นบีมูซากับนบีเคาะฎิร ***
เคาะฎีรเป็นนบีหรือเปล่า ?
อิบนุกะซีรกล่าวว่า : ความหมายของเรื่องนี้ได้บ่งชี้ถึงการเป็นนบีของเคาะฎีัรหลายประเด็นด้วยกันคือ
1. [แล้วทั้งสองได้พบบ่าวคนหนึ่งจากปวงบ่าวของเรา ที่เราได้ประทานความเมตตาจากเราให้แก่เขา และเราได้สอนความรู้จากเราให้แก่เขา]
(อัลกุรอาน 18 : 65)
2. [จะให้ฉันติดตามท่านไปได้ไหม โดยท่านจะต้องสอนฉันจากสิ่งที่ท่านเคยได้เรียนรู้มา ตามแนวทางที่เที่ยงตรง]
(อัลกุรอาน 18 : 66)
เคาะฎีรกล่าวว่า [แท้่จริง ท่านจะไม่สามารถมีความอดทนร่วมกับฉันได้]
(อัลกุรอาน 18 : 67)
หากว่าเคาะฎิรเป็นวะลีย์แต่ไม่ใช่นบีเขาก็คงไม่ตอบโต้สนทนากับมูซาได้เช่นนี้อย่างแน่นอน
3. แท้จริงเคาะฎิรได้สังหารเด็ก สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เว้นแต่ว่าสิ่งนั้นเป็นวะฮีย์จากอัลลอฮฺให้กับเขา ซึ่งตรงนี้คือหลักฐานยืนยันถึงการเป็นนบีอย่างชัดเจน ในทางกลับกัน หากว่าเขาเป็นวะลีย์ซึ่งการฆ่าชีวิตไม่เป็นที่อนุญาตแก่เขาอย่างแน่นอน
4. [และฉันไม่ได้ทำสิ่งนั้นตามความพอใจของฉัน]
(อัลกุรอาน 18 : 82)
คึืองานคำสั่งฉันถูกใช้ให้ปฏิบัติ และถูกประทานวะฮีย์มายังฉัน
.....เคาะฎิรยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ?
มีบางคนให้ทัศนะว่า เคาะฎิรยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ โดยเขาอ้างว่า เคยพบอยู่ร่วมกับชาวซูฟีย์ (กลุ่มรักสันโดษ) ในทุกยุคทุกสมัย แต่ทว่าหลักฐานที่กล่าวอ้างถึงนี้ค้านกับอัลกุรอานที่ว่า [และเรไม่ได้ทำให้มนุษย์คนหนึ่งคนใดก่อนพวกเจ้านั้นเป็นอมตะริรันดร์กาล] อีกโองการหนึ่งที่ว่า [และจงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮฺไ้ดทรงเอาข้อสัญญาแก่บรรดานบีว่า สิ่งที่ข้าได้ให้แก่พวกเจ้านั้นไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ก็ดี และความรู้เกี่ยวกับข้อปกิบัติในบัญญัติศาสนาก็ดี ภายหลังได้มีร่อซูล (ศาสนทูต) คนใดมายังพวกเจ้า ซ฿่งเป็นผู้ยืินยันในสิ่งที่มีอยู่กับพวกเจ้าแล้ว แน่นอนพวกเจ้าจะต้องศรัทธาต่อเขา และช่วยเหลือเขา พระองค์ตรัสว่า พวกเจ้ายอมรับและเอาข้อสัญญาของข้าดังกล่าวนั้นแล้วใช่ไหม พวกเขากล่าวว่า พวกข้าพระองค์ยอมรับแล้ว พระองค์ตรัีสว่า พวกเข้าจงเป็นพยานเถิด และข้าก็อยู่ในหมู่้ผุ้เป็นพยานร่วมกับพวกเจ้าด้วย]
(อัลกุรอาน 3 : 81)
อัลลอฮฺได้ทรงเอาข้อสัญญาแก่บรรดานบีทุึกท่านจะต้องศรัทะาต่อผู้ที่เป็นนบีหลังจากเขาและจะต้องช่วยเหลือเขา การศรัทธานี้ถือว่าจำเป็น ดังนั้นสัญญาข้อตกลงจึงมีขึ้นแก่มุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เพราะเหตุว่าเขาเป็นนบีท่านสุดท้าย แน่นอนถ้านบีัท่านหนึ่งท่านใดอยู่ร่วมสมัยกับนบีมุึฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) แน่นอนเขาจะต้องศรัทธาและช่วยเหลือนบีมุฮัมหมัดด้วย และหากแม้ว่าเคาะฎิรยังมี ชีวิตอยูในยุคของมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ดังนั้นจำเป็น อย่างยิ่งที่เขาจะต้องออกมาแสดงตัวศรัทธาและให้การช่วยเหลือต่อนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) อย่างเช่นในสงครามบะดัรเราก็ไม่พบหลักฐานใด ๆ ที่นบีัเคาะฎิรออกมาช่วยเหลือนบีมุฮัมมัด นอกจากญิบรีลและบรรดามลาอิกะฮฺเท่านั้นเอง ดังมีฮะดิษของท่านร่อซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ไม่มีชีวิตหนึ่งชีวิตใด (มนุษย์) ในพื้นแผ่นดินที่จะมีชีวิตมากไปกว่าหนึ่งร้อยปี
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)
(ตอนต่อไป....บัลอาม อิบนุ บาอูรออฺ,...กอรูน,...จุดจบของกอรูน)
....................................
(จากหนังสือ : เรื่องเล่ากุรอาน เล่ม 3)
Jiyah Abdulloh โพสต์
เคาะฎีรเป็นนบีหรือเปล่า ?
อิบนุกะซีรกล่าวว่า : ความหมายของเรื่องนี้ได้บ่งชี้ถึงการเป็นนบีของเคาะฎีัรหลายประเด็นด้วยกันคือ
1. [แล้วทั้งสองได้พบบ่าวคนหนึ่งจากปวงบ่าวของเรา ที่เราได้ประทานความเมตตาจากเราให้แก่เขา และเราได้สอนความรู้จากเราให้แก่เขา]
(อัลกุรอาน 18 : 65)
2. [จะให้ฉันติดตามท่านไปได้ไหม โดยท่านจะต้องสอนฉันจากสิ่งที่ท่านเคยได้เรียนรู้มา ตามแนวทางที่เที่ยงตรง]
(อัลกุรอาน 18 : 66)
เคาะฎีรกล่าวว่า [แท้่จริง ท่านจะไม่สามารถมีความอดทนร่วมกับฉันได้]
(อัลกุรอาน 18 : 67)
หากว่าเคาะฎิรเป็นวะลีย์แต่ไม่ใช่นบีเขาก็คงไม่ตอบโต้สนทนากับมูซาได้เช่นนี้อย่างแน่นอน
3. แท้จริงเคาะฎิรได้สังหารเด็ก สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เว้นแต่ว่าสิ่งนั้นเป็นวะฮีย์จากอัลลอฮฺให้กับเขา ซึ่งตรงนี้คือหลักฐานยืนยันถึงการเป็นนบีอย่างชัดเจน ในทางกลับกัน หากว่าเขาเป็นวะลีย์ซึ่งการฆ่าชีวิตไม่เป็นที่อนุญาตแก่เขาอย่างแน่นอน
4. [และฉันไม่ได้ทำสิ่งนั้นตามความพอใจของฉัน]
(อัลกุรอาน 18 : 82)
คึืองานคำสั่งฉันถูกใช้ให้ปฏิบัติ และถูกประทานวะฮีย์มายังฉัน
.....เคาะฎิรยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ?
มีบางคนให้ทัศนะว่า เคาะฎิรยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ โดยเขาอ้างว่า เคยพบอยู่ร่วมกับชาวซูฟีย์ (กลุ่มรักสันโดษ) ในทุกยุคทุกสมัย แต่ทว่าหลักฐานที่กล่าวอ้างถึงนี้ค้านกับอัลกุรอานที่ว่า [และเรไม่ได้ทำให้มนุษย์คนหนึ่งคนใดก่อนพวกเจ้านั้นเป็นอมตะริรันดร์กาล] อีกโองการหนึ่งที่ว่า [และจงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮฺไ้ดทรงเอาข้อสัญญาแก่บรรดานบีว่า สิ่งที่ข้าได้ให้แก่พวกเจ้านั้นไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ก็ดี และความรู้เกี่ยวกับข้อปกิบัติในบัญญัติศาสนาก็ดี ภายหลังได้มีร่อซูล (ศาสนทูต) คนใดมายังพวกเจ้า ซ฿่งเป็นผู้ยืินยันในสิ่งที่มีอยู่กับพวกเจ้าแล้ว แน่นอนพวกเจ้าจะต้องศรัทธาต่อเขา และช่วยเหลือเขา พระองค์ตรัสว่า พวกเจ้ายอมรับและเอาข้อสัญญาของข้าดังกล่าวนั้นแล้วใช่ไหม พวกเขากล่าวว่า พวกข้าพระองค์ยอมรับแล้ว พระองค์ตรัีสว่า พวกเข้าจงเป็นพยานเถิด และข้าก็อยู่ในหมู่้ผุ้เป็นพยานร่วมกับพวกเจ้าด้วย]
(อัลกุรอาน 3 : 81)
อัลลอฮฺได้ทรงเอาข้อสัญญาแก่บรรดานบีทุึกท่านจะต้องศรัทะาต่อผู้ที่เป็นนบีหลังจากเขาและจะต้องช่วยเหลือเขา การศรัทธานี้ถือว่าจำเป็น ดังนั้นสัญญาข้อตกลงจึงมีขึ้นแก่มุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เพราะเหตุว่าเขาเป็นนบีท่านสุดท้าย แน่นอนถ้านบีัท่านหนึ่งท่านใดอยู่ร่วมสมัยกับนบีมุึฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) แน่นอนเขาจะต้องศรัทธาและช่วยเหลือนบีมุฮัมหมัดด้วย และหากแม้ว่าเคาะฎิรยังมี ชีวิตอยูในยุคของมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ดังนั้นจำเป็น อย่างยิ่งที่เขาจะต้องออกมาแสดงตัวศรัทธาและให้การช่วยเหลือต่อนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) อย่างเช่นในสงครามบะดัรเราก็ไม่พบหลักฐานใด ๆ ที่นบีัเคาะฎิรออกมาช่วยเหลือนบีมุฮัมมัด นอกจากญิบรีลและบรรดามลาอิกะฮฺเท่านั้นเอง ดังมีฮะดิษของท่านร่อซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ไม่มีชีวิตหนึ่งชีวิตใด (มนุษย์) ในพื้นแผ่นดินที่จะมีชีวิตมากไปกว่าหนึ่งร้อยปี
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)
(ตอนต่อไป....บัลอาม อิบนุ บาอูรออฺ,...กอรูน,...จุดจบของกอรูน)
....................................
(จากหนังสือ : เรื่องเล่ากุรอาน เล่ม 3)
Jiyah Abdulloh โพสต์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น