หน้าเว็บ

หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แม้จะเป็นชายมุสลิมตาบอด หากได้ยินเสียงอะซาน ก็จำเป็นต้องไปมัสยิด



รายงานจากท่านอบีฮุรอยเราะฮ์ ได้กล่าวว่า “ได้มีชายตาบอดคนหนึ่ง(คือท่านอิบนุอุมมิมักตูม) มาหาท่านรสูลุลลอฮ์ แล้วกล่าวว่า “โอ้ ท่านรสูล ความจริงข้าพเจ้าไม่มีคนจูงไปมัสยิด ข้าพเจ้าจะละหมาดที่บ้านได้หรือไม่” ท่านรสูลยอมผ่อนผันให้ให้แก่เขา แต่เมื่อเขาหันกลับไป ท่านได้เรียกเขาไว้แล้วถามว่า “ท่านได้ยินเสียงอาซานไหม?” ชายตาบอดตอบว่า “ได้ยินครับ” ท่านนบีจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านจำเป็นต้องไปมัสยิด”
(บันทึกหะดิษโดย มุสลิม และ นาซาอี)
รายงานจากอบีอัด-ดัรดาอ์ จากท่านรสูลุลลอฮ์ ได้กล่าวว่า “มีคนสามคนอยู่ในหมู่บ้าน หรือทะเลทราย โดยที่พวกเขาไม่ได้ทำละหมาดร่วมกัน นอกจากชัยฏอนมารร้ายจะเข้าครอบงำพวกเขา ดังนั้นท่านจะต้องอยู่รวมกันเป็นญามาอะฮ์ เพราะแท้จริงหมาป่ามันจะกินแกะที่แตกฝูง”
(หะดิษเศาะเฮียะฮ์ บันทึกโดยอบูดาวูด นาซาอี อะหฺมัด และฮากิม)

>>>การที่รสูลใช้ให้คนตาบอดให้ไปละหมาดญามาอะฮ์ที่มัสยิด ทั้งๆที่เขามีความยากลำบาก ย่อมแสดงว่าการละหมาดญามาอะฮ์ นั้นเป็นฟัรฎูอีน {ข้อบังคับทางศาสนาสำหรับมุสลิมทุกคนจะต้องปฏิบัติ หากใครละทิ้ง (โดยไม่มีข้อยกเว้นทางศาสนา) ถือว่ามีความผิด} ตามทัศนะของอัครสาวกบางท่านและอะหฺมัด แต่การร่วมกันไม่ใช่เป็นเงื่อนไขในความ(ใช้ได้)ของละหมาด

ในทัศนะของอิมามมาลิก และอบูฮะนิฟะฮ์ และบางส่วนของนักวิชาการอิมามชาฟีอีถือว่าเป็นสุนัตมุอักกัต {ซุนนะฮ์มุอั๊กกัต คือ ซุนนะฮ์ที่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้ปฎิบัติเป็นประจำไม่เคยละทิ้ง
นอกจากหนึ่งครั้งหรือสองครั้ง}โดยอาศัยหลักฐานจากหะดิษ(การละหมาดรวมดีกว่าละหมาดคนเดียว) หลักฐานในทำนองนี้ถือว่าเป็นคำสั่งจริงจัง(ไม่ใช่คำสั่งเด็ดขาด) เท่านั้น

ตามตัวบทที่ชัดเจนของอิมามชาฟีอีกล่าวว่าเป็นฟัรฎูกิฟายะฮ์{ข้อบังคับทางศาสนาสำหรับมุสลิมจะต้องปฏิบัติ แต่ทว่า หากมีมุสลิมคนใดทำแทน หรือมุสลิมบางกลุ่มทำแทนแล้ว มุสลิมคนอื่นๆ ถือว่าพ้นผิดไปด้วย} และเป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่อีกด้วยจากเหล่าอัครสาวก"""
والسلام

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น