บทความนี้กล่าวขึ้นโดย อับดุ้ลมุ้ฮฺซิน อิบนุ ฮั้มดฺ อั้ลอั้บบ้าด อั้ลบั้ดรฺ 21/8/1427 (ฮ.ศ.)
อาบีดีณ โยธาสมุทร แปลและเรียบเรียง 23/2/1437 – มะดีนะฮฺ ร่อซูลิ้ลลาฮฺ –
*หมายเหตุ ข้อมูลนี้ ได้รับการอนุญาตอย่างถูกต้องแล้ว จากเจ้าของบทความให้ทำการแปลและเผยแพร่ได้ เมื่อวันที่ 28/4/1437 ตรงกับ 7/2/2016. -อาบีดีณ โยธาสมุทร ผู้แปลและเรียบเรียง-
بسماللهالرحمنالرحيم
الحمد لله رب العالمين، وصلى الله وبارك على رسوله وعلى آله وصحبه.وبعد،
เพื่อเป็นการให้คำตอบสำหรับคำถามที่เกี่ยวข้องกับพวกอะชาอิเราะฮฺที่ว่า: พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของอะฮฺลุ้ซซุนนะฮฺวั้ลญะมาอะฮฺหรือไม่? นั้น
ผมขอเรียนว่า: ชาวอะฮฺลุ้ซซุนนะฮฺวั้ลญะมาอะฮฺคือ บรรดาศ่อฮาบะฮฺผู้ทรงเกียรติ ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุม ตลอดจนบุคคลที่ดำเนินตนอยู่บนแนวทางของพวกท่านเหล่านั้น ดังที่ท่าน (นบี) ﷺ ได้บอกเอาไว้ในการชี้แจงถึงกลุ่มชนที่รอดพ้นและปลอดภัย (จากฟิตนะฮฺและการหลงทาง) ( الفرقة الناجية ) ที่ว่า : (( هم من كان على ما أنا عليه وأصحابي ))
((พวกเขาคือ บุคคลที่ตั่งมั่นอยู่บนสิ่งที่ข้าฯและเหล่าสหายของข้าฯตั่งมั่นอยู่บนนั้น))
ซึ่งหลักความเชื่อของพวกท่านเหล่านี้ในเรื่องบรรดาพระนามของอัลลอฮฺ อั้ซซะวะญั้ล และบรรดาพระลักษณะต่างๆของพระองค์นั้น ก็คือ การให้การยืนยันว่าอัลลอฮฺ อั้ซซะวะญั้ล ทรงเป็นไปตามข้อมูลที่อั้ลกิตาบและอั้ซซุนนะฮฺได้ให้การยืนยันเอาไว้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบรรดาพระนามและพระลักษณะของพระองค์ ซึ่ง(เป็นการให้การยืนยันที่)วางอยู่บนรูปแบบที่มีความเหมาะสมและคู่ควรกับอัลลอฮฺ ซุบอานะฮูวะตะอาลา โดยจะไม่เข้าไปลงรายละเอียดเสาะหาว่าเป็นอย่างไร หรือเข้าไปทำการเปรียบเทียบว่าพระองค์ทรงคล้ายหรือเหมือนกับอะไร และไม่เข้าไปทำการบิดเบือน, เปลี่ยนความหมาย,หรือปฏิเสธความหมาย(ของข้อมูลดังกล่าว)แต่อย่างใดทั้งสิ้น ดังที่อัลลอฮฺ อั้ซซะวะญั้ล ได้ตรัสไว้ว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ ۖ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
((ไม่มีอะไรทั้งสิ้นเหมือนกับพระองค์ และพระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงมองเห็น))
ในอายะฮฺนี้ได้ระบุข้อมูลที่ให้การยืนยันเอาไว้ว่าอัลลอฮฺ พระผู้ทรงสูงส่ง ทรงมีพระลักษณะสองพระลักษณะ ซึ่งได้แก่ การได้ยินและการเห็น โดยอยู่ในพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า
وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
(( และพระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงมองเห็น))
อีกทั้ง ยังได้มีการกำจัดความคล้ายคลึงกันให้หมดไประหว่างสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระองค์(อัลลอฮฺ)กับพระองค์(อัลลอฮฺ)เอง เอาไว้อีกด้วย โดยอยู่ในพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ ۖ
((ไม่มีอะไรทั้งสิ้นเหมือนกับพระองค์))
ส่วนพวกอะชาอิเราะฮฺนั้น พวกเขาคือ พวกที่สังกัดเข้าร่วมกับแนวคิดของ อบีฮะซัน อั้ลอั้ชอะรี่ยฺ ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ ซึ่งเกิดปีที่ – ฮ.ศ.270 – และเสียชีวิตปีที่ – ฮ.ศ.330 – แนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่มีขึ้นก่อนหน้าที่ท่าน(อบีฮะซัน)จะหวนกลับสู่แนวทางของชาวอะฮฺลุ้ซซุนนะฮฺวั้ลญะมาอะฮฺ
ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ ก็ได้แก่ การทำการเปลี่ยนแปลงความหมาย(ตีความ) ( تأويل ) พระลักษณะส่วนใหญ่จากบรรดาพระลักษณะของอัลลอฮฺนั่นเอง ซึ่งแนวคิดๆนี้เป็นแนวคิดที่ค้านกันกับแนวทางของชาวอะฮฺลุ้ซซุนนะฮฺวั้ลญะมาอะฮฺ
และจากข้อมูลข้างต้นนี้นี่เอง จึงถือได้ว่า พวกอะชาอิเราะฮฺคือ ส่วนหนึ่งจากบรรดากลุ่มอิสลามที่เพี้ยนไปจากสิ่งที่ชาวอะฮฺลุ้ซซุนนะฮฺวั้ลญะมาอะฮฺได้ตั่งมั่นกันอยู่บนนั้น
มันไม่กินกับปัญญาเลยครับ กับการที่ความจริงและความถูกต้องได้ถูกปิดเอาไว้ไม่ให้คนที่เป็นศ่อฮาบะฮฺ ไม่ให้คนที่เป็นตาบิอีนหรือคนที่เป็นอั้ตบ๊าอิ้ตตาบิอีน (ยุคที่อยู่ถัดจากยุคตาบิอีน) ได้รับทราบกัน แต่แล้วความจริงและความถูกต้องนี้ กลับมาปรากฏตัวขึ้นในภายหลัง ท่ามกลางหมู่ชนที่เป็นผู้ที่ดำเนินตนตามหลักความเชื่ออะไรซักอย่างหนึ่ง ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาหลังจากยุคของพวกท่านเหล่านั้น
ท่านอั้ลฮาฟิ้ซ อิบนุฮะญั้รได้ถ่ายทอดข้อความจำนวนมากจากบรรดาสลัฟเอาไว้ใน ฟัตฮุ้ลบารียฺ ซึ่งพูดถึงหลักความเชื่อที่ถูกต้องที่วางอยู่บนอั้ลกิตาบและอั้ซซุนนะฮฺ และความเข้าใจของบรรพชนของอุมมะฮฺนี้ ( سلف الأمة )เอาไว้ โดยท่านได้ทำการปิดท้ายการถ่ายทอดบรรดาข้อความดังกล่าวด้วยคำพูดของท่านที่ว่า
” وقد تقدم النقل عن أهل العصر الثالث وهم فقهاء الأمصار، كالثوري والأوزاعي ومالك والليث ومن عاصرهم وكذا من أخذ عنهم من الأئمة ، فكيف لا يوثق بما اتفق عليه أهل القرون الثلاثة وهم خير القرون بشهادة صاحب الشريعة؟” ا.هـ (13/407)
“และที่ผ่านมานี้ ก็ได้มีการหยิบยกข้อมูลจากกลุ่มชนแห่งยุคที่สามมาถ่ายทอดเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งพวกท่านเหล่านี้ต่างเป็น นักวิชาการคนสำคัญของแต่ละมุมเมือง ( فقهاء الأمصار ) เช่นท่านอั้ซเซารียฺ ,ท่านอั้ลเอาซาอียฺ ,ท่านมาลิก , ท่านไล้ซฺและท่านอื่นๆที่อยู่ร่วมยุคสมัยเดียวกันกับพวกท่าน ตลอดจน(ข้อมูลจาก)บรรดาบุคคลชั้นนำทั้งหลายทั้งปวงที่เข้ามารับสืบถอดวิชาการไปจากพวกท่านเหล่านี้ก็ด้วยเช่นกัน ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะให้ไม่ยอมเชื่อถือและไม่ยอมวางใจต่อข้อมูลที่บรรดาบุคคลแห่งยุคสมัยทั้งสามได้เห็นพ้องเป็นมติที่ตรงกันไว้แล้วได้อย่างไรกัน ทั้งๆที่พวกท่านเหล่านี้คือ ยุคที่เยี่ยมที่สุดแห่งบรรดายุคสมัยทั้งปวง โดยการรับรองและการยืนยันจากผู้เป็นเจ้าของบทบัญญัติ?.”
ท่าน (อั้ลฮาฟิ้ซ อิบนุฮะญั้ร)ยังได้เล่าถึงข้อมูลจากท่านอั้ลฮะซัน อั้ลบั้ศรี่ยฺไว้อีกด้วยว่า ท่านได้กล่าวไว้ว่า:
” لو كان ما يقول الجعد حقاً لبلّغه النبي صلى الله عليه وسلم ” اهـ (13/504)
“ถ้าหากสิ่งที่อั้ลญ้ะอดฺพูดเอาไว้ คือความจริง ท่านนบี ﷺ ก็คงจะต้องถ่ายทอดและบอกต่อสิ่งนี้เอาไว้แล้วเป็นแน่”
อั้ลญ้ะอดฺคนนี้ หมายถึง ลูกชายของดิ้รฮัม ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งแนวคิดอั้ลญะฮฺมียะฮฺขึ้นมานั่นเอง
และผมเอง ก็ขอพูดเหมือนที่ท่านอั้ลฮะซัน ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ ได้พูดเอาไว้. ว่า:
” لو كان ما يقوله الأشاعرة وغيرهم من المتكلمين حقاً لبلغه الرسول صلى الله عليه وسلم “.
“ถ้าหากสิ่งที่พวกอะชาอิเราะฮฺและพวกอื่นๆที่มาจากพวกที่นิยมการใช้ตรรกะ ( المتكلمين ) ได้พูดกันไว้ คือความจริง ท่านร่อซู้ล ﷺ ก็คงจะต้องถ่ายทอดและบอกต่อสิ่งนี้เอาไว้แล้วเป็นแน่”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น