อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การฟื้นคืนชีพและชีวิตในจักรวาลใหม่



หลัักศรัทธาสำคัญขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่งของมุสลิมก็คือเรื่องการฟื้นคืนชีพหลังความตาย ชีวิตหลังการฟื้นคืนชีพเป็นช่วงเวลาของการขัดเกลา เป็นช่วงเวลาของการได้รับรางวัลตอบแทนหรือการลงโทษ ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพของการพัฒนาทางด้านจิตใจที่วิญญาณมนุษย์ไปถึงในตอนสิ้นสุดชีวิตในโลกนี้ นี่เป็นตัวตัดสินสถานะของเขาและระดับของการเ้าไปในจักรวาลใหม่ สำหรับวิญญาณทีี่มีความสงบกับพระผู้ทรงสร้างมันขึ้นมานั้นมีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่า "สวรรค์" (ญันนะฮฺ) ซึ่งเป็นสถานที่แห่งความสำเร็จและความพึงพอใจ แค่เพียงปรารถนาเท่านั้นก็จะได้เข้าใกล้พระผู้ทรงสร้างมากขึ้น ๆ และตลอดไป

พร้อมกันไปกับสภาพของสวรรค์ก็คือสิ่งตรงข้ามที่เรียกว่า "นรก" (ญะฮันนัม) ซึ่งเป็นสถานที่แห่งการขัดเกลาโดยการเผา เป็นหม้อเดือดสำหรับการทำให้วิญญาณสะอาดผ่องแผ้ว ในนั้น ถึงแม้จะเป็นกระบวนการอันเจ็บปวดแสนสาหัส แต่วิญญาณจะได้รับการขัดเกลาให้สะอาดหมดจดจากมลทินต่าง ๆ ที่ปิดกั้นแสงสว่างของพระผู้ทรงสร้างที่ส่องมายังวิญญาณเหล่านั้นคนบาปจะอยู่ที่นั่นเป็นเวลายาวนานต่างกันตามคำบัญชาของอัลลอฮฺ ส่วนจะได้ย้ายไปอยู่ในสวรรค์เมื่อใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระองค์อีกเช่นกัน

ระหว่างสองสภาวะดังกล่าวนี้มีสภาวถตรงกลางอยู่เป็นสภาวะของการเตรียมเข้าสวรรค์ สภาวะนี้ถูกเรียกว่า "อะอฺรอฟ" (ที่สูง) คนที่อยู่ในที่นี้จะได้รับความทุกข์ทรมานของนรก และความสงบของสวรรค์ในเวลาเดียวกัน

ชีวิตในจักรวาลใหม่จะเป็นชีวิตที่มีกิจกรรมและเต็มไปด้วยวัตถุประสงค์ แต่ละคนจะมีแผนการอันสูงส่งอยู่ต่อหน้าเขาเพื่อทำไปตามนั้นในโลกปัจจุบันของเรา เราคิดและแข่งขันกันแต่เรื่องที่จะได้รับความร่ำรวบและชื่อเสียง แต่ในโลกหน้า สิ่งที่วิญญาณถวิลหาคือการได้เข้าใกล้อัลลอฮฺ ท่านนบีมุฮัมมัดกล่าวว่า "สภาวะสูงสุดของความพึงพอใจในสวรรค์ก็คือ การได้เข้าไปในอยู่ในรัศมีของอัลลอฮฺที่เป็นปฐมสาเหตุที่แท้จริงของชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินและของทุกสิ่งที่อยู่ในนั้น" ดังนั้น ความพยายาม การดิ้นรนต่อสู้ และแรงกระตุ้นเพื่อสิ่งที่ดีกว่า จึงยังคงมีอยู่ต่อไปในตัวมนุษย์ทั้งในนรกและในสวรรค์

จุดสุดยอดของวันอวสานก็คือวันแห่งการฟื้นคืนชีพ วันแห่งการสอบสวน วันนี้จะเริ่มต้นด้วยเสียแตร (ซู้รฺ) อีกครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นสัญญาณให้คนตายลุกขึ้นจากหลุมศพซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ถูกเรียกว่า "บััรฺซัค" (โลกที่คั่นกลางระหว่างโลกนี้กับโลกหน้า) ในตอนเสียชีวิต เราได้เข้าไปอยู่ในขั้นตอนนี้ ในบัรฺซัคยังไม่มีการให้รางวัลตอบแทนหรือการลงโทษที่แท้จริง แต่เป็นช่วงของการคิดถึงสิ่งที่ทำมาในอดีตและคิดถึงโชคชะตาที่รออยู่ในอนาคต แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้วิญญาณของเรามีความสุขหรือไม่มีความสุขตามที่ตัวเองได้ทำไว้ มีการกล่าวไว้ด้วยว่าหลุมศพจะกว้างขวางและสว่างไสวสำหรับผู้ศรัทธา แต่จะคับแคบและมืดทึบสำหรับผู้ปฏิเสธพระเจ้า ผู้อยู่ในที่กว้างและสว่างไสวก็จะมีความสุข ส่วนผู้อยู่ในที่แคบและมืดทึบก็จะอยู่ในสภาพทรมาน สภาวะความเป็นอยู่เช่นนี้จะสิ้นสุดทันทีเมื่อมีการเรียกให้ฟื้นคืนชีพด้วยเสียงแตร (ซู้รฺ) ครั้งที่สองซึ่งเป็นการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นจากการระเบิดเข้าครั้งใหญ่ของจักรวาล คัมภีร์กุรอานพูดถึงเรื่องนี้ว่า : -

"ในณะที่แค่ตะโกนเพียงครั้งเดียว พวกเขาก็จะออกมาปรากฏในทุ่งโล่ง" (กุรอาน 79 : 13 - 14)

ทันทีที่ได้ยินเสียงนี้ มนุษยชาติทั้งหมดจากทุกหมู่เหล่า ทุกกาลเวลาและจากทุกแห่งในจักรวาลจะรีบพากันออกมายังสถานที่แห่งการพิพากษาครั้งสุดท้าย คัมภีร์กุรอานได้พูดถึงภาพเหตุการณ์นี้ไว้ว่า : -

"วันที่มนุษย์จะเป็นเหมือนแมลงเม่าที่กระจาย" (กุรอาน 101 : 4)

วันนี้คือการรอคอยในศาลของผู้พิพากษาที่ไม่มีใครสามารถติดสินบนได้ ผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง ผู้ทรงอำนาจสูงสุด ผู้ทรงสร้างเวลาและสถานที่และผู้ทรงเมตตายิ่ง ในตอนนั้น มนุษยช่ติจะนึกถึงชีวิตในอดีตของตนและการพิพากษาที่ตัวเองได้รับอย่างเจ็บปวด เมื่อคิดถึงความผิดที่ตัวเองทำมาก็จะรู้สึกหวาดผวาและเกิดความละอายใจ คัมภีร์กุรอานได้สะท้อนภาพการสิ้นสุดวันแห่งการพิพากษาให้เราได้เห็นดังนีั้ : -

"หัวใจบางดวงในวันนั้นจะสั่นสะท้านด้วยความกลัว พวกเาจะมองเห็นแต่สิ่งที่หวานหวั่น" (กุรอาน 79 : 8 - 9)

"และพระผู้อภิบาลของเจ้ามาพร้อมกับมลาอิกะฮฺที่เรียงรายกันเป็นแถว และนรกในวันนั้นได้ถูกนำมาให้เห็น" (กุรอาน 89 : 22-23)

"และเมื่อสวรรค์ได้ถูกนำมาใกล้ หลังจากนั้น แต่ละชีวิตจะได้รู้ว่าเขาได้นำอะไรมา" (กุรอาน 81 : 13-14)

"ดังนั้น ใครก็ตามที่ได้ทำความดีไว้แม้เพียงอณูหนึ่งก็จะได้เห็นมา และใครก็ตามที่ได้ทำความชั่วไว้แม้เพียงอณูหนึ่งก็จะได้เห้นมัน" (กุรอาน 99 : 7-8)

และหลังจากนั้น : -

"ใครที่ตาชั่งของเขาหนัก เขาก็จะอยุ่ในสภาพของความสุข และใครที่ตาชั่งของเขาเบา เขาก็จะได้อยู่ในเหวลึก และเจ้ารู้อะไรไหมว่ามันคืออะไร ? ก็ไฟที่ลุกโชตช่วงไง" (กุรอาน 101 : 6-11)

ด้วยสภาพการลงโทษอันน่าสยดสยองในนรกและการตอบแทนในสวรรค์นี้เองที่คัมภีร์กุรอานได้แนะนำมนุษย์ให้เตรียมตัวไว้เพื่อผลดีแก่ตัวเอง สำหรับชีวิตนิรันดร
ที่จะเกิดขึ้นและเข้าสู่ชีวิตใหม่ด้วยวิญญาณที่ได้รับการพัฒนาแล้ว ซึ่งจะทำให้ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ง่ายขึ้น ในการเดินทางอันยาวไกลของวิญญาณนั้น ช่วงชีวิตในโลกนี้คือช่วงเวลาการเตรียมตัวเพื่อโลกหน้าสำหรับวิญญาณ

เป็นเรื่องน่าแปลกที่ขณะเราวางแผนเพื่ออนาคตในโลกนี้ เรากลับลืมวางแผนสำหรับอนาคตหลังความตาย ในขณะที่เราพยายามทุกอย่างเพื่อสร้างความสะดวกสบายทางด้านร่างกาย แต่เรากลับลืมวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา คนที่เกิดมาทุกคนรู้ว่าความตายคือชะตากรรมสุดท้ายของตน แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ก็ให้ความสำคัญกับชีวิตชั่วคราวแห่งโลกนี้มากกว่าชีวิตถาวรในโลกหน้า ดังนั้น เราเองต่างหากที่ทรยศต่อต่อตัวเราเอง และทำในสิ่งที่ต่อต้านผลประโยชน์อันนิรันดรของเราเอง ลองคิดดูว่าถ้าเราจะเดินทางไกลออกจากบ้าน เราต้องวางแผนการเดินทางล่วงหน้า แต่เมื่อต้องเดินทางไปสู่ความเป็นนิรันดร เ รากลับไม่แยแส เป็นไปได้อย่างไร ?

เหตุผลง่าย ๆ ก็อาจเพราะว่าเราไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา แต่นั่นเป็นข้อแก้ตัวที่ยอมรับได้ไหม โดยเฉพาะในปัจจุบันเราใช้เวลา เงินทอง และความพยายามอย่างมากมายในการให้การศึกษาแก่ตัวเราเองในเรื่องโลกวัตถุ แต่เราแทบไม่ได้เผื่อเวลาไว้เลยแม้แต่เพียงเล็กน้อยเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับโลกหน้า ? หลายคนเชื่อถืออย่างจริงจังในตัวศาสตราจารย์ทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ แต่กลับสงสัยในบรรดานบีผู้ปรารถนาให้เรามีความเป็นอยู่ที่ดีและใช้เวลาทั้งชีวิตในการค้นคว้า่หาสัจธรรมอันนิรันดรแห่งชีวิตมาสอนให้เรา นี่เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับสามัญสามัญสำนึกไหม ?

พวกเขาเชื่อในกฎของการเก็บรักษาวัตถุและพลังงาน แต่เมื่อมาถึงเรื่องตัวจฃองพวกเาเอง พวกเขากลับปฏิเสธ ถ้าวัตถุมีชีวิต นั่นก็หมายความว่าอะตอมของร่างกายของเราไม่ถูกทำลาย ถ้าพลังงานเป็นสิ่งที่คงอยู้่ตลอดไปแล้วเป็นไปได้อย่างไรที่วิญญาณของเราจะสิ้นสุด

ผู้ที่ต้องการจะรู้ความจริงภายในตัวตนของเขาและผู้ศรัทธาในพระเจ้าเท่านั้นคือผู้โชคดีที่มีคัมภีร์กุรอานอันเป็นวจนะของพระเจ้าที่ยังคงอยู้ในรูปแบบเดิมเหมือนเมื่อตอนที่ถูกประทานลงมาเป็นครั้งแรกเมื่อประมาณ 1,400 ปีที่แล้ว เป็นผู้ชี้นำมาสู่หนทางนำไปสู่พระผู้ทรงสร้าง คัมภีร์ใบเบิลเป็นคัมภีร์ทางศาสนาอีกเล่มหนึ่ง แต่มันได้ถูกมนุษย์หลังสมัยนบีอีซาเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปจนไม่อาจเชื่อถือได้อีกต่อไปแล้ว

ไม่เพียงแต่คัมภีร์กุรอานเท่านั้น เรายังมีการดำเนินชีวิตของท่านนบีมุฮัมมัดเป็นแบบอย่างให้แก่เราในทุกรายละเอียดอีกด้วย คนที่ปฏิบัติตามรอยเท้าของท่านจะไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะผิด แต่บรรดาผู้ปฏิบัติตามใจของตัวเองนั้นมีโอกาสหลงผิดตลอดเวลา พวกเขาต้องการจะประดิษฐ์ล้อขึ้นมาใหม่ แต่พวกเขาไม่มีเวลาแล้ว คัมถีร์กุรอานกล่าวว่า : -

"จงรู้ไว้เถิดว่าชีวิตแห่งโลกนี้ไมใช่อะไรนอกไปจากการละเล่นและการสนุกสนานและการอวดเครื่องประดับและการโอ้อวดกันในหมู่สูเจ้าและการแ่ข่งันกันในความมั่งคั่งและลูกหลานอุปมาของมันก็เหมือนกับพืชพันธ์ุที่งอกเงยขึ้นมาหลังจากได้รับน้ำฝนสร้างความดีใจให้แก่ชาวนาชาวไร่ หลังจากนั้นมันก็นเหี่ยวเฉา แล้วสูเจ้าจะเห็นมันกลายเป็นสีเหลือง หลังจากนั้นมันก็จะกลายเป็นซากแห้ง แต่ในปรโลกนั้นมีการลงโทษอันแสนสาหัสและมีการอภัยโทษจกาอัลลอฮฺและความโปรดปรานของพระองค์ และชีวิตแห่งโลกนี้มิใช่อะไรนอกไปจากการหลอกลวง

จงแข่งขันกันไปสู่การอภัยโทษจากพระผู้อภิบาลของสูเจ้าและสวนสวรรค์ที่ความกว้างใหญ่ไพศาลของมันเหมือนกับความกว้างใหญ่ไพศาลของชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ซึ่งถูกเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาในอัลลอฮฺและในบรรดารอซูลของพระองค์ นี่คือความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่พระองค์ประทานแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺทรงเป็นเจ้าแห่งความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่" (กุรอาน 57 : 20-21)

สำหรับคำถามที่ว่าชีวิตจะเริ่มต้นขึี้นมาอีกอย่างไร คนตายจะกลับฟื้นขึ้นมามีชีวิตได้อย่างไร การฟื้นคืนชีพจะเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น คัมภีร์กุรอานได้กล่าวครั้งแล้วครั้งเล่าว่าทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกับการสร้างครั้งแรก ถ้าระเบียบปัจจุบันเกิดมาจากที่ไม่มีอะไร ทำไมการเริ่มต้นครั้งที่สองจะเกิดขึ้นไม่ได้ ? คัมภีร์กุรอานได้ให้คำตอบต่อคำถามนี้ว่า : -

"การสร้างสูเจ้าและการทำให้สูเจ้าฟื้นขึ้นมาเป็นเรื่องง่ายสำหรับพระองค์เหมือนกับการสร้างชีวิตเดียว แท้จริง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงได้ยินทุกสิ่งและทรงเห็นทุกสิ่ง" (กุรอาน 31 : 28)

มนุษย์ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพจะคิดว่าพวกเขาได้นอนหลับไปเพียงชั่วขณะได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น และพวกเขาจะถกเถียงกันด้วยความสงสัย ตัวอย่างของสิ่งนี้มีอยู่ในชีวิตทางโลกของเราเมื่อเราเหลียวมองกลับไปข้างหลังเราะจะรู้สึกว่ามันเพิ่งผ่านมาเมื่อไม่นานนี้เอง

คัมภีร์กุรอานได้ให้เราเห็นภาพการสนทนาของมนุษย์ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพดังนี้ : -

"และเมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ บรรดาผู้ทำผิดก็จะสาบานว่าพวกเขาได้อยู่เพียงชั่วยามเดียวเท่านั้น ในทำนองนี้แหละที่พวกเขาได้ถูกหลอกลวงในชีวิตโลกนี้ แต่บรรดาผู้ได้รับความรู้และความศรัทธาจะกล่าวว่า 'ตามคัมภีร์ของอัลลอฮฺ พวกท่านได้อยู่จนกระทั่งถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ดังนั้น นี่คือวันแห่งการฟื้นคืนชีพ แต่พวกท่านไม่รู้' " (กุรอาน 30 : 55-56)

วันแห่งการฟื้นคืนชีพคือวันแห่งการชุมนุมครั้งใหญ่ของมนุษย์ทั้งหมดในทุกเวลาและจากโลกทั้งหมด มันเป็นวันแห่งการพิพากษาด้วยในคัมภีร์กุรอานแทบจะไม่มีหน้าใดเลยที่ไม่เตือนมนุษย์ในเรื่องการฟื้นคืนชีพและการสอบสวนพวกเขา คัมภีร์กุอานบทที่ 77 เป็นบทที่ตักเตือนให้มนุษย์ได้เห็นภาพของวันแห่งการฟื้นคืนชีพและชีวิตหลังความตายได้ดีที่สุด



.....................................................................................................................................
(จากหนังสือ : วันอวสานและชีวิตหลังความตาย วาระสุดท้ายของจักรวาล จากมุมมองของคัมภีร์กุรอาน)
โดย : เอส. บะชีรุดดีน มะฮฺมูด
บรรจง บินกาซัน : แปล
อดทน เพื่อชัยชนะ โพส





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น