อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การแต่งงานกับหญิงชาวคัมภีร์และหญิงมุชริกะฮฺ




                                   อิสลามอนุญาตให้ชายมุสลิมแต่งงานกับหญิงอิสระชาวคัมภีร์(ยะฮูดีหรือยิวส์ , นัศรอนีหรือคริสต์)ได้

พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานาฮูวะตะอาลา ทรงตรัสว่า


الْيَوْمَ أُحِلَّ لَكُمُ الطَّيِّبَاتُ وَطَعَامُ الَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَابَ حِلٌّ لَّكُمْ وَطَعَامُكُمْ حِلٌّ لَّهُمْ وَالْمُحْصَنَاتُ مِنَ الْمُؤْمِنَاتِ وَالْمُحْصَنَاتُ مِنَ الَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَابَ مِن قَبْلِكُمْ إِذَا آتَيْتُمُوهُنَّ أُجُورَهُنَّ مُحْصِنِينَ غَيْرَ مُسَافِحِينَ وَلَا مُتَّخِذِي أَخْدَانٍ وَمَن يَكْفُرْ بِالْإِيمَانِ فَقَدْ حَبِطَ عَمَلُهُ وَهُوَ فِي الْآخِرَةِ مِنَ الْخَاسِرِينَ ( 5 )
"วันนี้สิ่งดี ๆ ทั้งหลายได้ถูกอนุมัติแก่พวกเจ้าแล้ว และอาหารของบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้น เป็นที่อนุมัติแก่พวกเจ้าแล้ว และอาหารของพวกเจ้าก็เป็นที่อนุมัติแก่พวกเขาและบรรดาหญิงบริสุทธิ์ ในหมู่ผู้ศรัทธาหญิงและบรรดาหญิงบริสุทธิ์ในหมู่ผู้ที่ได้รับคัมภีร์ก่อน จากพวกเจ้าก็เป็นอนุมัติแก่พวกเจ้าด้วย เมื่อพวกเจ้าได้มอบให้แก่พวกนางซึ่งมะหัร์ของพวกนางในฐานะเป็นผู้แต่งงานมิใช่เป็นผู้กระทำการซินาโดยเปิดเผย และมิใช่ยึดเอานางเป็นเพื่อน โดยกระทำซินาลับ ๆ และผู้ใดปฏิเสธการศรัทธา แน่นอนงานของเขาก็ไร้ผล ขณะเดียวกันในวันปรโลกพวกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ที่ขาดทุน" (อัลกุรอาน สูเราะฮิอัล-มาอิดะฮฺ 5: 5)


                          อิบนุล มุนษิร ได้กล่าวว่า ไม่มีข้อห้ามใดๆจากคนรุ่นก่อนๆ ที่จะห้ามในเรื่องดังกล่าว

รายงานจากท่าน อิบนิ อุมัร ร่อฎียัลลอฮุอันฮุม เล่าว่า
เขาถูกถามเกี่ยวกับชายคนหนึ่งแต่งงานกับหญิงชาวคริสต์(นัศรอนี) หรือหญิงยะฮูดี (ยิวส์) เขาตอบว่า “อัลลอฮ์ทรงห้ามหญิงบูชาเจว็ดแก่บรรดาผู้ศรัทธาชาย และฉันไม่ทราบสิ่งหนึ่งสิ่งใดในเรื่องของการชิริกที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการที่หญิงคนหนึ่งกล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้าของนาง คือ อีซา(เยซู) หรือคนหนนึ่งคนใดที่เป็นบ่าวของอัลลอฮฺ”

                       -อุสมานร่อฎียัลลอฮุอันฮุมได้แต่งงานกับนาอิละฮฺ บุตรี อักก้อรอกิเศาะฮฺ อัลกัลป์บียะฮฺที่เป็นชาวคริสต์ ซึ่งนางได้เข้ารับอิสลามที่อุสมานนั้นเอง
                       -หุษัยฟะฮฺ ได้เคยแต่งงานกับหญิงชาวยิวส์ ที่เป็นชาวเมืองอัลมะดาอิน

                       แต่อย่างไรก็ตามการแต่งงานกับหญิงชาวคัมภีร์ ถึงแม้จะเป็นที่อนุมัติ แต่ทว่าเป็นการน่าเกลียด(มักรูฮฺ) เพราะไม่เป็นที่ปลอดภัยที่เขาจะเอนเอียงไปตามวิถีทางของนาง ก็อาจจะทำให้เสียศาสนาไป หรือพวกพ้องที่อยู่ในศาสนาของนางจะทำให้เขาหันเหออกไป

                       และหากหญิงชาวคัมภีร์ผู้นั้นเป็นหญิงที่เป็นคู่กรณีสงครามกันก็ถือเป็นการน่าเกลียดยิ่ง เพราะอาจจะเป็นสายลับให้ฝ่ายศัตรูได้

                       *****สำหรับหญิงมุชริกะฮฺ(บูชาเจว็ด) นั้น ถือว่านางไม่มีศาสนาตามหลักการอิสลาม ถึงแม้ว่านางมีหลักยึดมั่นตามลัทธิของนาง และลัทธิของนางใช้ให้นางมีความรับผิดชอบ ใช้ให้ทำความดี ห้ามมิให้นางทำความชั่วก็ตาม นั่นมันเป็นเรื่องตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่การบูชาเจว็ดนั้นมันเป็นเรื่องเหลวไหล เชื่อเรื่องโชคลาง ความฝัน และถูกไชฏอนชักนำ ซึ่งจะทำให้นางหักหลังสามี ทำให้หลักเชื่อมั่นของลูกๆต้องเสียหาย

                         ถ้าหากฝ่ายชายยังคงทึ่งในความสวยงามของนางละก็ จะเป็นการช่วยให้กระโจนเข้าไปสู่การหลงออกจากทางนำได้ เพราะการมองแต่ภาพภายนอก อันเนื่องจากความสวยของรูป จะทำให้หัวใจของเขาเปิดช่องให้ความชั่วเล็ดลอดเข้ามา บางที่ความสวยจะทำให้เกิดความหลงใหลเพลิดเพลิน สภาพของเขาก็ยิ่งแย่ลง

                          ส่วนหญิงชาวคัมภีร์ คือชาวยิวส์ และคริสต์ นั้น ระหว่างศาสนาของนางดั่งเดิมกับคนมุมินผู้ศรัทาไม่แตกต่างอะไรมากนัก

                          พวกชาวคัมภีร์เดิม ยังศรัทาต่ออัลลอฮฺ เคารพกราบไหว้พระองค์ ศรัทาต่อบรรดานบีและชีวิตปรโลก และเชื่อในผลตอบแทน และศานาของเขาก็ใช้ให้ทำความดี และห้ามความชั่ว

                          ข้อแตกต่างที่เป็นจุดสำคัญก็คือ การศรัทาต่อการเป็นรสูลของท่านนบีมูอัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และการที่พวกเขายอมศรัทธาต่อการเป็นนบีโดยทัวๆไปก็ไม่ห้ามที่เขาจะไม่ศรัทาต่อท่านนบี องค์สุดท้ายนอกจากสิ่งที่เขาไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น



والله أعلم بالصواب


✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น