อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

เสวนาเรื่องอิบาดะฮฺมีบิดอะฮฮาซานะฮฺจริงหรือ (ตอนที่ 1)


วลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลกฉันขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺไม่มีภาคีใดเทียบเคียงพระองค์ และขอปฏิญาณว่าท่านนบีมุหัมมัดคือบ่าวและศาสนทูตของพระองค์
อัลลอฮฺตะอาลา เพียงพระองค์เดียวคือ ผู้ทรงสร้าง และผู้ทรงเลือก พระองค์ตรัสว่า
﴿ وَرَبُّكَ يَخۡلُقُ مَا يَشَآءُ وَيَخۡتَارُۗ مَا كَانَ لَهُمُ ٱلۡخِيَرَةُۚ سُبۡحَٰنَ ٱللَّهِ وَتَعَٰلَىٰ عَمَّا يُشۡرِكُونَ ٦٨ ﴾ [القصص: ٦٨]
“และพระเจ้าของเจ้าทรงสร้างสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์และทรงเลือกพวกเขาไม่มีสิทธิ์ในการเลือก
มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่อัลลอฮฺและพระองค์ทรงสูงส่งเหนือสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคี”
ต่อไปนี้จะเป็นการเสวนาเรื่อง บิดอะฮหะสะนะฮมีในอิสสลามจริงหรือ
โดยมีเงื่อนไขต่อไปนี้
1.สาบานมุบาฮะฮด้วยนามอัลลอฮใครจงใจโกหกบิดเบือนคำพูดอัลลอฮและรอซูล ขอให้ประสบความวิบัติในโลกนี้และโลกหน้า
2.นำเสนอหลักฐานทางวิชาการ ตัวบท คำแปล และแหล่งอ้างอิง
3. โพสต์โดยสลับเปลี่ยนกันโพสต์ต่อโพสต์
4. ห้ามใครเข้ามาโพสต์ก่อกวน ใครก่อกวนบล็อก
.........................
ขอเรียนเชิญพี่น้องมาติดตามและเป็นสักขีพยานด้วย

281 ความคิดเห็น
ความคิดเห็น
ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม อัสสลามุอาลัยกุ้ม. ผมพร้อมจะสนทนาเรื่องนี้. ตามเงื่อนไขคือห้ามคนอื่นเมนท์โดยเด็ดขาด ทั้งช่องใหญ่และช่องเล็ก หากมีการเมนท์ให้กรรมการลบออกให้หมด...

ส่วนหัวข้อจากที่คุยกันคือ. #บิดอะห์มีในอิสลามจริงหรือ. หวังว่ากรรมการแก้ไขนะครับ...
ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม ข้าพเจ้าขอสาบานว่า หากข้าพเจ้ามีเจตนาบิดเบือนหลักฐานของศาสนาอิสลาม ขอให้อัลลอฮลงโทษข้าพเจ้าในโลกนี้และโลกหน้าด้วยเถอะ
Asan Binabdullah ผมขอสาบานด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ หากกระผมบิดเบือนกิตาบุลลอฮ อัสสุนนะฮและข้อมูลทางวิชาการ โดยเจตนาของอัลลอฮลงโทษข้าพระองค์ในดุนยาและอาคีเราะฮ และหากสิ่งที่ข้าพระองค์ทำนี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ได้โปรดชี้นำผู้ที่ไม่รู้ด้วยเถิด
Asan Binabdullah ขอให้ ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม สาบานมุบาฮะละฮ แบบเดียวกับที่ผมสาบานข้างต้น อินชาอัลลอฮ การเสวนาก็จะเกิดขึ้นตามเวลาที่จะอำนวยให้
ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม ผมขอสาบานด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ หากกระผมบิดเบือนกิตาบุลลอฮ อัสสุนนะฮและข้อมูลทางวิชาการ โดยเจตนาของอัลลอฮลงโทษข้าพระองค์ในดุนยาและอาคีเราะฮ และหากสิ่งที่ข้าพระองค์ทำนี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ได้โปรดชี้นำผู้ที่ไม่รู้ด้วยเถิด
ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม ขอให้ Asan Binabdullah สาบานมุบาฮะละฮ แบบเดียวกับที่ผมสาบานข้างต้น อินชาอัลลอฮ การเสวนาก็จะเกิดขึ้นตามเวลาที่จะอำนวยให้
Asan Binabdullah ข้าพเจ้าขอสาบานว่า หากข้าพเจ้ามีเจตนาบิดเบือนหลักฐานของศาสนาอิสลาม ขอให้อัลลอฮลงโทษข้าพเจ้าในโลกนี้และโลกหน้าด้วยเถอะ
ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม จากกระทู้ที่ถามว่า บิดอะห์ฮาสานะห์มีอยู่จริงหรือไม่ ผมขอตอบว่า #มีอยู่จริงโดยอาศัยหลักฐานดังนี้...

ฮาดิษรายงานโดยท่าน มุสลิมในซอฮีฮ์ ของเขา..


قال رسول الله صلي الله عليه وسلم: "من سنّ في الإسلام سنّة حسنة كان له أجرها وأجر من عمل بها ... "

ท่านนาบี(ช.ล) กลาวว่า ผู้ใด "ริเริ่ม" ในอิสลาม แนวทางที่ดี ผู้นั้นจะได้รับการตอบแทน และบุญของผู้กระทำในสิ่งที่เขา ริเริ่ม...

〰〰〰〰〰〰〰〰

ฮาดิษรายงานโดยท่าน บูคอรี...

أن عمر بن الخطاب رضي الله عنه حين نظر في الناس يُصلون التراويح متفرقين قال: "لأجمعنّ هؤلاء في صلاة رجل واحد " ثم جاء في اليوم الثاني وهم يصلّون جماعة خلف إمام فأعجبه ذلك فقال: "نعْمَتِ البدعة هذه".

แท้จริงท่านอูมัร ร.ฎ. ได้กล่าวในขณะ ที่เขาได้มอง ปวงมนุษย์ ละมาดตาราวิฮ. แบบโดดเดียว ว่า แท้จริงเราจะ รวมตัวพวกเขา แบบละมาดยามาอะ , และวันที่สอง เขา ก็เห็นอย่างนั้นแล้ว เขาก็ได้กล่าว ว่า บิดอะห์ ที่ดีที่สุด คือ อันนี้แหละ.. #เชิญครับ
Asan Binabdullah ที่นี้ถึงตาผมนะครับ


Asan Binabdullah หะดิษข้างต้นคือ การส่งเสริมให้ปฏิบัติตามสุนนะฮ ไม่ใช่อุตริบิดอะฮ ที่มาของเรื่องคือ
حَدَّثَنِي زُهَيْرُ بْنُ حَرْبٍ، حَدَّثَنَا جَرِيرُ بْنُ عَبْدِ الْحَمِيدِ، عَنِ الأَعْمَشِ، عَنْ مُوسَى، بْنِ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ يَزِيدَ وَأَبِي الضُّحَى عَنْ عَبْدِ ا
لرَّحْمَنِ بْنِ هِلاَلٍ الْعَبْسِيِّ، عَنْ جَرِيرِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ قَالَ جَاءَ نَاسٌ مِنَ الأَعْرَابِ إِلَى رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم عَلَيْهِمُ الصُّوفُ فَرَأَى سُوءَ حَالِهِمْ قَدْ أَصَابَتْهُمْ حَاجَةٌ فَحَثَّ النَّاسَ عَلَى الصَّدَقَةِ فَأَبْطَئُوا عَنْهُ حَتَّى رُئِيَ ذَلِكَ فِي وَجْهِهِ - قَالَ - ثُمَّ إِنَّ رَجُلاً مِنَ الأَنْصَارِ جَاءَ بِصُرَّةٍ مِنْ وَرِقٍ ثُمَّ جَاءَ آخَرُ ثُمَّ تَتَابَعُوا حَتَّى عُرِفَ السُّرُورُ فِي وَجْهِهِ فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏
คำแปลตัวบท
รายงานจากญะรีร บิน อับดุลลอฮ ว่าเขากล่าวว่า “ มีบรรดาผู้คนชาวชนบท มาหาท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯสวมเสื้อผ้าทำด้วยหนังสัตว์ ท่านรซูลุลลอฮ เห็นสภาพความแร้นแค้นของพวกเขา แท้จริงความต้องการความช่วยเหลือได้ประสบกับพวกเขา แล้วท่านรซูลุลลอฮ ได้เร่งเร้าให้บรรดาผู้คนให้ทำการบริจาค ต่อมาพวกเขาได้ล่าช้า ในการบริจาค จนกระทั่งเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น จนกระทั่งความไม่พอใจปรากฏที่สีหน้าของท่านนบี, ท่านญารีร กล่าวว่า ต่อมามีชายคนหนึ่งนำถุงใส่เงินมาให้ ต่อมา คนอื่นก็นำมาอีก ต่อมาพวกเขาก็ติดตามกันมาต่อเนื่อง จนกระทั่งที่ใบหน้าของท่านรอซูล แสดงออกถึงความดีใจ แล้วท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ จึงกล่าวว่า
"‏ مَنْ سَنَّ فِي الإِسْلاَمِ سُنَّةً حَسَنَةً فَعُمِلَ بِهَا بَعْدَهُ كُتِبَ لَهُ مِثْلُ أَجْرِ مَنْ عَمِلَ بِهَا وَلاَ يَنْقُصُ مِنْ أُجُورِهِمْ شَىْءٌ وَمَنْ سَنَّ فِي الإِسْلاَمِ سُنَّةً سَيِّئَةً فَعُمِلَ بِهَا بَعْدَهُ كُتِبَ عَلَيْهِ مِثْلُ وِزْرِ مَنْ عَمِلَ بِهَا وَلاَ يَنْقُصُ مِنْ أَوْزَارِهِمْ شَىْءٌ ‏"
"ผู้ใดทำแบบอย่างที่ดีในอิสลาม เขาจะได้รับการตอบแทนของเขา และการตอบแทนของผู้ที่ปฏิบัติตามนั้น หลังจากเขา โดยไม่ถูกลดหย่อน
ไปจากการตอบแทนของพวกเขาแม้แต่น้อย และผู้ผู้ใดทำแบบอย่างที่ชั่วในอิสลาม เขาจะแบกภาระความผิดของเขา และความผิดของผู้ที่ปฏิบัติตามนั้นหลังจากเขา โดยไม่ถูกลดย่อนไปจากความผิดของพวกเขาแม้แต่น้อย- รายงานโดยมุสลิม หะดิษหมายเลข 4830
...........
หะดิษข้างต้น ต้นเรื่องคือ ท่านศาสดากล่าวขึ้นเพื่อยกย่องและส่งเสริมการกระทำของเศาะหาบะฮ์ท่านนั้นที่ "นำร่อง" ปฏิบัติ "สิ่งดีในอิสลาม" - คือการบริจาค - ตามที่ท่านสั่ง .. จนเป็นตัวอย่างให้เศาะหาบะฮ์ท่านอื่นๆปฏิบัติตามด้วย ... ไม่ใช่เขาอุตริบิดอะฮ แล้วให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม อย่างที่ชาวบิดอะฮ บิดเบือน
อิหม่ามชาฏิบีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า
فَلَيْسَ الْمُرَادُ بِالْحَدِيثِ الِاسْتِنَانَ بِمَعْنَى الِاخْتِرَاعِ ، وَإِنَّمَا الْمُرَادُ بِهِ الْعَمَلُ بِمَا ثَبَتَ مِنَ السُّنَّةِ النَّبَوِيَّةِ
สิ่งที่ต้องการด้วยหะดิษอัลอิษติสนาน(หะดิษ من سن ) ไม่ใช่ด้วยความหมาย ของการประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ และความจริง สิ่งที่ต้องการด้วยมัน คือ การปฏิบัติ ด้วยสิ่งที่ ปรากฏยืนยัน ในสุนนะฮนบี – อัลเอียะติศอม 1/307
Asan Binabdullah ขอโต้แย้งหลักฐานที่ 2 ต่อ เพราคุณยกมา 2 จริงๆควรยกมาที่ละหลักฐาน
Asan Binabdullah จากคำพูดของท่านอุมัร(ร.ฏ)ที่ว่า

نعمت البدعة هذه


บิดอะฮที่ดี คือสิ่งนี้แหละ- รายงาน โดยบุคอรีและอิหม่ามมาลิก
ในเรื่องนี้ อิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ) ได้อธิบายว่า

فيه أن قيام رمضان سنة من سنن النبي عليه السلام مندوب إليها مرغب فيها ولم يسن منها عمر إلا ما كان رسول الله يحبه ويرضاه وما لم يمنعه من المواظبة عليه إلا أن يفرض على أمته وكان بالمؤمنين رؤوفا رحيما صلى الله عليه و سلم فلما علم عمر ذلك من رسول الله وعلم أن الفرائض في وقته لا يزاد فيها ولا ينقص منها أقامها للناس وأحياها وأمر بها وذلك سنة أربع عشرة من الهجرة صدر خلافته

แท้จริงละหมาดในยามค่ำคืนเราะมะฎอน(ละหมาดตะรอเวียะ) นั้น คือสุนนะฮ จากบรรดาสุนนะฮของนบี ศอ็ลฯ ที่ถูกสนับสนุนและส่งเสริมให้กระทำ ที่และแท้จริง ท่านอุมัร ไม่ได้กำหนดแบบอย่าง จากมัน เว้นแต่ เป็นสิ่งที่ รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ รัก และพอใจมัน และไม่มีสิ่งใดยับยั้ง ท่านรซูลุลลอฮ ไม่ให้ปฏิบัติมัน นอกจาก การเกรงว่า มันจะถูกกำหนดให้เป็นข้อบังคับแก่อุมมะฮของท่าน และท่านนบี มีความสงสาร และ เมตตาต่อบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ดังนั้นเมื่อ ท่านอุมัร ได้รู้ดังกล่าวจาก รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ และรู้ว่า บรรดาละหมาดฟัรดูในเวลาของมัน ไม่ถูกเพิ่มเติม และไม่ถูกลดจากมัน แล้ว ท่านอุมัร ได้จัดให้มันมีขึ้นมาอีก ,ได้ฟื้นฟูมัน และได้สั่งให้ปฏิบัติมัน และดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นในปี ฮ.ศ 14 ในช่วงแรกของการดำรงตำแหน่งเคาะลิฟะฮของเขา - อัลอิสติซกาซ 1/62-63
.....ข้างต้น 1. การกระทำของคอลีฟะฮ เป็นสุนนะฮที่นบีรับรอง 2. การกระทำของท่านอุมัรเป็นการฟื้นฟูสุนนะฮนบี ไม่ใช่ท่านคิดบิดอะฮขึ้นมา ดังที่อิบนุอับดิลบัรชี้แจงข้างต้น 3. เป็นมติของเศาะหาบะฮด้วย และผมขอย้ำว่า ไม่มีบิดอะฮที่ดีในศาสนบัญญัติ ดังที่ท่านอิบนุอุมัร (ร.ฎ) กล่าวว่า
كل بدعة ضلالة وإن رآها الناس حسنة
ทุกบิดอะฮคือการหลงผิด และแม้ว่ามนุษย์จะเห็นดีก็ตาม –ดูที่มาข้างล่าง
رواه اللالكائي (رقم126)،وابن بطة (205)،والبيهقي في "المدخل إلى السنن"(191)،وابن نصر في "السنة" (رقم70) بسند صحيح كما في "علم أصول البدع" لعلي الحلبي (ص92).
Asan Binabdullah คำว่า "นี่คือบิดอะฮที่ดี " มันคือบิดอะฮในทางภาษา ไม่ใช่ในทางศาสนบัญญัติ ความหมายในทางภาษาในที่นี่คือ ริเริ่ม ท่านอิบนุตัยมียะฮ(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า 

السنة هي ما قام الدليل الشرعي عليه بأنه طاعة لله ورسوله ، سواء فعله رسول الله صلى الله عليه 
وسلم أو فعل على زمانه ، أو لم يفعله ولم يفعل على زمانه ، لعدم المقتضي حينئذ لفعله أو وجود المانع منه ، ...... فما سنه الخلفاء الراشدون ليس بدعة شرعية ينهى عنها ، وإن كان يسمى في اللغة بدعة فكونه ابتدئ ) مجموع الفتاوى 21/317ـ 319 

อัสสุนนะฮ คือ สิ่งที่ปรากฏหลักฐานทางศาสนายืนยัน ว่า แท้จริงมัน(สิ่งนั้น)เป็นการภักดีต่ออัลลอฮและศาสนทูตของพระองค์ ไม่ว่าท่านรซูลลุลลอฮ ศ็อลลอ็ลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กระทำมัน หรือ มีการกระทำในสมัยของท่าน ก็ตาม หรือว่าท่านไม่ได้กระทำมัน และไม่ได้มีการกระทำในสมัยของท่าน เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะกระทำในเวลานั้น หรือ เพราะมีอุปสรรค ... ดังนั้น สิ่งที่บรรดาเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน ได้ทำแบบอย่างเอาไว้ นั้น ไม่ใช่บิดอะฮในทางศาสนา (บิดอะฮชัรอียะฮ)ที่มีการห้ามจากมัน แม้ปรากฏว่าในทางภาษา เรียกว่า"บิดอะฮ"ก็ตาม เพราะมีความหมายว่า "ริเริ่ม"
- มัจญมัวะอัลฟะตาวา เล่ม 21 หน้า 317-319
Asan Binabdullah ท่านตาชั่งต่อเลย



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น