อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2557

กระแสคลื่นของการเข้ารับศาสนาอิสลามในตะวันตก




แนวโน้มการเข้ารับอิสลามในหมู่ชาวคริสต์ที่เคร่งครัดและหัวรุนแรงที่มีมากกว่ากลุ่มอื่นๆ กว่า 80% ของมุสลิมใหม่ ได้ขยายตัวขึ้นจากโบสถ์ต่าง ๆ ของคริสเตียน ถ้าสถิติถูกต้องก็หมายความว่าในแต่ละปีมีชาวอเมริกันจากครอบครัวต่างๆ ของชาวคริสต์หันมาเข้ารับอิสลามมากกว่า 60,000 คน จากการยืนยันถึงข้อเท็จจริงที่สำคัญนี้ของนาย “โจเอล ริชาร์ดสัน” (Joel Richardson) ที่เขียนว่า “เพื่อนคนหนึ่งของผมซึ่งเป็นลูกชายของบาทหลวงคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่เขาเติบโตขึ้นมาจากครอบครัวคริสเตียนที่เคร่งศาสนามาก แต่เขาได้เข้ารับอิสลามในขณะที่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย ผมได้อ่านเอกสารหลักฐานต่าง ๆ มากมายที่แสดงให้เห็นถึงการเข้ารับอิสลามของบรรดานักบวช บาทหลวง มิชชันนารี และนักศึกษาวิชาเทววิทยา (Theology) แน่นอนพวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่สามัญชนทั่วไป (พวกเขาเป็นปัญญาชน)ท่ามกลางบุคคลเหล่านี้ก็ยังมีสมาชิกจากกลุ่มสุดโต่ง "ชาวคริสต์ที่ฝึกฝนทางด้านจิตวิญญาณ" รวมอยู่ด้วย
หากคุณเป็นคริสเตียนคนหนึ่งคุณจะต้องกล่าวว่าสิ่งนี้มันเป็นไปไม่ได้ ประเด็นที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งคือ จากการสัมภาษณ์บรรดาเยาวชนสตรีของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของอเมริกาที่พวกเธอเพิ่งเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม... พวกเขามีวุฒิการศึกษาระดับสูงจากมหาวิทยาลัยบอสตัน(Boston University)และฮาร์วาร์ด (Harvard University) และพวกเขาได้พูดคุยเกี่ยวกับอำนาจและความเจริญรุ่งเรืองของอิสลามและเหตุผลที่ว่า ทำไมพวกเขาจึงหันมาเข้ารับอิสลาม รายการนี้ออกอากาศหลายครั้งทั่วอเมริกา..." (ศูนย์สื่อการศึกษาและวิจัยตะวันออกกลาง โดยผู้นำมุสลิมชาวอเมริกัน)


“คลื่นการเข้ารับอิสลามในอเมริกา หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน” 16 พฤศจิกายน2001) บทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์ “นิวยอร์กไทม์ส” ฉบับวันที่ 22 ตุลาคม 2001 ในส่วนหนึ่งของเรื่องราวของ “จิม แฮ็กกิงค์” (Jim hacking) ได้เขียนว่า : ในช่วงเก้าปีที่ผ่านมา จิม แฮ็กกิงค์ ได้รับการฝึกฝนอบรมเพื่อที่จะให้เป็นนักบวชเยซูอิต (Jesuit) ขณะนี้เขาเป็นทนายความของกองทัพเรือในเซนต์หลุยส์ ซึ่งไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเพียงแค่เขาได้ศึกษาค้นคว้าสิ่งต่างๆ ที่เหมือนกันในระหว่างศาสนาทั้งหลาย ทำให้เขาเปลี่ยนศาสนา... ในวันที่ 6 มิถุนายน 1998 เขาได้กล่าวปฏิญาณตนเข้ารับอิสลาม


เขากล่าวว่า “สิ่งที่ผมเชื่อมั่นมาโดยตลอดนั่นก็คือ พระเจ้าทรงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ไม่มีความจำเป็นต้องมีพระบุตรเพื่อปฏิบัติภารกิจต่างๆ ของพระองค์”
ทางเลือกใหม่ในการยอมรับเอกานุภาพของพระเจ้า (Monotheism) โจเอล ริชาร์ดสัน (Joel Richardson) กล่าวด้วยความรู้สึกเสียใจว่า “ขณะนี้ศาสนาอิสลามได้แผ่ขยายในโลกตะวันตก หลายคนได้เข้าใจแล้วว่า ศาสนาคริสต์ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลือกเดียวของศาสนาแห่งพระเจ้าที่มีอยู่ เป็นที่น่าเสียใจที่คนจำนวนมากได้เลือกศาสนาอิสลามแทนศาสนาคริสต์” เดวิด พาวซัน (David Pawson) นักเขียนและเป็นครูสอนพระกิตติคุณ (คัมภีร์ไบเบิล) ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นของอังกฤษ ได้เล่าถึงประสบการณ์จากเพื่อนของเขาว่า

: เพื่อนคนหนึ่งของผม เป็นที่ปรึกษาของโรงเรียนแห่งหนึ่ง เขามีความสุขมากที่เด็กชายคนหนึ่งที่เขาเคยให้การช่วยเหลือได้พบเป้าหมายในการดำเนินชีวิต เขากล่าวกับเด็กชายผู้นั้นว่า “จงเชื่อมั่นเถิดว่า มีพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียวที่จะสามารถเชื่อมั่นในพระองค์ได้” แต่แล้วเขาก็ต้องตกตะลึงและรู้สึกเศร้าโศกเสียใจที่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ เด็กชายผู้นั้นได้กล่าวว่า “เขาเข้ารับอิสลามแล้ว” ในขณะที่ศาสนาอิสลามกำลังเติบโตอยู่ในตะวันตกนั้น เรื่องราวลักษณะเช่นนี้จะถูกกล่าวถึงครั้งแล้วครั้งเล่า
ชื่อ "มุฮัมมัด" เป็นชื่ออันดับแรกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกรุงลอนดอน และเป็นอันดับสองที่มีการใช้มากที่สุดในประเทศอังกฤษ กระแสคลื่นของการเข้ารับศาสนาอิสลามในตะวันตก ดูเหมือนว่าจะส่งผลกระทบต่อรสนิยมของผู้คนทั้งหลายเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่สำนักงานสถิติประชากรแห่งชาติของอังกฤษได้ประกาศว่า

ในปี ค.ศ.2012 ชื่อ "มุฮัมมัด" ถูกเลือกจากครอบครัวต่างๆ ของชาวอังกฤษเพื่อตั้งเป็นชื่อบุตรของตนจำนวนถึง7,139 คน เช่นเดียวกันในปี ค.ศ. 2009 ในพื้นที่ “แซน-แซ็ง-เดอนี” (Seine-Saint-Denis)เป็นจังหวัดหนึ่งในแคว้น “อีล-เดอ-ฟร็องส์” (Île-de-France) ในภาคเหนือของประเทศฝรั่งเศส และในปี ค.ศ. 2010 ในเมือง “มาร์แซย์” (Marseille) ในภาคใต้ของประเทศนี้ ชื่อ "มุฮัมมัด" เป็นชื่อแรกๆ ที่ได้รับความนิยมจากครอบครัวต่างๆ มากที่สุด และชื่อนี้ตลอดช่วงปี 2012 ยังคงได้รับการบันทึกอยู่ในจำนวนร้อยชื่อที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกรุงปารีส และชื่อ "มุฮัมมัด อามีน" และเป็นชื่อประกอบสองคำอันดับแรกที่ถูกเลือกใช้โดยชาวฝรั่งเศสในปี 2010

นอกจากนี้ในปี ค.ศ. 2007 ในกรุง “บรัสเซลส์” (เมืองหลวงของประเทศเบลเยียม ) และในปี ค.ศ.2008 ในเมือง “มิลาโน่” (Milano) ของอิตาลี และในปี ค.ศ. 2012 ในกรุง “ออสโล” เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์ ชื่อ "มุฮัมมัด" กลายเป็นชื่อแรกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด


..................................
Namah Buranapong





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น