ไขข้อข้องใจ เพราะเหตุใดมุสลิมจึงกล่าวคำว่า
"ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป" ไม่ได้ ?
"ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป"
ซึ่งคำว่า "ชาติ" ในที่นี้ หมายความว่า การกำเนิด ในประโยคนี้ จะมีนัยความหมายว่า ขอตามไปเป็นผู้ที่ได้รับใช้ท่านในทุกครั้งที่ท่านได้เกิดขึ้นไม่ว่าจะกี่รอบก็ตาม
แต่ทว่าในอิสลามของเรามีหลักความเชื่อในเรื่องการเกิด การเสียชีวิต ที่ชัดเจน เราเชื่อว่าเรานั้นเกิดมาเพื่อการอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และต้องเสียชีวิตลง และจะถูกฟื้นคืนชีพในวันกิยาะมะฮฺอีกครั้งหนึ่งเพื่อที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะได้สอบสวนการงานต่างๆของเราที่ได้กระทำไว้ในโลกนี้ และหลังจากนั้นจะเดินทางสู่โลกอันเป็นนิรันดร์ ซึ่งจะเป็นสวรรค์หรือนรกนั้นก็ขึ้นอยู่กับการงานที่ได้ปฏิบัติไว้ในโลกนี้
สรุปให้เข้าใจง่ายๆก็คือเราเกิดแค่ครั้งเดียวและตายเเค่ครั้งเดียว และจะถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมาในวันกิยามะฮฺ(วันสิ้นโลก)อีกครั้งหนึ่ง กล่าวคือในศาสนาอิสลามไม่ยอมรับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด มีเพียงเเค่ลักษณะที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นเท่านั้น ดังนั้นนี่คือสิ่งที่มุสลิมจะต้องศรัทธาเเละเชื่อมั่นให้เป็นไปตามนี้ทุกประการ
ซึ่งต่างกับความเชื่อของชาวพุทธอย่างสิ้นเชิง เพราะพวกเขามีความเชื่อว่า เกิดมาในโลกนี้เมื่อสิ้นอายุไขแล้วก็จะตายจากไป และจะเกิดขึ้นมาอีกในชาติต่อๆไป และตายไปอีก วนเวียนในสภาพนี้ตลอดไปไม่รู้จบ
ดังนั้นจากจุดนี้เราจึงเห็นถึงความแตกต่างทางความเชื่อของอิสลามและศาสนาพุทธในเรื่องอย่างนี้ชัดเจน และไม่มีความเหมือนหรือคล้ายคลึงกันเลย
ฉะนั้นแล้วเมื่อความเชื่อที่ผิดแปลกไปจากอิสลามก็ย่อมไม่ใช่อิสลาม จึงห้ามมิให้มุสลิมมีความเชื่อแบบนี้เป็นขาด เเละหากมุสลิมคนใดที่มีความเชื่อดังกล่าว เขาคนนั้นก็สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมอย่างไม่เป็นที่สงสัย(เพราะการศรัทธาต่อการวันกิยามะฮฺ เเละการฟื้นคืนชีพเพื่อการชั่งน้ำหนักความดีความชั่ว เป็นหลักศรัทธาพื้นฐานของมุสลิมทุกคน)
"เราเเค่พูด เเต่เราไม่ได้เชื่ออย่างนั้น" !!!
ในประเด็นที่มีพี่น้องบางท่านกล่าวว่า"เราพูดเเค่ลมปาก เเต่ในใจเราไม่ได้เชื่ออย่างที่พูด" กล่าวคือคนที่พูดประโยคดังกล่าวเขาพยายามจะสื่อว่า เขาพูดประโยคที่ว่า"ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป"ก็จริง เเต่เขาไม่ได้เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด อีกทั้งเขายังมีความเชื่อเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพอย่างถูกต้องตามหลักการศาสนาเสียด้วยซ้ำ ซึ่งจากประเด็นนี้บ่งบอกให้เห็นว่าผู้ที่มีความคิดทำนองนี้ เขาไม่เข้าใจในเรื่องขององค์ประกอบหลักของอีหม่าน(การศรัทธา)
จึงขอทำความเข้าใจในประเด็นนี้ว่า การศรัทธาของคนเรานั้นประกอบไปด้วย 3 ประการคือ
1.ศรัทธาจากหัวใจ
2.การกล่าวปฏิญาณยืนยันด้วยคำพูด
3.พฤติกรรมการเเสดงออกทางด้านร่างกาย
ซึ่งทั้ง 3 ประการดังกล่าวนี้ถูกเรียกรวมว่า"อีหม่าน" หรือการศรัทธานั่นเอง ดังนั้นคนที่จะเป็นผู้ศรัทธาต้องมีทั้งสามองค์ประกอบนี้ในตัวของเขาโดยไม่ขาดตกบกพร่องในประการหนึ่งประการใด ดังนั้นเมื่อมีครบทั้งสามประการนี้เมื่อใด เมื่อนั้นเขาถึงจะเป็นผู้ศรัทธาที่ถูกต้อง
เเละเช่นเดียวกัน การที่คนๆหนึ่งจะสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม(มุรตัด) ก็ใช้องค์ประกอบทั้งสามประการนี้เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน นั่นคือผู้ใดที่ขาดองค์ประกอบข้อหนึ่งข้อใดไป ถือว่าเขาผู้นั้นสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม ดังนั้นบางคนจึงสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมเพราะหัวใจปฏิเสธ ถึงเเม้ปากและการกระทำจะบ่งบอกว่าเป็นมุสลิมก็ตาม แต่ทว่าในเรื่องของหัวใจเป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่สามารถที่จะตัดสินได้ จึงต้องยกให้เป็นเรื่องระหว่างเขากับอัลลอฮฺ เเต่ 2 ประการที่เหลือนั้น คือคำพูดเเละการปฏิบัติ จะเป็นตัวที่บ่งชี้ถึงสถานภาพความเป็นมุสลิมได้อย่างชัดเจน จึงมีบางคนที่สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมด้วยกับคำพูด หรือบางคนสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมด้วยกับการปฏิบัติ และหลักฐานจากอัล-กุรอานที่ยืนยันว่าการกระทำกับคำพูดจะต้องสอดคล้องกันคือ
وَمِنَ النَّاسِ مَن يَقُولُ آمَنَّا بِاللَّهِ وَبِالْيَوْمِ الْآخِرِ وَمَا هُم بِمُؤْمِنِينَ
ความว่า : จะมีคนอยู่ส่วนหนึ่งที่พวกเขาจะกล่าวว่า พวกเราศรัทธาต่ออัลลอฮฺเเละเชื่อในวันอาคิเราะฮฺ หากแต่พวกเขาหาได้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ศรัทธา (อัล-บะกอเราะฮฺ : 8)
จากอายะฮฺนี้คือบุคคลที่ยืนยันเเค่ปากว่าเป็นผู้ศรัทธาเเต่มีพฤติกรรมที่เป็นการปฏิเสธศรัทธา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เป็นผู้ศรัทธา เพราะไม่มีสามองค์ประกอบอย่างครบถ้วน
ดังนั้นเมื่อเราเข้าใจประเด็นนี้อย่างเเจ่มเเจ้งเเล้ว เราจะเห็นได้ทันทีเลยว่า คำกล่าวที่ว่า "ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป" นั้นเป็นการกล่าวคำพูดที่เป็นการปฏิเสธศรัทธาอย่างชัดเจนดังที่ได้ชี้เเจงไปแล้วเมื่อตอนต้น เพราะฉะนั้นผู้ที่กล่าวประโยคนี้จึงถูกตัดสินว่าเขาผู้นั้นสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมด้วยกับคำพูด ถึงเเม้ใจของเขาจะไม่ได้เชื่อตามที่เขาพูดออกมาก็ตาม ดังที่เราทราบกันมาเเล้วว่าการที่จะเป็นผู้ศรัทธาต้องมีทั้งสามองค์ประกอบดังกล่าวอย่างสมบูรณ์โดยไม่ขาดตกบกพร่องในข้อหนึ่งข้อใดไป เเละจำเป็นสำหรับผู้ที่กล่าวประโยคดังกล่าวจะต้องเตาบะฮฺ(กลับเนื้อกลับตัว) เเละกล่าวกะลิมะฮฺชะฮาดะฮฺใหม่(กล่าวคำปฏิญาณตนใหม่)
ดังกล่าวข้างต้นนี้จึงเป็นที่เเน่ชัดเเล้วว่าไม่เป็นที่อนุญาตอย่างเด็ดขาดที่มุสลิมจะใช้ถ้อยคำนี้ในการเเสดงความเสียใจ
สุดท้ายนี้เราขอย้ำว่า เราในฐานะชาวมุสลิมเป็นประชาชนคนไทย ที่เกิดในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ต่างมีความเสียใจต่อการสูญเสียในครั้งนี้ไม่น้อยไปกว่าประชาชนที่นับถือศาสนาอื่นๆ เเต่ศาสนาของเราได้วางขอบเขตในการที่จะเเสดงออกถึงความเสียใจเอาไว้ นั่นคือจะต้องไม่มีการตีโพยตีพาย ตีอกชกตัว ทำร้ายตัวเอง เเละข้อห้ามอื่นๆในทำนองดังกล่าวนี้ เเต่เราขอเเสดงออกความเสียใจด้วยกับสิ่งที่ศาสนาอนุมัติเท่านั้น เเละการเเสดงออกที่ดีที่สุด ณ เวลานี้คือการเจริญรอยตามสิ่งดีงามทั้งหลายที่ในหลวงได้ทรงปฏิบัติไว้เป็นเเบบอย่าง อาทิเช่น การร่วมมือกันในการนำพาประเทศชาติบ้านเมืองไปสู่ความสงบสุขสันติ อันเป็นผลให้ประชาชนมีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หรืออะไรทำนองนี้ เป็นต้น
วัลลอฮุอะลัม(อัลลอฮฺทรงรู้ดีที่สุด)
""""""""""""""""""
อิสลามตามแบบฉบับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น