เรื่องที่สี่
จุดยืนของผู้คนทั้งหลายต่อการสังหารท่านหุสัยนฺ
ไม่มีความสงสัยหรือคลางแคลงใดๆเลยว่า
การสังหารท่านหุสัยนฺ ถือเป็นเรื่องร้ายแรงมากที่ประสบกับบรรดามุสลิม
เพราะไม่มีหลานนบีบนแผ่นดินนี้อีกแล้วนอกจากท่าน ท่านถูกสังหารโดยไม่เป็นธรรม
และการสังหารท่านสำหรับมุสลิมที่อยู่บนโลกเรานี้เป็นเรื่องร้ายแรง
และการนี้ท่านจะได้รับการชะฮีด เกียรติยศ ได้เพิ่มระดับขั้น และใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ
โดยที่ท่านเลือกทำเพื่อโลกหน้า เพื่อสวรรค์อันบรมสุขแทนที่ดุนยาที่มืดเทา
และเราขอกล่าวว่า ท่านไม่น่าออกเดินทางไปเลย และเพราะอย่างนี้ที่บรรดาเศาะหาบะฮฺอาวุโสในเวลานั้นจึงมาห้ามปรามท่าน
และเพราะการออกไปในครั้งนี้ทำให้พวกอธรรมชอบกดขี่เหล่านั้นได้โอกาสกับผู้ที่เป็นหลานของท่านเราะสูลุลลอฮฺ
สังหารท่านอย่างไม่เป็นธรรมและต้องมาตายชะฮีด
และในการเสียชีวิตของท่านมีผลร้ายแรงมากกว่าการที่ท่านนั่งเฉยอยู่ที่แผ่นดินของท่าน
แต่มันเป็นกำหนดของอัลลอฮฺ
ผู้ทรงจำเริญผู้ทรงสูงส่ง สิ่งใดที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ ย่อมต้องเกิดขึ้น
ไม่ว่ามนุษย์จะต้องการหรือไม่ก็ตาม
แต่การสังหารท่านหุสัยนฺก็ไม่ได้ร้ายแรงไปกว่าการสังหารบรรดานบี
ศีรษะของนบียะห์ยาบุตรของนบีซะกะรียาถูกมอบเป็นสินสมรสของคนชั่วช้าคนหนึ่ง
และท่านนบีซะกะรียาก็ถูกสังหาร และเช่นกันอุมัร อุษมาน และอลีก็ถูกสังหาร
บุคคลเหล่านี้ล้วนประเสริฐกว่าท่านหุสัยนฺทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่อนุญาตให้คนหนึ่งคนใดเมื่อนึกถึงการสังหารท่านหุสัยนฺแล้วทำการตบหน้า
ฉีกเสื้อผ้า หรืออะไรทำนองนั้น ทว่าการกระทำทั้งหมดนั้นล้วนเป็นที่ต้องห้ามทั้งสิ้น
เพราะท่านนบี ได้กล่าวว่า
«لَيْسَ مِنَّا مَنْ لَطَمَ الخُدُودَ، وَشَقَّ الجُيُوبَ»
“ไม่ใช่พวกเรา ผู้ที่ตบแก้ม และฉีกเสื้อผ้า”[1]
และกล่าวอีกว่า
«أَنَا
بَرِئٌ مِنَ الصَّالِقَةِ وَالحاَلِقَةِ وَالشَّاقَّةِ»
“ฉันไม่เกี่ยวข้องใดๆกับศอลิเกาะฮฺ
หาลิเกาะฮฺ และชากเกาะฮฺ”[2] และคำว่าศอลิเกาะฮฺ คือ ผู้หญิงที่ร่ำไห้คร่ำครวญ คำว่าหาลิเกาะฮฺคือผู้หญิงที่โกนศีรษะ
และคำว่าชากเกาะฮฺคือ ผู้หญิงที่ฉีกเสื้อผ้าตัวเอง
และกล่าวอีกว่า
«النَّائِحَةُ
إِذَا لَمْ تَتُبْ فَإِنَّهَا تَلْبَسُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ دِرْعًا مِنْ جَرَبٍ
وَسِرْبَالاً مِنْ قَطِرَانٍ، »
“ผู้หญิงที่ร้องไห้คร่ำครวญ หากไม่กลับตัว ในวันกิยามะฮฺ นางจะได้สวมเกราะที่ทำจากโรคผิวหนัง และเสื้อผ้าที่ทำจากน้ำมัน”[3]
เป็นหน้าที่ของมุสลิมเมื่อมีเหตุการณ์ร้ายแรงแบบนี้เกิดขึ้นให้กล่าวเหมือนกับที่อัลลอฮฺตรัสไว้ว่า
﴿ ٱلَّذِينَ إِذَآ
أَصَٰبَتۡهُم مُّصِيبَةٞ قَالُوٓاْ إِنَّا لِلَّهِ وَإِنَّآ إِلَيۡهِ رَٰجِعُونَ ١٥٦ ﴾ [البقرة: ١٥٦]
"คือบรรดาผู้ที่เมื่อมีเคราะห์ร้ายมาประสบแก่พวกเขา
พวกเขาก็กล่าวว่า แท้จริงพวกเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์
และแท้จริงพวกเราจะกลับไปยังพระองค์” {อัล-บะเกาะเราะฮฺ: 156}
จุดยืนของผู้คนทั้งหลายต่อการสังหารท่านหุซัยนฺ
คนทั้งหลายในเรื่องการสังหารท่านหุซัยนฺ
แบ่งเป็นสามกลุ่ม
กลุ่มที่หนึ่ง : พวกเขาเห็นว่าท่านหุซัยนฺถูกสังหารด้วยความชอบธรรมแล้ว เพราะเขาออกจากผู้นำ
และต้องการสร้างความแตกแยกให้กับมุสลิม พวกเขาพูดว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ
ได้กล่าวว่า
«مَنْ
جَاءَكُمْ وَأَمْرُكُمْ عَلَى رَجُلٍ وَاحِدٍ، يُرِيدُ أَنْ يُفَرِّقَ جَمَاعَتَكُمْ،
فَاقْتُلُوهُ كَائِنًا مَنْ كَانَ»
“ผู้ใดที่มาหาพวกท่าน ในขณะที่อำนาจของมุสลิมอยู่ในมือของคนๆเดียวแล้ว
เขาต้องการทำให้กลุ่มของพวกท่านแตกแยก ก็จงสังหารเขา ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็ตาม”[4]
และท่านหุซัยนฺต้องการทำให้มุสลิมเกิดการแตกแยก
โดยท่านเราะสูลกล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็ตาม ก็จงฆ่าเขา”
ดังนั้นการสังหารท่านจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ทัศนะนี้เป็นทัศนะของพวกนาศิบะฮฺ[5] ที่โกรธแค้นท่านหุซัยนฺ บินอลี
กลุ่มที่สอง : พวกเขากล่าวว่า ท่านคือผู้ที่(ทุกคน)จำเป็นต้องเชื่อฟัง
จำเป็นต้องส่งมอบอำนาจบริหารให้ท่าน เป็นทัศนะของพวกชีอะฮฺ
กลุ่มที่สาม : พวกเขาคือ อะฮ์ลุสสุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ พวกเขากล่าวว่า
ท่านถูกสังหารอย่างไม่เป็นธรรม แต่ท่านก็ไม่ได้เป็นผู้ที่ได้รับอำนาจจากอัลลอฮฺ
คือ ท่านไม่ได้เป็นอิหม่าม และไม่ได้ถูกสังหารในสภาพที่ออกจากผู้นำ
ทว่าท่านถูกสังหารอย่างไม่เป็นธรรมและเป็นการตายชะฮีด ตามที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ
กล่าวไว้ว่า
«الحَسَنُ
وَالحُسَيْنُ سَيِّدَا شَبَابِ أَهْلِ الجَنَّةِ»
“หะสัน และหุสัยนฺ เป็นหัวหน้าของเด็กหนุ่มชาวสวรรค์”[6]
เพราะท่านต้องการถอนตัวกลับ
หรือไปหายะซีดที่เมืองชามแล้ว แต่พวกเขาไม่ยอม จะให้ท่านยอมตกเป็นทาสเชลยให้กับอิบนุซิยาดเสียก่อน
บิดอะฮฺที่เกิดขึ้นใหม่สองประการ
ชัยคุลอิสลาม
อิบนุตัยมียะฮฺ กล่าวว่า
ภายหลังการสังหารท่านหุสัยนฺ
ได้เกิดบิดอะฮฺขึ้นมาสองประการ
หนึ่ง บิดอะฮฺการแสดงความเสียใจ
ร้องไห้คร่ำครวญในวันอาชูรออ์ โดยการตบตี ตะโกนร้อง ร่ำไห้ แสดงว่ากระหายน้ำ และขับกล่อมร้องเพลงรำพังรำพันถึงความสูญเสีย
และนำไปสู่การด่าทอ และสาบแช่งสลัฟ และโยงคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับคนทำผิด จนกระทั้งด่าทอไปถึงผู้ที่รับอิสลามในช่วงแรกด้วย
มีการอ่านข่าวว่ามีบางคนถึงขั้นเสียชีวิตทั้งที่จริงเป็นเรื่องโกหกเสียส่วนใหญ่
วัตถุประสงค์ของการสร้างรูปแบบนี้ขึ้นมาก็เพื่อเปิดประตูฟิตนะฮฺ
และสร้างความแตกแยกให้กับอุมมะฮฺ
ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะมีความหมายอะไรได้อีกกับการหวนกลับมารำลึกเห็นการณ์นี้เป็นประจำทุกปี
พร้อมกับการชโลมเลือด เทิดทูนจนคลั่งไคล้และยึดติดกับอดีต และจดจ่อกับกุโบร์
สอง บิดอะฮฺการเฉลิมฉลอง แสดงความดีอกดีใจ
แจกขนมหวานในวันสังหารท่านหุสัยนฺ
ที่เมืองกูฟะฮฺมีกลุ่มคนที่สนับสนุนอะฮ์ลุลบัยตฺ
โดยการนำของอัลมุคตาร บินอบูอุบัยดฺ ที่อ้างตนเป็นนบีเป็นจอมโกหก
และกลุ่มคนที่โกรธแค้นอะฮ์ลุลบัยตฺ หนึ่งในนั้นก็มี อัลหัจญาจญ์ บินยูสุฟ
อัษษะเกาะฟียฺ บิดอะฮฺหนึ่งต้องไม่ตอบโต้ด้วยกับอีกบิดอะฮฺหนึ่ง
ทว่าต้องตอบโต้ด้วยการทำสุนนะฮฺของท่านนบี ตรงกับที่อัลลอฮฺตรัสคือ
﴿ ٱلَّذِينَ إِذَآ
أَصَٰبَتۡهُم مُّصِيبَةٞ قَالُوٓاْ إِنَّا لِلَّهِ وَإِنَّآ إِلَيۡهِ رَٰجِعُونَ ١٥٦ ﴾ [البقرة: ١٥٦]
"คือบรรดาผู้ที่เมื่อมีเคราะห์ร้ายมาประสบแก่พวกเขา
พวกเขาก็กล่าวว่า แท้จริงพวกเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์
และแท้จริงพวกเราจะกลับไปยังพระองค์” {อัล-บะเกาะเราะฮฺ: 156}[7]
[1] เศาะหีห์ อัลบุคอรียฺ ว่าด้วยญะนาซะฮฺ
เรื่องไม่ใช่พวกของเราผู้ที่ฉีกเสื้อผ้า หะดีษที่ (1294) และเศาะหีห์ มุสลิม
ว่าด้วยอีมาน เรื่องห้ามตบตีแก้ม(103)
[2]
เศาะหีห์ อัลบุคอรียฺ ว่าด้วยญะนาซะฮฺ
เรื่องห้ามโกนศีรษะเมื่อมีประสบเคราะห์ หะดีษที่ (1296) และเศาะหีห์ มุสลิม ว่าด้วยอีมาน
เรื่องห้ามตบแก้ม และฉีกเสื้อผ้า และดูอาอ์แบบญาฮิลียะฮฺ หะดีษหมายเลข(140/167)
[3]
เศาะหีห์ อัลบุคอรียฺ ว่าด้วยญะนาซะฮฺ
เรื่องห้ามการร้องไห้คร่ำครวญอย่างเด็ดขาด หะดีษหมายเลข (934)
[4]
เศาะหีห์ มุสลิม ว่าด้วยการเป็นผู้ปกครอง
เรื่องหุก่มของผู้ที่ทำให้มุสลิมแตกแยกขณะที่มันรวมกันอยู่ หะดีษหมายเลข (1852)
[6]
บันทึกโดย ติรมิซียฺ ว่าด้วยความประเสริฐ
เรื่องความประเสริฐของท่านหะสันและหุสัยนฺ หะดีษที่ (3768)
[7]
มินฮาจญ์ อัสสุนนะฮฺ (5/554-555)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น