อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

กลัวว่าผู้คนจะไม่มีการให้อภัยกันอีก




ครั้งหนึ่ง
มีชายหนุ่มสองคนได้จับลากตัวชายอาหรับเร่ร่อนจาก
ทะเลทรายมาหาท่านอุมัร เพื่อตัดสินลงโทษ
ท่านอุมัรถามว่า เขาทำอะไรผิดหรือ
ชายหนุ่มทั้งสองตอบว่า เขาฆ่าบิดาของเราทั้งสอง ท่านอุมัรจึงถามชายผู้เป้นฆาตกรว่า ทำไมจึงฆ่าเขา และฆ่าอย่างไร

เขาจึงเล่าเหตุการ์นทั้งหมดให้ท่านอุมัรฟังว่า ผู้ตายได้นำอูฐเข้ามาในที่ของเขา เขาจึงได้ขับไล่ผู้ตายและอูฐออกจากที่ของเขา แต่ผู้ตายไม่ยอมออก เขาจึงเอาก้อนหินขว้างไป
โดนที่ศรีษะ ทำให้ผู้ตายได้เสียชีวิต

ท่านอุมัรจึงตัดสินให้ประหารชีวิตเขาทันที แต่เขาได้กล่าวขอกับท่านอุมัรว่า เขายินดีรับโทษตาม
ความผิด แต่ขอให้เขาได้กลับไปหาร้ำลาครอบครัวลูกๆ
ที่ยังเล้กๆ และกำลังรออาหารจากเขาก่อนได้หรือไม่ เพราะครอบครัวของเขารอเขากลับบ้านอยู่และอาจจะอดตาย

ท่านอุมัรจึงถามทุกคนว่า ในที่นี้ใครจะรับประกันเขาได้บ้าง ทุกคนเงียบ ไม่มีใครที่จะรับประกันชายแปลกหน้าเผ่าเร่ร่อน
อย่างเขาได้ ท่านอุมัรจึงให้พาเขาไปยังที่ประหาร ท่านอุมัรรู้สึกเป้นกังวลถึงครอบครัวของเขามาก เพราะการประหารเขา อาจเท่ากับประหารชีวิตครอบครัว ลูกๆเล้กๆของเขาด้วย

เมื่อถึงที่ประหารท่านอุมัรจึงถามบุตรชายทั้งสองของผู้ตาย
อีกครั้งว่าท่านทั้งสองคิดเช่นไร บุตรชายทั้งสองก้ยังยืนยันที่ต้องการให้ประหารเขาเลย ท่านอุมัรจึงถามคนอื่นๆอีกว่า จะมีใครกล้าค้ำประกันให้เขากลับไปหาครอบครัว
ก่อนประหารไหม ทุกคนเงียบ
ยกเว้นผู้เฒ้าคนหนึ่งที่ชื่อ อบูซัรริน ซอฮาบะฮ์ผู้อาวุโสของรอซูลุ้ลลอฮ์(ซล)
ท่านได้ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า ฉันขอรับประกันเขาเอง ท่านอุมัรจึงถามว่า ท่านรู้จักเขาหรือ
อบูซัรริน กล่าวฉันไม่รู้จักเขา
ท่านรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้างไหม ท่านอุมัรถาม
ท่านอบูซัรรินกล่าวว่า ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย ท่านอุมัรจึงกล่าวว่าแล้วท่านกล้ารับประกันเขาหรือ อบูซัรรินก้ยังยืนยันรัปประกันเขาเหมือนเดิม

ท่านอุมัรจึงให้เวลาเขาสามวันที่จะกลับไปหาครอบครัว
และให้กลับมาก่อนดวงอาทิตย์ตกของวันที่สาม โดยมีอบูซัรรินเป้นผู้ค้ำประกันด้วยชีวิต

และสามวันหลังจากนั้น หลังละหมาดอัสริ ชายผู้นั้น
ก้ยังไม่กลับมา ท่านอุมัรมองท่านอบูซัรรินที่นั่ง
อยู่ข้างหน้าด้วยความกังวลใจเป้นที่สุด แต่ท่านอบูซัรรินกลับนั่งอย่างสงบนิ่ง และทุกคนต่างเฝ้ามองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า
ด้วยหัวใจที่คิดว่าวันนี้ทำไมดวงอาทิตย์จึงเดินเร้ว

แต่ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ก้ปรากฏชายอาหรับเร่ร่อนผู้นั้นได้กลับมาทันตามสัญญา ท่านอุมัรได้กล่าว อัลลอฮุอักบัรๆ ด้วยเสียงอันดัง พร้อมการกล่าวอัลลอฮุอักบัรของผู้ที่อยู่ในมัสยิดทั้งหมด

หลังจากนั้นท่านอุมัรจึงถามเขาว่า ทำไมเจ้าจึงกลับมา เขากล่าวตอบว่า ถ้าฉันไม่กลับมาฉันกลัวว่าผู้คนจะไม่รักษา
สัญญากันอีก แล้วท่านอุมัรจึงได้หันไปถามท่านอบูซัรรินว่า แล้วทำไมท่านจึงกล้ารับประกันให้เขา ท่านอบูซัรรินได้กล่าวตอบว่า เพราะฉันกลัวความดีของผู้คนจะหายไป ท่านอุมัรจึงได้หันไปถามบุตรชายทั้งสองของผู้ตายว่า แล้วท่านทั้งสองคิดว่าอย่างไร บุตรชายทั้งสองของผู้ถูกตายก้กล่าวว่า
เราทั้งสองอภัยให้เขาแล้ว ด้วยความดีของเขา อย่าประหารเขาเลย
ท่านอุมัรจึงถามว่า ทำไมท่านทั้งสองจึงอภัยแก่เขา บุตรทั้งสองของผู้ตายจึงกล่าวว่า เพราะเรากลัวว่าผู้คนจะไม่มีการให้อภัยกันอีก

เมื่อทั้งสองกล่าวตอบแก่ท่านอุมัรดังนั้นแล้ว
เสียงกล่าว อัลลอฮุอักบัรได้ดังกฮึ่มไปทั้วมัสยิด พร้อมกับน้ำตาแห่งการให้อภัยซึ่งกันและกันบนใบหน้า
และสองแก้มของคนทั้งมัสยิด อัลลอฮุอักบัรๆๆๆๆๆๆ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น