ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม #อ้างอิงจาก Asan Binabdullah
มาแล้วครับ
ขอเรียนผู้อ่านว่า ผมจะตอบข้ออ้างของคู่สนทนา ที่มีการอ้างหลักฐานเท่านั้น จะไม่นำมาชี้แจงสิ่งที่เป็นตรรกของคู่สนทนา ซึ่งเริ่มขาดเสบียงแล้ว แล้วใช้วิธีออกข้อสอบ ถามคูสนทนา มันไม่มีประโยชน ต่อไปนี้ผมจะชี้แจง ห้ามคูสนทนาโพสต์และขอเตือนถ้าไม่มีหลักฐานอ้างอย่าแถให้รกกระทู้เพราะจะกลบเกลือนหลักฐานคู่สนทนา
#################
#ชี้แจง สงสัยบังฮาสันคงมีอะไรติดในคอ ถึงไม่กล้าตอบคำถาม เพราะตัวเองเท่วโกหกเรื่องศาสนามานานนับสิบปี มาวันนี้พอเจอคำถามที่พันหลักตัวเองเลยตอบไม่ได้. เมื่อการถามด้วยตรรกะไม่ได้อยู่ในเงื่อนไข ผมขอถามดังเดิม.
1.บังฮาสันไปเอามาจากไหนว่า การกระทำของท่านอุมัร คือสุนนะห์คอลีฟะห์ในด้านอิสตีลาฮ
2.บังฮาสันชอบพูดว่า บิดอะห์ทางภาษาคือบิดอะห์ดุนยา ฉะนั้นเมื่อบังฮาสันอ้างมาเองว่า การรวบรวมละหมาดตารอแวฮของท่านอุมัรคือบิดอะห์ดุนยา. อยากทราบว่า ตรงส่วนไหนของการละหมาดตารอแวฮคือเรื่องดุนยาครับ...
ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม ขออนุญาติทำกับข้าวให้เจ้านายศรีภรรยาผมก่อนครับ😝😝😝😝😝😝😝😝
ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม #อ้างอิงจาก Asan Binabdullah
การกระทำของบุคคลที่ท่านนบี ศอ็ลฯ สั่งเสียให้ปฏิบัติตามสุนนะฮของเขา จะเรียกว่าบิดอะฮได้อย่างไร และในหะดิษ ท่านนบีไม่ได้ใช้คำว่า ให้ยึดบิดอะฮของเคาะลิฟะฮ เพราะฉะนั้นการนำคำพูดอิบนุอัลอะษีรเพื่อมารับรองการอุตริบิดอะฮในศาสนาถือเป็นการบิดเบือนคำอธิบายของอิบนุอัลอะษีร และบิดเบือนหะดิษท่านนบีอีกด้วย
###########
#ชี้แจง. บังฮาสันผมทรรศนะท่านอิบนุอาซีร บังฮาสันต่างหากที่บิดเบือน เรามาดูกันใหม่
ท่านอิบนุ อัล-อะษีร กล่าวว่า "บิดอะฮ์ มี 2 ประเภท คือบิดอะฮ์ที่อยู่ในทางนำ และบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง เพราะฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่ขัดแย้งกับสิ่งที่อัลเลาะฮ์และร่อซูล(ซ.ล.) ทรงใช้นั้น ย่อมอยู่ในกรอบของการถูกตำหนิและปฏิเสธ และสิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้การครอบคลุมสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงใช้และส่งเสริม หรือสิ่งที่ร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) เรียกร้องและส่งเสริม ก็ย่อมอยู่ในกรอบแห่งการสรรเสริญ" จากนั้น ท่านอิบนุ อัล-อะษีร ทำการยกตัวอย่างบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ด้วยคำกล่าวของท่านอุมัร เกี่ยวกับละหมาดตะรอวิหฺ ว่า
نعمت البدعة هذه
"เป็นบิดอะฮ์ที่ดี คือ(ตะรอวิหฺ) อันนี้"
จากนั้น ท่านอิบนุ อัล-อะษีร กล่าวว่า " บิดอะฮ์(จากคำกล่าวของท่านอุมัรนี้) แก่นแท้แล้ว คือซุนนะฮ์ เพราะท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า
فعليكم بسنتى وسنة الخلفاء الراشدين
"พวกท่านจงยึดซุนนะฮ์ของฉัน และแนวทางของบรรดาคอลิฟะฮฺผู้ทรงธรรม"
และท่านร่อซุล กล่าวอีกว่า
إقتدوا بالذين من بعدى أبى بكر وعمر
" และพวกท่านจงดำเนินตาม บุคคลทั้งสองหลังจากที่ฉัน(ได้เสียชีวิตไปแล้ว) เขาทั้งสองคือ อบูบักรและอุมัร"
และหากเราได้ดำเนินตามความหมายตามนี้ ก็สามารถตีความ อีกหะดิษหนึ่งที่ว่า
(كل محدثة بدعة)
"ทุกสิ่งที่ทำขึ้นใหม่นั้นเป็นบิดอะฮ์"
คือ แท้จริง ท่านร่อซูล(ซ.ล.)หมายถึง ทุก ๆ สิ่งที่ขัดกับหลักพื้นฐาน(อุซูล)ต่าง ๆ ของชะริอะฮ์และไม่สอดคล้องกับซุนนะฮ์ " (ดู หนังสือ อันนิฮายะฮ์ ฟี ฆ่อรีบ อัลหะดีษ เล่ม 1 หน้า 106 - 107)
การกระทำของบุคคลที่ท่านนบี ศอ็ลฯ สั่งเสียให้ปฏิบัติตามสุนนะฮของเขา จะเรียกว่าบิดอะฮได้อย่างไร และในหะดิษ ท่านนบีไม่ได้ใช้คำว่า ให้ยึดบิดอะฮของเคาะลิฟะฮ เพราะฉะนั้นการนำคำพูดอิบนุอัลอะษีรเพื่อมารับรองการอุตริบิดอะฮในศาสนาถือเป็นการบิดเบือนคำอธิบายของอิบนุอัลอะษีร และบิดเบือนหะดิษท่านนบีอีกด้วย
###########
#ชี้แจง. บังฮาสันผมทรรศนะท่านอิบนุอาซีร บังฮาสันต่างหากที่บิดเบือน เรามาดูกันใหม่
ท่านอิบนุ อัล-อะษีร กล่าวว่า "บิดอะฮ์ มี 2 ประเภท คือบิดอะฮ์ที่อยู่ในทางนำ และบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง เพราะฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่ขัดแย้งกับสิ่งที่อัลเลาะฮ์และร่อซูล(ซ.ล.) ทรงใช้นั้น ย่อมอยู่ในกรอบของการถูกตำหนิและปฏิเสธ และสิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้การครอบคลุมสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงใช้และส่งเสริม หรือสิ่งที่ร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) เรียกร้องและส่งเสริม ก็ย่อมอยู่ในกรอบแห่งการสรรเสริญ" จากนั้น ท่านอิบนุ อัล-อะษีร ทำการยกตัวอย่างบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ด้วยคำกล่าวของท่านอุมัร เกี่ยวกับละหมาดตะรอวิหฺ ว่า
نعمت البدعة هذه
"เป็นบิดอะฮ์ที่ดี คือ(ตะรอวิหฺ) อันนี้"
จากนั้น ท่านอิบนุ อัล-อะษีร กล่าวว่า " บิดอะฮ์(จากคำกล่าวของท่านอุมัรนี้) แก่นแท้แล้ว คือซุนนะฮ์ เพราะท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า
فعليكم بسنتى وسنة الخلفاء الراشدين
"พวกท่านจงยึดซุนนะฮ์ของฉัน และแนวทางของบรรดาคอลิฟะฮฺผู้ทรงธรรม"
และท่านร่อซุล กล่าวอีกว่า
إقتدوا بالذين من بعدى أبى بكر وعمر
" และพวกท่านจงดำเนินตาม บุคคลทั้งสองหลังจากที่ฉัน(ได้เสียชีวิตไปแล้ว) เขาทั้งสองคือ อบูบักรและอุมัร"
และหากเราได้ดำเนินตามความหมายตามนี้ ก็สามารถตีความ อีกหะดิษหนึ่งที่ว่า
(كل محدثة بدعة)
"ทุกสิ่งที่ทำขึ้นใหม่นั้นเป็นบิดอะฮ์"
คือ แท้จริง ท่านร่อซูล(ซ.ล.)หมายถึง ทุก ๆ สิ่งที่ขัดกับหลักพื้นฐาน(อุซูล)ต่าง ๆ ของชะริอะฮ์และไม่สอดคล้องกับซุนนะฮ์ " (ดู หนังสือ อันนิฮายะฮ์ ฟี ฆ่อรีบ อัลหะดีษ เล่ม 1 หน้า 106 - 107)
ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม จากฮาดิษที่ว่า #ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่คือบิดอะห์. ท่านอิบนุอาซีรอธิบายว่าๆ หมายถึงทุกๆสิ่งที่ขัดหลักซารีอัตเท่านั้น ส่วนสิ่งใหม่ที่ไม่ขัดหลักซารีอัต มันก้อคือบิดอะห์ฮาสานะห์หรือสุนนะห์นั่นเอง. #ฉะนั้น บังฮาสันอย่ามาอวดดี สรุปทรรศนะอุลามะด้วยนัฟซูตัวเองสิครับ. มันฮารอม
ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม #อ้างอิงจาก Asan Binabdullah
เพราะฉะนั้น การเอาการกระทำของเคาะลิฟะฮรอชิดีน มาเป็นข้ออ้างเพื่ออุตริบิดอะฮในศาสนา คือการบิดเบือนหลักฐานทางศาสนา
#############
#ชี้แจง. ตกลงบังฮาสันเมาอะไรมาครับ ถึงแยกแยะอะไรไม่ออก ผมบอกเมื่อไหร่ครับว่า การละหมาดตารอแวฮสมัยท่านอุมัรไม่ใช่อิจมะ ไม่มีใครที่อุมมัตอิสลามจะปฏิเสธอิจมะหรอกครับ แต่ประเด็นคือ ท่านอุมัรเป็นคนบอกเองว่า การรวมตารอแวฮเป็นญามาอะห์ คือ #บิดอะห์ฮาสานะห์ คุณจะให้เราปฏิเสธคำพูดที่เป็นชาวสวรรค์ที่ท่านนบีรับรองหรือครับ.
ในขณะบังฮาสันเองนั่นแหละที่ไม่ยอมรับอิจมะ เพราะคุณกล่าวมาตลอดว่า บิดอะห์มีประเภทเดียว คือหลงผิดต้องตกนรก ในขณะที่อิจมะอุลามะนั้นแบ่งบิดอะห์ออกเป็นสองประเภท... คือบิดอะห์ที่ดีและบิดอะห์ที่เลว
----------------
ท่านอบู ชามะฮ์ กล่าวว่า " สิ่งที่กระทำขึ้นมาใหม่นั้น ถูกแบ่งออกเป็น บิดอะฮ์หะสะนะฮ์(บิดอะฮ์ที่ดี) และบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ (แล้วท่าน อบู ชามะฮ์ ก็อ้างอิงคำพูดของอิมามชาฟิอีย์ ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น) จากนั้น ท่านอบู ชามะฮ์กล่าวว่า " ฉันขอกล่าวว่า แท้จริง มันก็เป็นอย่างเช่นดังกล่าว เพราะท่านนบี(ซ.ล.) ส่งเสริมให้มีการละหมาดสุนัตในเดือนร่อมะฏอน โดยที่ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กระทำที่มัสยิด โดยที่ซอฮาบะฮ์บางส่วนได้ทำการละหมาดตามท่านนบีเพียงไม่กี่คืน หลังจากนั้น ท่านนบี(ซ.ล.) ได้ทิ้งการละหมาดดังกล่าวในรูปแบบญะมาอะฮ์ โดยท่านนบี(ซ.ล.)ให้เหตุผลในเรื่องดังกล่าวว่า เกรงจะถูกฟัรดูแก่พวกเขา ดังนั้น เมื่อท่านนบี(ซ.ล.)ได้เสียชีวิต แล้วการปฏิบัติดังกล่าวก็ยุติลง ช่วงหลังจากนั้น บรรดาซอฮาบะฮ์จึงลงมติให้ทำการละหมาด(ตะรอวิหฺ)ในเดือนรอมาฏอนที่มัสยิดแบบญะมาอะฮ์ เพื่อเป็นการฟื้นฟูเอกลักษณ์ที่อัลเลาะฮ์ทรงใช้ และได้ส่งเสริมให้กระทำมัน วัลลอฮุอะลัม
จากที่ได้กล่าวมานี้จึงสามารถสรุปได้ว่า บรรดาบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น บรรดาปวงปราชญ์แห่งโลกอิสลามได้ลงมติเห็นพร้องว่า อนุญาติให้กระทำได้ และยังมีหวังได้ผลบุญ สำหรับผู้ที่มีเจตนาที่ดี โดยที่บิดอะฮ์นั้น จะต้องเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่และสอดคล้องกับกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ของหลักศาสนา (ชะรีอะฮ์) และจะต้องไม่มีข้อห้ามตามหลักศาสนาหากได้กระทำมัน (ดู อัลบาอิษ อะลา อินการิลบิดะอ์ วัลหะวาดิษ ของท่าน อบี ชามะฮ์ หน้า 93)
เพราะฉะนั้น การเอาการกระทำของเคาะลิฟะฮรอชิดีน มาเป็นข้ออ้างเพื่ออุตริบิดอะฮในศาสนา คือการบิดเบือนหลักฐานทางศาสนา
#############
#ชี้แจง. ตกลงบังฮาสันเมาอะไรมาครับ ถึงแยกแยะอะไรไม่ออก ผมบอกเมื่อไหร่ครับว่า การละหมาดตารอแวฮสมัยท่านอุมัรไม่ใช่อิจมะ ไม่มีใครที่อุมมัตอิสลามจะปฏิเสธอิจมะหรอกครับ แต่ประเด็นคือ ท่านอุมัรเป็นคนบอกเองว่า การรวมตารอแวฮเป็นญามาอะห์ คือ #บิดอะห์ฮาสานะห์ คุณจะให้เราปฏิเสธคำพูดที่เป็นชาวสวรรค์ที่ท่านนบีรับรองหรือครับ.
ในขณะบังฮาสันเองนั่นแหละที่ไม่ยอมรับอิจมะ เพราะคุณกล่าวมาตลอดว่า บิดอะห์มีประเภทเดียว คือหลงผิดต้องตกนรก ในขณะที่อิจมะอุลามะนั้นแบ่งบิดอะห์ออกเป็นสองประเภท... คือบิดอะห์ที่ดีและบิดอะห์ที่เลว
----------------
ท่านอบู ชามะฮ์ กล่าวว่า " สิ่งที่กระทำขึ้นมาใหม่นั้น ถูกแบ่งออกเป็น บิดอะฮ์หะสะนะฮ์(บิดอะฮ์ที่ดี) และบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ (แล้วท่าน อบู ชามะฮ์ ก็อ้างอิงคำพูดของอิมามชาฟิอีย์ ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น) จากนั้น ท่านอบู ชามะฮ์กล่าวว่า " ฉันขอกล่าวว่า แท้จริง มันก็เป็นอย่างเช่นดังกล่าว เพราะท่านนบี(ซ.ล.) ส่งเสริมให้มีการละหมาดสุนัตในเดือนร่อมะฏอน โดยที่ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กระทำที่มัสยิด โดยที่ซอฮาบะฮ์บางส่วนได้ทำการละหมาดตามท่านนบีเพียงไม่กี่คืน หลังจากนั้น ท่านนบี(ซ.ล.) ได้ทิ้งการละหมาดดังกล่าวในรูปแบบญะมาอะฮ์ โดยท่านนบี(ซ.ล.)ให้เหตุผลในเรื่องดังกล่าวว่า เกรงจะถูกฟัรดูแก่พวกเขา ดังนั้น เมื่อท่านนบี(ซ.ล.)ได้เสียชีวิต แล้วการปฏิบัติดังกล่าวก็ยุติลง ช่วงหลังจากนั้น บรรดาซอฮาบะฮ์จึงลงมติให้ทำการละหมาด(ตะรอวิหฺ)ในเดือนรอมาฏอนที่มัสยิดแบบญะมาอะฮ์ เพื่อเป็นการฟื้นฟูเอกลักษณ์ที่อัลเลาะฮ์ทรงใช้ และได้ส่งเสริมให้กระทำมัน วัลลอฮุอะลัม
จากที่ได้กล่าวมานี้จึงสามารถสรุปได้ว่า บรรดาบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น บรรดาปวงปราชญ์แห่งโลกอิสลามได้ลงมติเห็นพร้องว่า อนุญาติให้กระทำได้ และยังมีหวังได้ผลบุญ สำหรับผู้ที่มีเจตนาที่ดี โดยที่บิดอะฮ์นั้น จะต้องเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่และสอดคล้องกับกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ของหลักศาสนา (ชะรีอะฮ์) และจะต้องไม่มีข้อห้ามตามหลักศาสนาหากได้กระทำมัน (ดู อัลบาอิษ อะลา อินการิลบิดะอ์ วัลหะวาดิษ ของท่าน อบี ชามะฮ์ หน้า 93)
ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม อย่าเพิ่งเมนท์ผมยังชี้แจงไม่เสร็จ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น