อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มุสลิมต้องรู้ทันเทศกาลคริสต์มาส




เป็นที่ทราบกันดีว่า ทุกวันที่  25 ธันวาคมของทุกปี จะมีเทศกาลที่ชาวโลกให้ความสำคัญ นั่นก็คือเทศกาลวัน คริสต์มาสเกิดขึ้น ซึ่งผู้คนทั่วโลก ให้ความสำคัญกันอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการส่งการ์ดอวยพรในวันคริสต์มาส แต่งกายเป็นซานต้าครอสแจกของขวัญ ประดับประดาบ้านเรือน ตามสถานที่ต่าง ๆ ด้วยกับต้นคริสต์มาส ขับร้อง เพลงวันคริสต์มาส เป็นต้น

ประเด็นต่อมาก็คือ เมื่อเทศกาลคริสต์มาส เป็นเทศกาลซึ่งผู้คนทั่วโลกให้ความสำคัญกันอย่างมาก คำถามต่อมา ก็คือมุสลิมจะไปร่วมกับเทศ กาลวันคริสต์มาสได้ไหม ? เพราะมีมุสลิมเป็นจำนวนมากที่เข้าร่วมเทศกาลวันคริสต์ มาสตามสถานที่ต่าง ๆ หรืออาจจะมีการประดับประดาบ้าน เรือนด้วยต้นคริสต์มาส

แน่นอนในสังคมบ้านเมืองของเรานั้น มีผู้คนหลากหลายความเชื่ออาศัยอยู่ ประเพณี หรือเทศกาลต่าง ๆ นั้น จึงเกิดขึ้นอย่างมากมาย แต่สำหรับบุคคลที่เป็นมุสลิมนั้นจะต้องระมัดระวังในการดำเนินชีวิตในสภาพการณ์ที่มี ความหลาก หลายเกิดขึ้นในสังคม เพราะคนที่เป็นมุสลิม นั้นจะต้องปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบขอบเขตของศาสนา
มีรายงานจากอบูฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าวว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

الدُّنْيَا سِجْنُ الْمُؤْمِنِ وَجَنَّةُ الْكَافِرِ

“ ดุนยาประดุจดังที่คุมขังของผู้ศรัทธา แต่เป็นสวรรค์สำหรับผู้ปฏิเสธ ”

(บันทึกโดยมุสลิม : 2956 )
 ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เปรียบเทียบการใช้ชีวิตของบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายดังเช่นการอยู่ใน ที่คุมขัง ก็คือมีขอบเขตกั้น ซึ่งชีวิตของผู้ศรัทธานั้นจะต้องใช้ชีวิตอย่างรอบคอบ โดยนำอิสลามมาเป็นกรอบ เป็นขอบเขตในการใช้ชีวิต ทำอะไรตามอำเภอใจมิได้เป็นอันขาด

ส่วนบรรดากาเฟร (ผู้ปฏิเสธ) นั้น ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เปรียบเทียบการใช้ชีวิตในโลกดุนยานี้ ดังเช่นสวรรค์ ก็คืออิสระ เสรี จะทำอะไรก็ทำ ไม่ว่าจะเป็น ซินา ดื่มเหล้า ลักขโมย ข่มเหงรังแกคนอื่น และ ฯลฯ ซึ่งการใช้ชีวิตของกาเฟรนั้น ไม่รู้จักดีชั่ว ไม่มีกรอบ ไม่มี ขอบเขต ก็เหมือนดังเช่นสวรรค์ที่มีแต่ความสุขสบาย อิสระ เสรี ในการใช้ชีวิต

เราลองมาดูถึงความเชื่อต่างๆ ในวันคริสต์มาส เพื่อที่เราจะได้เข้าใจว่ามุสลิมจะเข้าไปเกี่ยวข้อง เข้าไปร่วมกับ เทศกาลคริสต์มาสนี้ได้หรือไม่

ความเชื่อเกี่ยวกับวันคริสต์มาสนั้น แบ่งออกได้เป็น 3 ความเชื่อ

1.วันที่ 25 ธันวาคม (วันคริสต์มาส) เป็นวันเฉลิมฉลองเพื่อระลึกถึงวันประสูติของพระเยซู

2. วันที่ 25 ธันวาคม (วันคริสต์มาส) เป็นวันเฉลิมฉลองทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ของชาวโรมัน

3. วันที่ 25 ธันวาคม พระเยซูคริสต์ทรงประสูติในวันคริสต์มาสเพื่อปลดปล่อยมนุษย์ให้พ้นจากการเป็น ทาสของบาป คืนเอกราช ให้แก่มนุษย์

   จากความเชื่อที่ 1 เกี่ยวกับการระลึกถึงวันประสูติของพระเยซูนั้น เป็นเรื่องของชาวคริสต์ไม่เกี่ยวข้องกับอิสลาม แต่อย่างใด หลักการอิสลาม มิได้กำหนดให้มุสลิมระลึกหรือจัดงานวันเกิดกับผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นตัวเอง พ่อ แม่ หรือแม้กระทั่งการจัดงานวันเกิดให้กับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัย ฮิวะซัลลัม  ก็ไม่มีบทบัญญัติจากอัลกุรอ่านและ ตัวบทจากฮะดีษ

    จากความเชื่อที่ 2  เกี่ยวกับวันเฉลิมฉลองเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ของชาวโรมันนั้น ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ต้องออก ห่างอย่างเด็ดขาด เพราะสำหรับ มุสลิมทุกคนแล้วไม่มีเทพเจ้าหรือพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ

พระองค์อัลลอฮฺ ทรงมีรับสั่งว่า

اللَّهُ لَا إِلَهَ إِلَّا هُوَ الْحَيُّ الْقَيُّوم

“อัลลอฮ์นั้น คือ ไม่มีผู้ที่เป็นที่เคารพสักการะใด ๆ นอกจากพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงมีชีวิต ผุ้ทรงบริหาร กิจการทั้งหลาย”


(อัลบะกอเราะฮฺ  : 255)

อีกอายะฮฺหนึ่งพระองค์ทรงมีรับสั่งว่า

اللَّهُ لَا إِلَهَ إِلَّا هُوَ وَعَلَى اللَّهِ فَلْيَتَوَكَّلِ الْمُؤْمِنُونَ

“อัลลอฮฺ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ดังนั้นบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายจงมอบหมายไว้วางใจ ต่ออัลลอฮฺเถิด”


(อัตตะฆอบุน : 13)

การเชื่อเทพเจ้าอื่น หรือพระเจ้าอื่นนั้น เป็นการทำชิริกต่อพระองค์อัลลอฮฺ เป็นบาปใหญ่มหันต์ เป็นบาปที่นำไปสู่ การลงโทษในไฟนรกอย่างรุนแรง

ดังที่พระองค์ทรงมีรับสั่งว่า

وَلَا تَجْعَلْ مَعَ اللَّهِ إِلَهًا آَخَرَ فَتُلْقَى فِي جَهَنَّمَ مَلُومًا مَدْحُورًا

“และเจ้าอย่าตั้งพระเจ้าอื่นใดเคียงคู่กับอัลลอฮฺ มิฉะนั้นเจ้าจะถูกโยนลงในนรกญะฮันนัม เป็นผู้ถูกครหา ถูกขับไล่”


(อัลอิสรออฺ : 39)

มีรายงานจากญาบิร อิบนุ อับดุลลอฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัย ฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

مَنْ لَقِيَ اللَّهَ لَا يُشْرِكُ بِهِ شَيْئًا دَخَلَ الْجَنَّةَ وَمَنْ لَقِيَهُ يُشْرِكُ بِهِ دَخَلَ النَّارَ

“ผู้ใดได้กลับไปพบกับอัลลอฮฺ โดยไม่ได้ตั้งภาคีแต่อย่างใดต่อพระองค์ เขาได้เข้าสวรรค์ และผู้ใดได้ กลับไปพบกับพระองค์ โดยได้ ตั้งภาคีต่อพระองค์ เขาได้เข้านรก”

(บันทึกโดยมุสลิม : 93)

   บางคนอาจจะบอกว่า ไม่ได้เชื่ออย่างนั้น ไม่ได้เชื่อตามศาสนิกอื่น แต่การไปมีส่วนร่วมยินดี เฉลิมฉลองใน วันนี้นั้น ประหนึ่งว่ามีส่วนร่วมแสดง ความยินดีต่อพิธีกรรมของชาวโรมัน

มีรายงานจากท่านอิบนิ อุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

مَنْ تَشَبَّهَ بِقَوْمٍ فَهُوَ مِنْهُمْ

“บุคคลใดประพฤติตนเลียนแบบกลุ่มหนึ่ง เขาก็เป็นส่วนหนึ่งจากกลุ่มนั้น”


(บันทึกโดยอบูดาวุด : 4031 ดู เศาะเหี๊ยะหฺอัลญามิอฺอัลบานียฺ : 2831 ดู ญามิอุศเศาะฆีรสุญูตียฺ  : 8593)

การที่เราไปเลียนแบบพฤติกรรมที่เกี่ยวกับเรื่องของศาสนาอื่นนั้น ก็เหมือนกับเราไปเป็นส่วนหนึ่งของศาสนานั้น ดังฮะดีษที่ผ่านมา

จากความเชื่อที่ 3 พระเยซูคริสต์ทรงประสูติในวันคริสต์มาส เพื่อปลดปล่อยมนุษย์ให้พ้นจากการเป็นทาสของบาป คืนเอกราชให้กับมนุษย์ นี่คือ ความเชื่อของชาวคริสต์ทั่วโลก

จาก 3 ความเชื่อเกี่ยวกับวันคริสต์มาสนั้น เป็นสิ่งที่เราจะต้องออกห่างอย่างเด็ดขาด เพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ ความเชื่อของชาวคริสต์ โดยที่ไม่ ได้เกี่ยวข้องกับหลักการของศาสนาแต่อย่างใด ซึ่งมุสลิมจะไปร่วม ไปเกี่ยว ข้องกับเทศกาลของศาสนาอื่นมิได้เป็นอันขาด

พระองค์อัลลอฮฺทรงมีรับสั่งว่า
لَكُمْ دِينُكُمْ وَلِيَ دِين

“สำหรับพวกท่านก็คือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉันก็คือศาสนาของฉัน”


(อัล-กาฟิรูน : 6)

ซึ่งท่านร่อซูลก็ได้สั่งห้ามการเลียนแบบชาวยิว และคริสต์อย่างเด็ดขาดดังฮะดีษที่มีรายงานจากอบูฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

وَلَا تَشَبَّهُوا بِالْيَهُودِ وَلَا بِالنَّصَارَى

"พวกท่านอย่าเลียนแบบพวกยะฮูดีย์ (พวกยิว) และพวกนัศรอนีย์ (พวกคริสเตียน)"


(บันทึกโดยอะหฺมัด : 7492 ดู ญามิอุศเศาะฆีรสุญูตียฺ  : 5785)

ถึงแม้ว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะห้ามมุสลิมไม่ให้ไปร่วม เกี่ยวข้อง พิธีกรรม หรือเทศกาลของ ศาสนาอื่น โดยเฉพาะการเลียน แบบพวกยะฮูดีย์ (พวกยิว) และพวกนัศรอนีย์ (พวกคริสเตียน) แต่ท่านนบี ก็ได้บอก ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในยุคปัจจุบันว่ามุสลิมนั้นจะเลียนแบบ พวกยะฮูดีย์ (พวกยิว) และพวกนัศรอนีย์ (พวกคริสเตียน) มาปฏิบัติแบบไม่ลืมหู ลืมตา

มีรายงานจากอบูสะอีดอัลคุดรีย์เล่าว่าท่านร่อซูลศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
لَتَتَّبِعُنَّ سَنَنَ الَّذِينَ مِنْ قَبْلِكُمْ شِبْرًا بِشِبْرٍ وَذِرَاعًا بِذِرَاعٍ حَتَّى لَوْ دَخَلُوا فِي جُحْرِ ضَبٍّ لَاتَّبَعْتُمُوهُمْ قُلْنَا يَا رَسُولَ اللَّهِ  آلْيَهُودَ  وَالنَّصَارَى  قَالَ فَمَنْ

“ต่อไปพวกท่านจะปฏิบัติตามแนวทางของผู้ที่มาก่อนพวกท่านทีละคืบ ทีละศอก แม้กระทั่งพวกเขาเข้า ไปอยู่ในรูของแย้ก็เข้าตาม ไปด้วย พวกเราได้ถามท่านร่อซูลว่า โอ้ท่านร่อซูล ท่านหมายถึงพวก ยะฮูดีย์ (ยิว) และนัสรอนี (คริสเตียน) ใช่ไหม? ท่านร่อซูลตอบว่า จะเป็นใครอีก ถ้าไม่ใช่พวกนี้”


(บันทึกโดยมุสลิม : 2669)

ปัจจุบันมีมุสลิมเป็นจำนวนมากที่ประพฤติตัวตามกระแสสังคม ปฏิบัติตัวตามสังคมโลกส่วนใหญ่ทุกเรื่อง โดยไม่ สนใจคำสั่งใช้หรือคำสั่งห้าม ในเรื่องของศาสนา ซึ่งไม่ว่าจะมีเทศกาลใดของศาสนาใดก็ตาม มุสลิมเหล่านี้ก็พยา ยามประพฤติตัวให้เข้ากับสังคมให้ได้ โดยไม่สนใจ ไม่ศึกษา ด้วยว่าวันหรือเทศกาลของศาสนาอื่นนั้นมีส่วนใน เรื่องของความเชื่ออยู่ ซึ่งเราจะสังเกตเห็นได้ว่า เมื่อถึงวันคริสต์มาสมุสลิมก็ร่วมวันคริสต์มาส ด้วย เมื่อถึงปีใหม่ มุสลิมก็เฉลิมฉลองจัดงานด้วย เมื่อถึงวันวาเลนไทน์มุสลิมก็ให้ดอกไม้กับคนรักด้วย เมื่อถึงวันสงกรานต์มุสลิม ก็ไปสาดน้ำ กับเขาด้วย เมื่อถึงลอยกระทงมุสลิมก็ไปลอยกระทงกับเขาด้วย นี่คือสภาพปัจจุบันที่เกิดขึ้นในสังคม มุสลิม และนับวันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ยิ่งมีมสลิม เลียนแบบกลุ่มชนอื่นมากเท่าใด ความตกต่ำของมุสลิมก็เพิ่มมากขึ้น
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ทรงเตือนเราเอาไว้ว่า

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آَمَنُوا لَا تَتَّخِذُوا الْيَهُودَ وَالنَّصَارَى أَوْلِيَاء

“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย สูเจ้าอย่าได้ถือเอาพวกยิวและคริสต์เป็นวะลีย์ (มิตรรักผู้ใกล้ชิด)"


(อัล-มาอิดะฮฺ : 51)

     รวมไปถึงบรรดาผู้ปกครองทั้งหลายนั้นจะต้องเข้มงวด ไม่สนับสนุนให้ลูกหลานไปเกี่ยวข้อง ตักเตือนบุตร หลานให้ทราบถึงข้อเท็จจริงใน เทศกาลต่าง ๆ เหล่านี้  เพราะสาเหตุอีกประการหนึ่งที่เยาวชนมุสลิมนั้นเข้าไปมี ส่วนร่วมกับเทศกาลของศาสนาอื่น ๆ นั้น เป็นเพราะบรรดาผู้ปก ครองให้การสนับสนุน ตัวอย่างเช่น ซื้อหมวก ซานต้าครอสมาให้ลูกหลาน พาลูกหลานไปเที่ยวตามสถานที่ที่มีการจัดงานคริสต์มาส พาลูกหลาน ไปถ่ายรูป กับซานต้าครอส หรือต้นคริสต์มาส เป็นต้น

มีรายงานจากอบูฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

كُلُّ مَوْلُودٍ يُولَدُ عَلَى الْفِطْرَةِ فَأَبَوَاهُ يُهَوِّدَانِهِ أَوْ يُنَصِّرَانِهِ أَوْ يُمَجِّسَانِهِ

“ทารกทุกคนถือกำเนิดมาอย่างบริสุทธิ์ พ่อและแม่ของเด็กนั่นแหละที่จะทำให้เด็กกลายเป็นยิวหรือ คริสต์หรือพวกบูชาไฟ”
(บันทึกโดยบุคอรียฺ : 1385)

   อีกประการที่สำคัยก็คือ ผู้ปกครองต้องให้ความสนใจถึงบรรดาเพื่อนฝูงของลูกหลาน เพราะในสังคมปัจจุบันนั้น สภาพแวดล้อมของเยาวชนนั้น มีบทบาทในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะบรรดาเพื่อนฝูง ถ้าเยาวชนมีเพื่อนที่ดี เพื่อนที่ชักนำไปสู่สิ่งที่ดีนั้น ก็จะทำให้เยาวชนนั้นมีการดำเนินชีวิต ที่ดี แต่ถ้าเยาวชนมีเพื่อนที่ไม่ดี ชักนำไปสู่ ความชั่วต่าง ๆ เยาวชนนั้นก็จะมีการดำเนินชีวิตที่ไปในทางที่ไม่ดี

มีรายงานจากอบีฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

الْمَرْءُ عَلَى دِينِ خَلِيلِهِ فَلْيَنْظُرْ أَحَدُكُمْ مَنْ يُخَالِلْ

“คนทั่วไปมักนิยมและคล้อยตามจารีต -ความประพฤติ - ของผู้เป็นสหาย ดังนั้นพวกเจ้าจงพิจารณาให้ดี ก่อนว่ากำลังจะคบค้า กับผู้ใด เป็นสหาย”


(บันทึกโดยอะหฺมัด : 8212 )

 ดังนั้นสรุปได้ว่าวันคริสต์มาสซึ่งตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปีนั้น เป็นวันสำคัญของศาสนาคริสต์ ไม่มี ความเกี่ยวข้องใด ๆ กับอิสลาม มุสลิมจะต้องออกห่าง ไม่เข้าไปมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความยินดี การขับร้องเพลงวันคริสต์มาส การสวมหมกหรือสวมชุดซานต้าครอส และ ฯลฯ

والله أعلم بالصواب



โดย  วะร่อซะตุซซุนนะฮฺ
✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น