรดาพวกมุชับบิฮะฮ์ โดยทันทีนั้น ถูกปฏิเสธจากอัลเลาะฮ์
ความหมายคำพูด ข้างต้นคือ
ความหมายตามที่ปรากฏตามตัวบท ที่ทำให้เกิดจินตนาการของผู้ที่เข้าใจว่าทรงคล้ายคลึงกับมัคโลคนั้น จะถูกปฏิเสธจากอัลลอฮ
ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว เพราะอัลลอฮได้ปฏิเสธไว้แล้วว่า “ทรงไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์” ซึ่งคนบางกลุ่มพยายามที่จะยัดเยียด คำว่า
“المشبهين (พวกที่เชื่อว่าอัลลอฮคล้ายคลึงกับมัคลูค)
มาป้ายสี พี่น้องมุสลิมที่เขาตั้งฉายาว่า “วะฮาบีย”
วัลอิยาซุบิลละฮ


อัลลอฮตะอาลาตรัส่ว่า
الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى
[20.5] ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตอยู่เหนือบัลลังก์
1. อิหม่ามอัฏฏอ็บรีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) อรรถาธิบายว่า

وَقَوْله : { الرَّحْمَن عَلَى الْعَرْش
اسْتَوَى } يَقُول تَعَالَى ذكْره : الرَّحْمَن عَلَى عَرْشه ارْتَفَعَ وَعَلَا
และอัลลอฮ ตรัสว่า
ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตย์อยู่เหนือบัลลังก์ ) พระองค์ผู้ซึ่งการกล่าวถึงพระองค์สูงส่งยิ่ง ตรัสว่า
ผู้ทรง กรุณาปรานี ทรงสถิตย์อยู่เหนือบัลลังก์ หมายถึง อยู่บน (อะรัช)และ อยู่สูง(เหนืออะรัช) - ดูตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบาย อายะฮที่ 5 ซูเราะฮ ฏอฮา
คำแปลนักวิชาการมาเลย์
Imam Ibn Jarir al-Tabari r.h, Syeikhul Mufassirin wal Muarrikhin dalam tafsir beliau dengan jelas menetapkan makna bagi sifat Allah Taala antaranya sifat al-Istiwa’ sebagaimana yang saya nyatakan tadi:
وقوله( الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى ) يقول تعالى ذكره: الرحمن على عرشه ارتفع وعلا.
Maksudnya: “dan firmanNya: ( الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى ) (maksudnya: al-Rahman yang bersemayam di atas Arasy), Allah Taala menyatakan bahawa: Dialah al-Rahman yang berada di atas Arasy meninggi di atasnya”. [Tafsir al-Tabari, 18/270]

2. อัลกุรฏุบีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
وَاَلَّذِي ذَهَبَ إِلَيْهِ الشَّيْخ أَبُو الْحَسَن وَغَيْره أَنَّهُ مُسْتَوٍ عَلَى عَرْشه بِغَيْرِ حَدّ وَلَا كَيْفَ كَمَا يَكُون اِسْتِوَاء الْمَخْلُوقِينَ
และ ที่เช็คอบูหะซัน(อัลอัชอะรีย์)และอื่นจากท่าน ได้ให้ทัศนะไว้คือ แท้จริงพระองค์ทรง ประทับเหนือบัลลังก์ของพระองค์ โดยไม่มีขอบเขตและไม่มีรูปแบบวิธีการ เหมือนกับการประทับของบรรดามัคลูค - ดู ตัฟสีร อัลกุรฏุบีย์ อรรถาธิบาย อายะฮที่ 5 ซูเราะฮ ฏอฮา


อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ ได้รายงานว่า

عَنْ أَنَسٍ أَنَّ زَيْنَبَ بِنْتَ جَحْشٍ كَانَتْ تَفْخَرُ عَلَى أَزْوَاجِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ وَسَلَّمَ ، تَقُولُ : " زَوَّجَكُنَّ أَهَالِيكُنَّ وَزَوَّجَنِي اللَّهُ مِنْ فَوْقِ سَبْعِ سَمَوَاتٍ " . وَلَفْظُ عِيسَى ، كَانَتْ تَقُولُ : " إِنَّ اللَّهَ أَنْكَحَنِي فِي السَّمَاءِ " . وَفِي لَفْظٍ ، أَنَّهَا قَالَتْ لِلنَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : " زَوَّجَنِيكَ الرَّحْمَنُ مِنْ فَوْقِ عَرْشِهِ " . هَذَاْ حَدِيثٌ صَحِيحٌ أَخْرَجَهُ الْبُخَارِيُّ
รายงาน จาก อะนัส ว่าแท้จริง ซัยหนับ บินติ ญะฮชิน นางได้โอ้อวดแก่บรรดาภรรยาของนบี ศอ็ลลัลลอฮุอุอะลัยฮิวะสัลลัม โดยนางกล่าวว่า “ครอบครัวของพวกเธอ ได้จัดการแต่งงานให้พวกเธอ และอัลลอฮ จากเบื้องบนเจ็ดชั้นฟ้า ได้จัดการแต่งงานให้แก่ฉัน “และสำนวนที่รายงานโดยอีซา(หมายถึงอิซา บิน เฏาะมาน)) ระบุว่า ปรากฏว่านางกล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮ ได่จัดการแต่งงาน(นิกะห)ให้แก่ฉัน บนฟากฟ้า และในสำนวนหนึ่งกล่าวว่า “ แท้จริงนางได้กล่าวแก่นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า “ พระเจ้าผู้ทรงเมตตาจากเบื้องบนอารัชของพระองค์ ได้จัดการแต่งงานฉันกับท่าน– นี่คือหะดิษเศาะเฮียะ บันทึกโดยอิหม่ามบุคอรี – อัลอะลูว หะดิษหมายเลข 11


อบูอุษมาน อัศศอบูนีย์ (ฮ.ศ 499) กล่าวว่า
ويعتقد أصحاب الحديث ويشهدون أن الله سبحانه وتعالى فوق سبع سمواته على عرشه مستوٍ، كما نطق به كتابه في قوله عز وجل في سورة يونس: إِنَّ رَبَّكُمُ اللّهُ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ
บรรดา นักหะดิษเชื่อมั่น และเป็นพยานว่า แท้จริงอัลลอฮ (ซ.บ) อยู่เหนือบรรดาฟากฟ้าทั้งเจ็ดของพระองค์ ทรงเป็นผู้สถิตย์บนอะรัชของพระองค์ ดังที่คัมภีร์ของพระองค์ ได้กล่าวด้วยมัน ในคำตรัสของพระองค์ ผู้ทรงเกรียงไกรและทรงสูงส่ง ในซูเราะฮ ยูนูสว่า
إِنَّ رَبَّكُمُ اللّهُ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ
แท้ จริงพระเจ้าของพวกท่านคืออัลลอฮ์ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินใน เวลา 6 วันแล้วพระองค์ทรงสถิต บนบัลลังก์ - อะกีดะฮอัสสะลัฟ วะอัศหาบิละดีษ หน้า 44


กุตัยบะฮ บิน สะอีด (ฮ.ศ 240) กล่าวว่า
ونعرف الله في السماء السابعة على عرشه، كما قال: {الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى * لَهُ مَا فِي السَّمَاوَاتِ وَمَا فِي الْأَرْضِ وَمَا بَيْنَهُمَا وَمَا تَحْتَ الثَّرَى} [طه : 5 ، 6].
และเรารู้จักอัลลอฮ บนฟากฟ้าที่เจ็ด บน อะรัชของพระองค์ ดังที่ทรงตรัสว่า
{الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى * لَهُ مَا فِي السَّمَاوَاتِ وَمَا فِي الْأَرْضِ وَمَا بَيْنَهُمَا وَمَا تَحْتَ الثَّرَى} [طه : 5 ، 6]
ผู้ทรง กรุณาปรานี ทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์ @ กรรมสิทธิ์ของพระองค์นั้นคือ สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสอง และสิ่งที่อยู่ใต้พื้นดิน – ฏอฮา 5-6
شعار أصحاب الحديث لأبي أحمد الحاكم (ص40-41)، قال: سمعت محمد بن إسحاق الثقفي (أبو العباس السراج) قال: سمعت أبا رجاء قتيبه بن سعيد. إسناده صحيح.


หะดิษเศาะเฮียะยืนยัน การอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ ، عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، قَالَ : " لَمَّا خَلَقَ اللَّهُ الْخَلْقَ كَتَبَ فِي كِتَابِهِ وَهُوَ يَكْتُبُ عَلَى نَفْسِهِ وَهُوَ وَضْعٌ عِنْدَهُ عَلَى الْعَرْشِ : إِنَّ رَحْمَتِي تَغْلِبُ غَضَبِي
dari Abu Hurairah radhiyallahu ‘anhu, Rasulullah shallallahu ‘alaihi wa sallam bersabda, “Tatkala Allah menciptakan para makhluk, Dia menulis dalam kitab-Nya, yang kitab itu terletak di sisi-Nya di atas ‘Arsy, “Sesungguhnya rahmat-Ku lebih mengalahkan kemurkaan-Ku
รายงาน จากอบีฮุรัยเราะฮ (ร.ฎ) จากนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า ขณะที่อัลลอฮฺได้สรรค์สร้างมัคลูก อัลลอฮฺได้ทรงบันทึกในกิตาบของพระองค์ และพระองค์ก็ทรงบันทึกเรื่องราวของพระองค์เอง ซึ่งมันถูกวางไว้ ณ พระองค์ บนบัลลังก์(อารัช)ว่า “แท้จริงความเมตตาของฉัน นำหน้าซึ่งความโกรธกริ้วของฉัน”- บันทึกโดยบุคอรีและมุสลิม

รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ กล่าวว่า
أَلَا تَأْمَنُونِي وَأَنَا أَمِينُ مَنْ فِي السَّمَاءِ يَأْتِينِي خَبَرُ السَّمَاءِ صَبَاحًا وَمَسَاءً
พวก ท่านไม่ไว้วางใจฉันดอกหรือ ทั้งๆทีฉันเป็นผู้ได้รับความไว้วางใจของผู้ที่อยู่บน ฟากฟ้า ? รายงานของผู้ที่อยู่บนฟากฟ้า จะมายังฉัน ในเวลาเช้าและเวลาบ่าย – บันทึกโดยบุคอรีและมุสลิม


อัลลอฮตรัสว่า
أَأَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ أَنْ يَخْسِفَ بِكُمُ الْأَرْضَ فَإِذَا هِيَ تَمُورُ
พวกเจ้าจะปลอดภัยละหรือ จากการที่พระองค์ทรงสถิตย์อยู่ ณ ฟากฟ้าจะให้แผ่นดินสูบพวกเจ้าแล้วขณะนั้นมันจะหวั่นไหว
أَمْ أَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ أَنْ يُرْسِلَ عَلَيْكُمْ حَاصِبًا ۖ فَسَتَعْلَمُونَ كَيْفَ نَذِيرِ
หรือ ว่าพวกเจ้าจะปลอดภัยจากการที่พระผู้ทรงสถิตย์อยู่ ณ ฟากฟ้า จะทรงส่งลมหอบก้อนกรวดให้กระหน่ำมายัง พวกเจ้า แล้วพวกเจ้าจะได้รู้ว่าการตักเตือนของข้าเป็นเช่นใด ?
…………
ใครคือผู้สถิต อยู่บนฟากฟ้า ?
มาดูคำอธิบายของ ท่านอิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ ปราชญ์นักตัฟสีรยุคสะลัฟ
( أَمْ أَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ ) وَهُوَ اللَّهُ ( أَنْ يُرْسِلَ عَلَيْكُمْ حَاصِبًا )
(หรือ ว่าพวกเจ้าจะปลอดภัยจากการที่พระผู้ทรงสถิตย์อยู่ ณ ฟากฟ้า ) และพระองค์คือ อัลลอฮ (จะทรงส่งลมหอบก้อนกรวดให้กระหน่ำมายัง พวกเจ้า ) ดูตัฟสีรอิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบายซูเราะฮอัลมุลกุ อายะฮ ที่ 17
...........
ท่านอิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ ปราชญ์นักตัฟสีรยุคสะลัฟ ยืนยันว่า พระผู้ทรงสถิตย์อยู่ ณ ฟากฟ้า ) พระองค์คือ อัลลอฮ


และอิหม่ามอัซซะฮะบีย์เอง กล่าวว่า
مقالة السلف وأئمة السنة بل الصحابة والله ورسوله صلى الله عليه وسلم والمؤمنين : وأن الله فوق سماواته
คำพูดสะลัฟ และบรรดาอิหม่ามสุนนะฮ โดยเฉพาะ เศาะหาบะฮ และ,อัลลอฮ ,รอซูลของพระองค์ (ศอลฯ) และบรรดาผู้ศรัทธา คือ
แท้จริงอัลลอฮ อยู่บนฟากฟ้าของพระองค์ – อัลอะลูว์ หน้า 107


……………………………………………………………………………………………………………
ชี้แจงโดย อ.หะสัน หมัดอะดั้ม
รวบรวมโดย ทหารของอัลลอฮฺ แบบฉบับนบี







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น