การตีกลองหน้าเดียว (กลองดัฟ) เพื่อให้มีการได้รู้ ได้ทราบ ในเรื่องของการแต่งงาน โดยไม่มีดนตรี อุปกรณ์การบันเทิงต่างๆ ตลอดจนนักร้องมาข้องเกี่ยว และไม่มีปัญหาอันใด ที่จะนำเอากวีมากล่าว ในโอกาสวันแต่งงาน หรืองานวาลีมะฮฺนี้ ในที่นี้เฉพาะกลุ่มสตรีมุสลีมะฮฺและเด็กๆที่จะกระทำการข้างต้นเท่านั้น ไม่รวมถึงกลุ่มผู้ชาย เพราะมีรายงานที่แข็งแรงนั้นชี้ให้เห็นว่าการอนุญาตนั้นให้กับผู้หญิง ผู้ชายจึงไม่รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย และมีข้อห้ามอยู่แล้วว่าไม่ให้ผู้ชายทำตัวเลียนแบบผู้หญิง และต้องเกิดขึ้นในหมู่สตรีโดยเฉพาะ โดยไม่มีพวกผู้ชายมาได้ยินพวกนาง
รายงานจากท่านมุฮัมมัด บิน หาฏิบ ร่อฎียัลลอฮุอันอุม เล่าวว่า ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า
"สิ่งที่จะมาแยกระหว่างสิ่งที่เป็นที่อนุมัติ(หะลาล)กับสิ่งที่เป็นที่ต้องห้าม(หะรอม) นั้นคือ กลองหน้าเดียวกับเสียงในการแต่งงาน" (บันทึกหะดิษโดยบุคอรีย์ มุสลิม อัตติรฺมีซีย์ และอัตติรฺมีซีย์บอกว่าเป็นหะดิษหะซัน)รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎียัลลอฮุอันฮา เล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า
"จงประกาศงานแต่งนิกาฮฺนี้ให้รู้ทั่วกัน และจัดงานในมัสยิดและให้ตีกลองดัฟ(หน้าเดียว)ในงานด้วย" (บันทึกหะดิษโดยอัตติรฺมีซีย์ และอิบนุฮิบบาน เป็นหะดิษหะซัน)รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎียัลลอฮุอันฮา เล่าว่า หญิงคนหนึ่งได้แต่งงานกับชายชาวอันศอรคนหนึ่ง ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า
"อาอิชะฮฺเอ๋ย พวกเธอไม่มีการรื่นเริงด้วยหรือ เพราะชาวอันศอรนั้นชอบการรื่นเริง" (บันทึกหะดิษโดยบุคอรีย์)รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎียัลลอฮุอันฮา เล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า
"พวกเธอไม่จัดให้มีเด็กๆไปตีกลองดัฟ และร้องเพลงด้วยหรือ? ฉันถามว่า "จะให้พวกเด็กๆนั้นร้องอะไรหรือคะ?" ท่านรสูลตอบว่า "ร้องอย่างนี้ซิ "เรามาหาท่านแล้ว เรามาหาท่านแล้ว มาต้อนรับเราซิ อย่างที่เราต้อนรับท่าน" (บันทึกหะดิษโดยอัฏเฏาะบะรอนี เป็นหะดิษหะซัน)รายงานจากท่านอฺามิร บินสะอฺด์ เล่าว่า
"ฉันได้เข้าไปหาเกาะเราะเซาะฮฺ บินกะอฺบ์ และอบูมัสอูด อัลอันศอรี ในงานแต่งงานหนึ่ง มีเด็กผู้หญิงกำลังร้องเพลงกันอยู่ ฉันจึงถามว่า "โอ้ท่านผู้เป็นสหายของท่านรสูลุลลอฮฺและ(นักรบ)แห่งบัดร์ ให้เขาทำอย่างนี้กันต่อหน้าพวกท่านหรือ? ทั้งสองคนจึงกล่าวว่า "นั่งซิ ถ้าท่านต้องการแล้วมาฟังพร้อมกับเรา หรือถ้าท่านต้องการจะไปก็ได้ เพราะเป็นที่อนุมัติแก่เราให้มีการรื่นเริงได้ในงานแต่งงาน"
ท่านอิมามเชากานีย์ได้กล่าวไว้ในนัยลุลเอาฏ้อรฺ เล่มที่ 6 หน้าที่ 200 ว่า
"ในที่ได้กล่าวมานั้นมีสิ่งที่บ่งบอกถึงว่าอนุญาตให้มีการตีกลองหน้าเดียว และใช้เสียงดังในการกล่าวคำกล่าวบางอย่างในการแต่งงาน เช่น เราได้มายังท่านทั้งหลายแล้ว และอื่นๆ ไม่ใช่เพลงต่างๆ ที่ปลุกระดมความชั่วร้าย ที่ประมวลไว้ซึ่งบรรยายความสวยงาม ความเลวทราม และการดื่มเหล้า ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าสิ่งที่ได้กล่าวมานั้น มันเป็นสิ่งต้องห้าม ในการแต่งงาน เหมือนกับที่มันเป็นสิ่งต้องห้ามในที่อื่นๆ และเช่นเดียวกันนี้สถานที่สำหรับการบันเทิงอื่นๆ ที่เป็นที่ต้องห้าม"
ชัยค์มุอัมมัด อัลมุบาร็อกฟูรี กล่าวว่า
"กรณีการอนุญาตให้ร้องเพลงในงานแต่งงานนั้น เป็นกรณีพิเศษสำหรับผู้หญิงเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ชาย"
ชัยคุลอิสลาม อิบนิ ตัยมียะฮฺ ยืนยันว่า
"ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม อนุญาตให้มีการรื่นเริงบางอย่างได้ในงานแต่งงานหรือในวาระอื่น เช่นที่ท่านอนุญาตให้ผู้หญิงตีกลองดัฟในการฉลองพิธีแต่งงาน ซึ่งในสมัยท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม นั้นไม่มีผู้ชายคนใดตีกลองดัฟหรือตบมือให้จังหวะกันเลย"จากที่กล่าวไปแล้วข้างต้นเฉพาะกลองดัฟ หรือกลองหน้าเดียวเท่านั้น ที่อิสลามอนุญาตใช้ในการตี ในวันแต่งงาน และเฉพาะบรรดาสตรี หรือเด็กๆเท่านั้นที่มีการอนุญาตให้ตีกลองดัฟ หรือร้องเพลง ไม่รวมกลุ่มผู้ชาย และต้องไม่ปะปนกับกลุ่มผู้ชาย
และศาสนาไม่อนุญาตในการใช้เสียงดนตรีประเภทอื่นๆ หรือมีเครื่องเสียงเพลงต่างๆในงานแต่งงาน เช่น ไม่อนุญาตเปิดเพลงที่มีเสียงดนตรี ไม่ว่าจะมีเนื้อหาที่สวยงาม หรือเลวทรามก็ตาม หรือมีการร้องเพลงคาราโอเกะ หรือมีวงดนตรี หรือมหรสพต่างๆ อย่างวงรองแง็ง ที่มีการพูด หรือขับร้องเย้ายวนประกอบเสียงดนตรี เมื่อดนตรีขึ้นเพลง ผู้ชายจะไปโค้งฝ่ายหญิงแล้วพากันไปเต้นรำเป็นคู่ๆ ตามจังหวะเพลง มีทั้งช้าและเร็วหรือสลับกัน กระบวนท่ามีทั้งท่ายืน ท่านั่ง ปรบมือ เล่นเท้า หมุนตัว วาดลวดลายไล่เลียงกัน ยิ่งปัจจุบันมีการเปิดเพลงแนวสกล ก็ยิ่งไม่ต่างอะไรกับในผับ ในคลับ หรือในเทคแต่อย่างใด ซึ่งวงรองแง็งนี้ได้รับอิทธิพลแบบอย่างมาจากชาวยุโรป คือ ปอร์ตุเกส สเปน ซึ่งเดินเรือเข้ามาติดต่อค้าขาย สร้างคลังสินค้า และตั้งเป็นอาณานิคมในแถบมาลายู ซึ่งมุสลิมในแถบปักษ์ใต้นิยมนำวงรองแง็งมาจัดในงานคืนก่อนวันแต่งงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นที่ต้องห้ามในอิสลาม...!!!
والله أعلم بالصواب
ขอบคุณ สำหรับข้อมูลครับ
ตอบลบ