การจัดค่ายกุรอ่านทุกๆปีและทำเป็นกิจวัตรประจำปีในหลายๆสถานที่ ไม่เป็นบิดอะห์
เพราะการจัดค่ายศาสนาหรือค่ายอัลกุรอานนั้น เป็นกระบวนการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่งซึ่งศาสนาสนับสนุนและอนุญาติให้กระทำได้
เพราะการเรียนรู้ศาสนาท่านนบีและซอฮาบะห์ได้กระทำไว้หลายรูปแบบ
เพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้และเหมาะสมกับผู้เรียนและสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้
แต่มันก็จะเป็นบิดอะห์ได้ต่อเมื่อเราไปกำหนดวิธีการเรียนรู้ เวลา ฯลฯ โดยอ้างว่าศาสนาให้เรียนและเข้าค่ายอย่างเดียวโดยปฏิเสธรูปแบบและวิธีอื่นๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และซอฮาบะห์เคยกระทำไว้
ขอยกมาเปรียบเทียบกับการยกมือขอดุอาอ์หลังละหมาดดังนี้
*** อนุญาตให้ยกมือขอดุอาอ์หลังละหมาดได้ เพราะมีตัวบทหลักฐานให้ยกมือขอดุอาอ์ที่เป็นบริบททั่วไป โดยไม่ต้องยึดว่าต้องทำตลอด หลังละหมาด เพราะไม่มีหลักฐานเรื่องนี้ให้กระทำเป็นการเฉพาะ
***การจัดเข้าค่ายกุรอ่าน เป็นสิ่งที่ถูกปฏิบัติขึ้นมาใหม่ในสิ่งที่ไม่มีแบบอย่างในยุคของท่านนบี แต่มีหลักการขั้นพื้นฐานของศาสนารองรับ เพราะการเรียนรู้ศาสนาท่านนบีและซอฮาบะห์ได้กระทำไว้หลายรูปแบบเพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้และเหมาะสมกับผู้เรียนและสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ รวมการสร้างโรงเรียนสอนศาสนาในระบบปัจจุบัน หรือการสร้างโรงเรียนปอเนาะในยุคก่อนๆ ซึ่ง เป็นสถานที่เพื่อการสั่งสอนวิชาการศาสนา และปกป้องศาสนาจากการสูญหาย ซึ่งการสั่งสอนวิชาการและปกป้องศาสนาจากการสูญหายนี้ เป็นหลักการขั้นพื้นฐานที่จำเป็น (วาญิบ) ของอิสลาม อันเป็นมติเอกฉันท์ของนักวิชาการ
ที่เข้าข่ายบิดอะฮ์
**การยกมือขอดุอาอ์หลังละหมาด โดยกำหนดว่าต้องยกมือขอดุอาอ์ตลอด ไม่ยกไม่ได้ ถือเป็นการกำหนดการทำอิบาดะฮ์ขึ้นเฉพาะโดยไม่มีหลักฐานรองรับ
**การเข้าค่ายอัลกุรอาน รูปแบบเดียวในการศึกษาเรียนรู้ แบบอื่นไม่ได้ เป็นกำหนดวิธีการเรียนรู้ เวลา ฯลฯ โดยอ้างว่าศาสนาให้เรียนและเข้าค่ายอย่างเดียวโดยปฏิเสธรูปแบบและวิธีอื่นๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และซอฮาบะห์เคยกระทำไว้ เป็นการกำหนดรูปแบบศาสนาขึ้นมาเป็นการเฉพาะ
สำหรับคำถามที่ถามผู้ที่อ้างว่ามีบิดอะฮ์หะซะนะฮ์ตามบทบัญญัติและให้ทำบิดอะฮ์เหล่านั้นได้ แต่อุลามะฮ์ เขาว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นบิดอะฮ์น่ารังเกียจ หรือต้องห้าม เช่น อีมาม อันนะวะวีย์ กล่าวว่าละหมาดร่อฆออิบ ละหมาดนิศฟูชะอบาน เป็นบิดอะฮที่น่ารังเกียจ การจัดเลี้ยงอาหารบ้านคนตายเป็นบิดอะฮฺ้ต้องห้าม เป็นต้น เมื่อการกระทำสิ่งเหล่านี้เป็นบิดอะฮ์หะซะนะฮ์ แล้ว ทำไมอุลามาอ์จึงกล่าวว่าเป็นบิดอะฮ์ต้องห้ามด้วย
และเมื่อถามว่าการกระทำใดบ้างเป็นบิดอะฮ์ฎอลาละฮ์ เขาตอบว่า การตะยัมมุมที่ไม่ใช้ดิน จึงถามกลับไปว่า การตะยัมมุมที่ไม่ใช้ดิน มันเป็นบิดอะฮ์ฎอลาละฮ์ แล้วมันฎอลาลาฮ์ยังไง ทำไมถึงขั้นฎอลาละฮ์ มันต่างกันอย่างไรกับบิดอะฮ์หาซานะฮ์ที่มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง แต่ก็ไร้คำตอบที่เป็นเชิงทางวิชาการ นอกจากเป็นการใช้คำที่เสียดสี ให้ร้ายและเฉไฉเท่านั้น
วัลลอฮุอะอฺลัม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น