อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การมองหาจันทร์เสี้ยวในยุคท่านนบี



การเข้าบวชออกบวช การกำหนดวันอีดทั้งสอง ในยุคท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) นั้น โดยการดูจันทร์เสี้ยวในเมืองที่ท่านและศอหาบะฮฺพักอาศัยอยู่ คือนครมะดีนะฮ์

รายงานจากท่านอบู ฮุร็อยเราะ์ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ)เล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
"การถือศิลอดของพวกท่าน คือ วันที่พวกท่านทั้งหลายถือศิลอด และวันอีดของพวกท่าน คือวันที่พวกท่านทั้งหลายอีด และวันเชือดของพวกท่านคือวันที่พวกท่านทั้งหลายเชือด" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอบูดาวูด เลขที่ 2324, อิมามบัยหะกีย์ เลขที่ 8300)

โดยที่ท่านไม่ได้ให้มีการส่งข่าว หรือสืบข่าวไปยังเมืองมักกะฮ์ ถึงการเห็นจันทร์เสี้ยว อันด้วยอุปสรรคต่างๆ แต่เมื่อท่านนบีได้ทราบข่าวการเห็นจันทร์เสี้ยวจากเมืองอื่น ท่านนบีก็รับผลการเห็นจันทร์เสี้ยวนั้น ดังหะดิษ ที่ชายผู้หนึ่งที่อาศัยอยู่ตามทะเลทรายได้มาหาท่านนบีเพื่อบอกล่าวให่ท่านนบีทราบถึงการเห็นจันทร์เสี้ยวของเขาที่เขา  และท่านนบีก็รับผลการเห็นจัทร์เสี้ยวของชายผู้นั้นที่อยู่นอกเมืองมาดีนะฮ์

รายงานจากท่านอิบนุ อับบาส (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) เล่าว่า
"อะอฺรอบีย์(ผู้ที่อาศัยอยู่ตามทะเลทราย)ท่านหนึ่งมาหาท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  พลางกล่าวว่า : แท้จริงฉันเห็นจันทร์เสี้ยว(ท่านหะซันรายงานว่า เป็นจันทร์เสี้ยวของเดือนรอมาฎอน)ดังนั้นท่านรสูลจึงกล่าถามว่า : ท่านจะปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่สมควรได้รับการเคารพภักดีนอกจากพระองค์อัลลอฮฺเพียงองค์เดียได้หรือไม่?เขากล่าตอบว่า : ได้ท่านรสูลจึงกล่าวต่อว่า : ท่านจะปฏิญาณตนว่าท่านนบีมุหัมมัด เป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺได้หรือไม่เขากล่าวตอบว่า : ได้ท่านจึงกล่าวขึ้นว่า โอ้บิลาล ท่านจงป่าวประกาศยังผู้คนทั้งหลายว่า พวกท่านจงถือศิลอดในวันพรุ่งนี้เถิด" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอบูดาวูด เลขที่ 2340)

รายงานจากท่านอับดุลเราะมาน อิบนุ อะบีลัยลา เล่าว่า
"ฉันได้อยู่ร่วมกับท่านบัรรออฺ อิบนฺ อาซิบ และอุมัรฺ อิบนฺ อัลคอฏฏ็อบ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุมา) ที่บริเวณสุสานอัลบะเกียะ โดยท่านพยายามมองหาจันทร์เสี้ยว ต่อมามีผู้เดินทางท่านหนึ่งเดินทางมา(ที่เมืองมะดีนะฮฺ) ท่านอุมัรจึงเดินไปหาเขาและถามเขาว่า :  ท่านเดินทางมาจากทิศใดหรือ?เขาตอบว่า : ฉันเดินทางมาจากทางด้านทิศตะวันตกท่านอุมัรจึงถามต่อไปว่า : ท่านเห็นจันทร์เสี้ยวหรือไม่?เขาตอบว่า : ฉันเห็นมันแล้วท่านอุมัร จึงกล่าวตักบีรฺว่า อัลลอฮุอักบัร พร้อมกับกล่าวว่า : แท้จริงการเห็นจันทร์เสี้ยวของชาย(ที่เดินทางมาจากทิศตะวันตก) ผู้นี้เพียงคนเดียวก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับมุสลิม" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบัยหะกีย์ 4/421)

จากหะดิษ ท่านนบีและผู้คนที่อยู่ในเมืองมะดีนะฮ์ ก็ต่างมองหาจันทร์เสี้ยว หากไม่มีการเห็นจันทร์เสี้ยวในเมืองมะดีนะฮ์ แต่ทราบการเห็นจันทร์เสี้ยวจากพื้นที่อื่นนอกจากมะดีนะฮ์ ท่านก็รับผลการเห็นจันทร์เสี้ยวนั้นในการกำหนดวันเข้าบวชออกบวช และกำหนดวันอีดทั้งสอง ทั้งในยุคท่านอุมัรฺ ก็ปฏิบัติเช่นนั้น ด้วยการรับผลการเห็นจันทร์เสี้ยวของชายคนหนึ่งซึ่งเดินทางมาจากทางทิศตะวันตกนอกเมืองมะดีนะฮฺ

จากหลักฐานหะดิษบทแรก ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ (ร่อหิมะฮุลลอฮฺ) กล่าวว่า
"หลักฐานข้างต้นบ่งบอกให้รู้ว่า เมื่อบุคคลหนึ่งเป็นพยานในคืนที่สามสิบของเดือนชะอฺบานว่าเขาเห็นจันทร์เสี้ยว(ในคืนนั้น) ณ สถานที่หนึ่งจากสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าใกล้หรือไกลก็ตาม ถือว่าวาญิบ(จำเป็น)จะต้องถือศิลอด" (หนังสือ "มัจญ์มูอฺ ฟะตาวา อิบนุ ตัยมียะฮฺ" หน้า 105)

สำหรับสำนวนที่ว่า "เมื่อพวกท่านเห็นทร์เสี้ยว" ท่านอัศศอน อานีย์กล่าวในหนังสือสุบุลุสสลามไว้ว่า
"เมื่อท่านพบว่ามีการเห็นจันทร์เสี้ยวในระหว่างพวกท่าน เช่นนั้นเป็นการบ่งชี้ว่า การเห็นของเมืองหนึ่ง ถือว่าเป็นการเห็นสำหรับชาวเมืองอื่นทั้งหมด"

จากหลักฐานการปฏิบัติของท่านรสูลและเศาะหาบะฮฺในการมองหาจันทร์เสี้ยวกำหนดวันเข้าบวชออกบวช และกำหนดวันอีดทั้งสอง โดยการมองหาจันทร์เสี้ยวในเมืองมะดีนะฮ์นั้น หากมองไม่เห็นจันทร์เสี้ยวในเมืองมะดีนะฮ์ แต่ทราบการเห็นจันทร์เสี้ยวนอกเมืองมะดีนะฮฺก็รับการเห็นจันทร์เสี้ยวนั้น ท่านนบีหรือบรรดาเศาหะบะฮฺมิได้ปฏิเสธการมองเห็นจันทร์เสี้ยวในเมืองอื่น ถึงแม้จะไม่มีการส่งข่าวหรือขอทราบข่าวจากเมืองอื่นก็ตาม อันด้วยอุปสรรคของระยะเวลา ระยะทาง ลักษณะเส้นทางหรือยานพาหนะในการเดินทาง เครื่องมือในการทราบข่าว หรืออุปสรรคอื่นๆ ในการรับทราบการมองเห็นจันทร์เสี้ยวของเมืองอื่นๆ โดยให้มองหาจันทร์เสี้ยวได้เท่าที่มีความสามารถในเมืองของตนในยุคสมัยนั้นๆ และไม่ได้กำหนดห้ามที่จะรับทราบผลการเห็นจันทร์เสียว หรือกำหนดขอบเขตในการรับการเห็นจันทร์ จากหลักฐานของท่านนบีและบรรดาเศาะหะบะฮฺเลย แต่ตรงกันข้ามท่านนบีและบรรดาเศาะหาบะฮฺกลับรับการมองเห็นจันทร์เสี้ยวจากเมืองอื่นๆ

หลังจากยุคท่านรสูล และบรรดาเศาะหะบะฮฺ ยุคเซาะลัฟ และคอลัฟ อิสลามได้ขยายไปไกล ไปทั่วทุกมุมโลก แต่ก็ยังมีออุปสรรคในการสื่อสารระหว่างมุสลิมในพื้นหนึ่งกับอีกพื้นที่หนึ่ง การมองหาจันทร์เสี้ยว ต่างเมืองก็ต่างหาจันทร์เสี้ยวในเมืองของตน โดยไม่ได้ปฏิเสธการมองเห็นจันทร์เสี้ยวของเมืองอื่น แต่มีอุปสรรคที่จะทราบมัน และเมื่อเข้าสู่ยุคปัจจุบัน กลับมีเทคโนโลยีการสื่อสารกันอย่างรวดเร็วและทั่วถึง ไม่ว่าการสื่อสารทางโทรศัพท์ โทรเลข โทรทัศน์ ซึ่งมีจานดาวเทียมที่สามารถส่งสัญญาณติดต่อกันได้ทั่วโลก พลเมืองมุสลิมในเมืองหนึ่งๆ ก็ต่างมีเครื่องมือเหล่านั้นที่จะรับทราบสื่อสารข้อมูลต่างๆระหว่างกันได้อย่างรวดเร็วและแม้นยำ การรับทราบการมองเห็นจัทร์เสี้ยวของเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลก็สามารถรับทราบกันอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะมีเวลาต่างกันบ้างเป็นนาที เป็นชั่วโมงก็ตามก็ยังอยู่ในวันเดียวกัน (นับเวลาเข้าเวลามักริบค่ำหนึ่งไปเข้าเวลามักริบอีกค่ำหนึ่ง เป็นหนึ่งวัน) สำหรับประเทศไทย หากตามหลักที่ท่านรสูลปฏิบัติไว้นั้น ก่อนที่มีเทคโนดลยีการสื่อสารที่ทันสมัยปัจจุบัน การติดต่อแม้เพียงในพื้นที่ประเทศไทย ก็ติดต่อกันได้ยาก กว่าจะรู้ว่าผู้ไปประกอบพิธีฮัจญ์ทำการวุกูฟ ณ ทุ่งอาเราะฮฺวันที่เท่าไหร่ ก็ปาเวลาไปเป็นเดือนหลังจากนั้น จากกระจ่ายข่าวไปยังพื้นที่ต่างๆ หรือในเมืองอื่นๆ ก็เป็นไปได้ยาก หากมีผู้เห็นจันทร์เสี้ยวก็ถือว่าเห็นจันทร์ หรือหากไม่เห็นก็ให้นับไปอีกวันหนึ่ง โดยไม่ส่งข่าว หรือขอรับทราบข่าวจากเมืองอื่น เว้นแต่จะอยู่ใกล้ๆกัน เช่นคนหนึ่งอยู่บริเวรรั่วกั้นประเทศไทย อีกคนหนึ่งอยู่อาศัยระหว่างรั่วกั้นในส่วนของประเทศมาเลเซีย ก็สามารถรับทราบข่าวกันได้ไม่ยาก หากผู้ที่อยู่ในเขตรั่วไทยมองไม่เห็นจันทร์เสี้ยว แต่ผู้อยู่ฝั่งรั่วมาเลเซียเห็นจันทร์เสี้ยว ผู้ที่อยู่ทางฝั่งรั่วประเทศไทยก็รับผลการเห็นจันทร์เสี้ยวนั้น หรือหากมีผู้คนจากมาเลเซียเดินทางเข้ามาในประเทศไทย และยืนยันการเห็นจันทร์เสี้ยว ผู้ที่อยู่ในประเทศไทยก็ต้องรับผลการเห็นจันทร์เสี้ยวดั่งที่ท่านรสูลได้กระทำมันมา


แต่ปัจจุบันประเทศไทยสามารถทราบข่าวการเห็นจันทร์เสี้ยวจากเมืองหรือประเทศอื่นได้อย่างรวดเร็วง่ายดาย ทั่วถึง และถูกต้องแม้นยำ ไม่มีอุปสรรคใดๆ ที่จะรับทราบผลการมองเห็นจันทร์เสี้ยวได้อีก ทุกเมือง ทุกประเทศต่างมองหาจันทร์เสี้ยว หากประเทศมองเห็นจันทร์เสี้ยว ก็ประกาศการมองเห็นจันทร์เสี้ยวนั้น แต่หากประเทศไทยไม่มีผู้ใดเห็นจันทร์เสี้ยว ก็อย่าพึ่งสรุป หรือประกาศผลว่าไม่เห็นจันทร์เสี้ยว ต้องรอผลการเห็นจันทร์เสี้ยวของประเทศอื่นก่อนให้แน่ชัดว่าประเทศอื่นๆก็ไม่สามารถมองเห็นจันทร์เสี้ยวได้

ดังนั้น หากประเทศไทยปฏิบัติตามแบบอย่างท่านรสูล คือให้มองหาจันทร์เสี้ยวในเมืองของตน แต่หากมีการทราบข่าวการเห็นจันทร์เสี้ยวจากเมืองอื่นโดยวิธีที่ไม่เกิดความยากลำบาก เช่น มีคนจากเมืองอื่นได้เดินทางเข้ามาในเมืองมะดีนะฮฺ และบอกถึงการเห็นจันทร์เสี้ยวในเมืองอื่น ท่านรสูลก็รับมัน สำนักจุฬาราชมนตรี ก็กำหนดการมองหาจันทร์เสี้ยว หากพบเห็นจันทร์เสี้ยว ก็ประกาศผลมันออกไป แต่เนื่องด้วยประเทศปัจจุบันสามารถรับทราบผลการมองเห็นจันทร์ในต่างพื้นที่ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และแม้นยำ ไม่ก่อให้เกิดความยากลำบากแต่อย่างใด ก็อย่าพึ่งสรุปผลการมองหาจันทร์เสี้ยวจนกว่า จะทราบการหาจันทร์เสี้ยวของประเทศอื่นเสียก่อนด้วย


 والله أعلم بالصوا













ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น