อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

อิสลามในพม่า (เบอร์มาเนีย) และคาบสมุทรอินโดจีน



......................................
(เขียนโดย อ.อาลี เสือสมิง)
.....................................................................
...ในช่วงก่อนหน้าที่อิสลามจะมาถึงดินแดนแห่งนี้นั้นสถานภาพของผู้คนในแถบนี้ได้ตกต่ำลงจนถึงระดับชนชั้นของจัณฑาล ซึ่งหมายถึงพวกที่สังคมรังเกียจและเป็นวรรณะที่ต่ำสุด พวกพราหมณ์และฮินดู ก็ครอบงำและมีอำนาจเหนือชนพื้นเมืองเหล่านี้ แต่เมื่ออิสลามได้มาถึงดินแดนแห่งนี้ พร้อมกับความเอื้ออารีและความเสมอภาคมหาชนชาวเบงกอลและบีฮารก็พากันมุ่งสู่การยอมรับในศาสนาอิสลาม พวกเขาได้พบว่าในอิสลามมีความสูงส่งและการรับรู้ได้ถึงความเป็นมนุษย์

พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงยกฐานะของพวกเขาให้สูงขึ้นด้วยน้ำมือของเหล่ากษัตริย์มุสลิมในช่วงที่พวกคัลญีย์มีอำนาจและกษัตริย์กาฟูร ซึ่งเป็นอดีตข้าทาสรับใช้พวกคัลญีย์ปกครอง (ค.ศ.1290-1370) บางส่วนของอินเดียและแผ่ขยายอำนาจสู่ดินแดนแถบนี้ สถานภาพของผู้คนสูงขึ้น สภาพความเป็นอยู่ดีขึ้น และในที่สุดประชาชนพลเมืองที่ได้เข้ารับอิสลามก็เกิดความตื่นตัวในการประกอบสัมมาอาชีพ ความยากจนแร้นแค้นจึงได้บรรเทาลง

นอกจากนี้พวกเขายังได้มุ่งทำการแก้ไขปัญหาอุทกภัยด้วยการขุดคลองการชลประทาน การสร้างเขื่อน อันเป็นศาสตร์หรือวิทยาการที่พวกเขาได้ถ่ายทอดมาจากชาวอาหรับและเปอร์เซียที่เดินทางมาสู่ดินแดนของพวกเขา บ้านเมืองของพวกเขาก็เกิดความเจริญรุ่งเรือง และพลเมืองก็รู้สึกได้ถึงความผาสุกแห่งอิสลามที่มีเหนือพวกเขา

ผู้มีศรัทธาและกำลังทรัพย์จึงได้สร้างมัสยิดหลายต่อหลายแห่ง จนกลายเป็นดินแดนที่มีมัสยิดมากที่สุดในโลกก็ว่าได้ ถ้าชาวอาหรับพูดว่า กรุงไคโรคือนครแห่งพันมินาเร็ท (หออะซาน) ผู้คนในดินแดนนี้ก็จะกล่าวว่า ดักกา คือ นครแห่งสองพันมินาเร็ท ดินแดนส่วนนี้ก็คือส่วนที่แยกตัวออกจากประเทศปากีสถานและสถาปนาประเทศขึ้นใหม่ว่า บังคลาเทศ ซึ่งหมายถึง ดินแดนแห่งเบงกอล
...อ่านต่อตามเวปนี้
. คลิ๊กที่ลิ้งค์แล้วสลามในพม (เบอร and มาเน) และคาบสมทรอนโดจนี้
......................................
(ยนโดยเข.. We อสมอาลเส)
.....................................................................
... ในชวงกอนหน. าทสลามจะมาถนแดนแหงนงดนี้ได้นสถานภาพของผคนในแถบนตกตำลงจนถงระดบชนชนของจณฑาลงหมายถงพวกททาง line งคมรงเกยจและเปนวรรณะทำส.... #พวกพราหมณและฮนดครอบงำและมอำนาจเหนอชนพนเมองเหล. เท่านั้นแต่ออสลามไดมาถงดนแดนแห ดีละงนอมกบความเอออารและความเสมอภาคมหาชนชาวเบงกอลและบฮารก, พากงสการยอมรบในศาสนาอสลามพวกเขาไดพบวาในอสลามมงสงและการรบรมีความสุขได้ถ้างความเปนมนษย
พระผนเจาได and pineapple ทรงยกฐานะของพวกเขาใหงขนดวยนำมอของเหลากษตรสอบถาม and สลมในชวงทพวกคลญสอบถามตรอำนาจและกษ, and we กาฟรีนอดตขาทาสรบใชพวกค and ลญปกครอง (ค.ศ. 1290-1370) บางสวนของอนเดยและแผขยายอำนาจสนแดนแถบนละ สถานภาพของผคนสงขสภาพความเป stress and. the. line และในทดประชาชนพลเมองทเขได้ารสลามกเกบอนดความตวในการประกอบส. มมาอาชความยากจนแรนแคนจงไดบรรเทาลง
สอบถามนอกจากนพวกเขายงไดงทำการแกไขปญหาอทกภยดวยการขดคลองการชลประทานการสรางเขอนนเปนศาสตร. หรือถ้าอวทยาการทพวกเขาไดายทอดมาจากชาวอาหรบและเปอรยทนทางมาสเซเดละ, นแดนของพวกเขาานเมองของพวกเขากเกดความเจรญรงเรและพลเมองกรีองสีถ้ากไดงความผาสกแหงอสลามทเหนสอบถาม อพวกเขา
สอบถามผกี้งทรพยทธาและกำล. สร้างงไดางมสยดหลายต we อหลายแหจนกลายเปนดนแดนทสยสอบถามสีสอบถามดมากทดในโลกกว่านาไดถ้าาชาวอาหรบพดวแล้วกรงไคโรคอนครแห, งพนาเร free (หออะซาน) ผ. คนในดนแดนนจะกลาววกกา flower แล้วละ ., นครแหงสองพนาเรนแดนสวนนได้ที่ละ.. #สีวนทแยกตวออกจากประเทศปากสถานและสถาปนาประเทศขนใหม bulb.. ค่าส่งทางงคลาเทศงหมายถนแดนแหงเบงกอลละ
.... านตอตามเวปน photos. http://www.alisuasaming.com/main/index.php/writing-92/islamovercome/2479-islamovercome11

7 ขั้นตอนการปั่นป่วนในแถบอาหรับของชีอะห์ (อิหร่าน)



ด้วยแผนการอันแยบยลที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน
.
#Stepที่1 อิหร่านจับมือกับอเมริกาในการโค้นล้มชาวซุนนี่ในอีรัก เพื่อให้มีอำนาจปกครองในอีรักด้วยระบบการปกครองเเบบโคมัยนีย์,เเพร่ลัทธิชีอะห์,สร้างกองทัพในอีรัก เเล้วส่งไปที่ซีเรีย,ส่วนอเมริกาได้ผลประโยชน์ตามข้อตกลงกับอีหร่าน
.
#Stepที่2 อิหร่าน คือผู้วางเเผนให้กับรัฐบาลบัชชาร์ อัลอัซสัด ผู้นำของซีเรีย ตามคำขอของรัฐบาลชีอะห์ด้วยการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง เพื่อให้เกิดชนวนสงครามในประเทศ เเละนั้นคือช่องประตูให้กับรัฐบาลชีอะห์นำโดยบัชชาร์ อัลอัสซัด ในการเข่นฆ่าสังหารชาวซุนนีในซีเรียให้สิ้นซากจนถึงทุกวันนี้ เเละเมื่อใดบรรลุถึงเป้าหมาย จึงมีพลังเป็นสองเท่าในการที่จะครองอำนาจในเเถบอาหรับ
.
#Stepที่3 อิหร่าน คือผู้บ่งการทั้งหมดต่อเหตุการณ์ในประเทศเยเมน ด้วยการสนับสนุนกบฎชีอะห์ฮูซีย์ในเยเมน โดยอิหร่านลักลอบส่งทหารเเละงบเพื่อใช้ในการก่อกบฏต่อรัฐบาลเยเมนที่เป็นรัฐบาลซุนนี
.
#Stepที่4 เมื่ออิหร่านได้ใช้งบประมาณมหาศาล เพื่อใช้ทุกวิธิทางให้ได้นำมาการครองอำนาจในเเถบอาหรับ ทั้งใช้งบในการทำสงคราม,เเพร่ลัทธิ,เเละซื้ออาวุธเเละผลิต ทางรัฐบาลจึงมองอนาคตของประเทศ หากยังดำเนินการด้วยตนเอง ประเทศอาจจะกระทบทางเศษฐกิจ จึงมีมาตรการขอจับมือกับพันธมิตรคือรัสเซีย โดยการเสนอข้อตกลงในด้านผลประโยชน์กับรัสเซีย อิหร่านเลยต้องใช้รัสเซียมาเป็นพละกำลังในการปั่นป่วนในเเถบอาหรับ โดยเฉพาะกับซีเรียคือที่เเรก เพราะซีเรียยังไม่บรรลุผลเหมือนที่อีรัก ซึ่งอิหร่านได้ทำสำเร็จเเล้ว
.
#Stepที่5 อิหร่านมีเเผนการจะผลิกเเผ่นดินชาม เเละเเถบคอลีจ (ประเทศซีเรีย) หากเมื่อวันใด ณ ที่ซีเรีย ถ้าอิหร่านได้เป็นพ่อเเห่งประเทศซีเรียเเล้ว นับจากวันนั้นอิหร่านจะเดินหน้าด้วย Step ต่อไปก็คือ
.
#Stepที่6 คือการเเพร่ลัทธิชีอะห์อย่างรุนเเรงในประเทศเเถบคอลีจ พร้อมกับสร้างความปั่นปวนต่างๆ โดยจะสร้างเเนวร่วมที่ถือศาสนาชีอะห์ให้เป็นกลุ่มเป็นก้อนในประเทศนั้นๆ (ได้ยินว่าประเทศเเรกทีอิหร่านจะก่อคือ ประเทศบาห์เรน) เเล้วหลังจากนั้นจะก่อกบฎเเละการหนองเลือดจะเกิดขึ้น ณ บัดนั้น ถึงขั้นนั้นคือประตูให้เเก่อิหร่านที่มีอเมริกา (ยิว) เเละรัสเซียจะคอยหนุนหลังในการสร้างความวุ่นวายระเบิดมัสยิดเเละสงครามกลางเมือง ต่อจากนั้นจะเห็นโดมิโนเอฟเฟ็กอีกครั้งในเเถบคอลิจ เเละหากอิหร่านเดินหน้าประสบความสำเร็จจนได้ อิหร่านจะทำ Step สุดท้ายก็คือ
.
#Stepที่7 คือการมีอำนาจการปกครองต่อบรรดาประเทศรอบๆประเทศซาอุดีอาหรับเบีย เวลานั้นคือเป้าหมายสูงสุดของชีอะห์ (อิหร่าน) เป็นเวลาที่ต้องการบุกรุกเมืองมักกะห์ตามเป้าหมายที่วางไว้นั่นก็คือ
1- นำธงชีอะห์ปักไว้ที่ญาบัลเราะห์มะห์ (ภูเขาเราะห์มะห์)
2- ขุดหลุ่มกูโบร์ท่านหญิงอาอีชะห์ เเละกุโบรท่านอุมัร
3- ทำลายมัสยิดนบีเเล้วสร้างโบสถ์ชีอะห์ข้างกูโบร์ท่านหญิงฟาตีมะฮ์
4- ทำหลายมัสยิดฮะรอม
5- ทุบทำลายอัล-กะอฺบะห์
6- นำหินดำไปยังเมืองกูฟะห์ (อีรัก)
7- สร้างประตูเมืองบานใหญ่บนซากมัสยิดฮะรอม เพื่อเตรียมต้อนรับอีมามมะฮ์ดีย์เดินทางมาจากกัรบาลาอฺ (อีรัก)
.
Credit : Ibnu Hasan
Save Islam : รายงาน


เปรียบเทียบโลกอิสลาม 45% กับทวีปเอเซียทั้งทวีป 55%




مقارنة مساحة العالم الإسلامي بمساحة آسيا
"""""""""""""""""""""""""""
อณาเขตของโลกอิสลามที่มีมุสลิม 50 % ของประเทศจะอยู่ในพื้นที่ทั้งหมด 35,500,000 กม.กว่าๆ
ใน ขณะที่ทวีปเอเซียกินพื้นที่ทั้งหมด 43,300،000 กม.
امتداد العالم الإِسلامي وحـدوده :
يقصد بالعـالم الإسلامي مجموعـة الـدول التي تزيد فيـها نسبة المسلمين على 50 %،
ويغطي العالم الإسلامي مساحة تقدر بـ 35,500,000 كـم2 (خمسة وثلاثين مليون
وخمسمائـة ألف كيلومتر مربع)
وهي تقارب مساحة قارة آسيا التي تبلغ 300،000،43 كـم2

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559

อิสลาม สำหรับผู้ที่เข้าอยู่ยังบ้านหลังใหม่




การจัดเลี้ยงเนื้องจากเข้าอยู่บ้านหลังใหม่ หากเป็นการเนื่องจากความดีใจ การขอบคุณพระเจ้า ผู้ประทานความโปรดปราน(เนียะอฺมะฮฺ)บ้านหลังนั้นให้กับเขา และไม่มีรูปแบบตายตัว หรือพิธีกรรมใดเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือมีการดูฤกษ์ยาม หรือเลียนแบบตามความเชื่อของคนต่างศาสนิกนั้นแล้ว ก็เป็นที่อนุญาต

นอกจากการจัดเลี้ยงอาหาร ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อัลลอฮฺตะอาลา ที่ประทานความโปรดปรานให้แก่เขาผู้นั้นแล้ว ก็ยังอาจกระทำด้วยวิธีอื่นได้ เช่น การบริจาคทาน การทำให้บ้านมีบรรยากาศอิสลามด้วยการอัลกุรอาน การซิกรุลลอฮฺ และการละหมาดซุนนะฮฺ เป็นต้น

และซุนนะฮ์ยังให้อ่านดุอาอ์ เมื่อเข้าไปยังสถานที่หรือบ้านหลังใหม่

รายงานจากท่านหญิงเคาละฮ์ บินติ ฮะกีม (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา) ว่า
ฉันได้ยินท่านนบี (ศ็อลลัลลออูอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กล่าวว่า

"ผู้ใดที่เข้าอยู่ยังบ้านหลังใหม่ และได้กล่าวดุออาอ์ว่า

أَعُوْذُبِكَلِمَاتِ اﷲِالتَّامَّاتِ
مِنْ شَرِّمَاخَلَقَ

คำอ่าน : อะอูซุ บิก้าลิมาติ้ลลา ฮิตตามมาติ มินชัรริมา ค่อลักกฺ
คำแปล :  ข้าพเจ้าขอความคุ้มครองด้วยดำรัสของอัลลอฮ์อันสมบูรณ์ ให้พ้นจากความชั่วร้ายของสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างด้วยเถิด

จะไม่มีภัยอันตรายใดๆเกิดขึ้นกับเขา จนกว่าเขาจะย้ายออกจากบ้านหลังดังกล่าว"
(บันทึกโดย มุสลิม  ,หนังสือมุวัฏเฏาะอ์ของอิมามมาลิก)

--> และให้อ่านสูเราะฮ์อัลบะเกาะฮ์ในบ้าน

รายงานจากท่านอบูฮูรอยเราะฮ์ (ร่อฎียัลลอฮูอันฮุ)ว่า

ท่านนบี (ศ็อลลัลลออูอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กล่าวว่า
"ท่านทั้งหลายอย่าทำให้บ้านของพวกท่านเป็นกุโบร เพราะชัยฏอนจะไม่อยู่ในบ้านที่มีการอ่านอัลกุรอานสูเราะฮ์ อัลบะกอเราะฮ์" 
(บันทึกโดย มุสลิม)

นอกจากนี้ให้พยายามรักษาการอ่านดุอาอ์เช้า-เย็น อย่างสม่ำเสมอ


والله أعلم بالصواب



วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ดุอาอฺที่ท่านนบีมูซาขอ




ดุอาอฺที่ท่านนบี. มูซาขอ..ในขณะที่มีคำสั่งจากอัลลอฮฺให้ท่านไปช่วยชาวบนีอิสรออีล. เเละปราบกำหราบฟาโรห์. รามเสสที่. 2. ที่อ้างตัวเองเป็นพระเจ้า. ท่านนบีมูซา. ท่านพูดไม่เก่ง
จึงขอดุอาอฺขอความมั่นใจจากอัลลอฮฺ. ในการทำงานชิ้นใหญ่..!
""""
(เวลาจะเจรจาการงานดุอาอบทนี้ดีมากเพราะอัลลอฮ์ทรงตอบรับดุอาอท่านนบีมูซากับดุอาอนี้)
"""
ในซูเราะฮฏอฮา. อายะฮที่. 25-28.
رَبِّ اشْرَحْ لِي صَدْرِي ﴿٢٥﴾ وَيَسِّرْ لِي أَمْرِي ﴿٢٦﴾ وَاحْلُلْ عُقْدَةً مِّن لِّسَانِي ﴿٢٧﴾ يَفْقَهُوا قَوْلِي ﴿٢٨﴾
“ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดเปิดอกของข้าพระองค์ให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด” (25)
“และทรงโปรดทำให้การงานของข้าพระองค์ ง่ายดายแก่ข้าพระองค์ด้วย (26)
“และทรงโปรดแก้ปม จากลิ้นของข้าพระองค์ด้วย” (27)
“เพื่อให้พวกเขาเข้าใจคำพูดของข้าพระองค์” (28)
#Ameen....


อิศรา โต๊ะก่ริม



กุรอานที่ยาวที่สุดคือ





อัลบากอเราะฮ. มีถึง. 286. อายะฮ. "
ในนี้ มีดุอาอฺที่อัลลอฮสอนให้บ่าวของพระองค์ขอ. เป็นการเรียงคำพูดที่สวยงามที่สุด.
อะไรที่เราคิดว่าหนักสำหรับเรา. พระองค์ทรงรู้ว่าบ่าวของพระองค์ไหวเเค่ไหน. พระองค์ทรงรู้. ว่าความผิดพลาดย่อมมีกับมนุษย์..
เเละนี่คือ. อายะฮสุดท้ายของ.!
อัล. บากอเราะฮ..!
เเละส่วนหนึ่งในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสอนดุอาอฺ.
"โอ้.. พระเจ้าของพวกเรา..โปรดอย่าเอาโทษกับพวกเราเลย.. หากพวกเราลืม. หรือ. ผิดพลาดไป..
โอ้.. พระเจ้าของพวกเรา..!. โปรดอย่าได้บรรทุกภาระหนักใดๆ.. เเก่พวกเรา.เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบรรทุกมัน.!เเก่บรรดาผุ้ที่อยู่ก่อนหน้าเรามาเเล้ว.!.
โอ้.. พระเจ้าของเราโปรดอย่าให้พวกเราเเบกมัน.. เเละได้โปรดทรงอภัยเเก่พวกเรา. เเละยกโทษให้เเก่พวกเรา..เเละเมตตาเเก่พวกเราด้วยเถิด..". อามีน.!
Ameen.


อิศรา โต๊ะการิม

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เรื่องราวของนบีมุฮัมหมัด(ซ.ล.) กับฮะลีมะฮ์แม่นมของท่าน



ท่านเราะซูล เกิดวันจันทร์ที่ 12 เดือนรอบิอุ้ลเอาวัล ปีช้าง ตรงกับปีคริสตศักราชที่ 570 พระองค์อัลลอฮ์ ได้กำหนดให้เด็กที่เกิดใหม่นี้จะไม่ได้เห็นบิดา ซึ่งบิดาของท่านได้เสียชีวิตก่อนที่ท่านจะเกิด ขณะที่เดินทางไปทำธุระให้กับปู่ที่นครมะดีนะห์ อับดุลมุฏฏอลิบ ผู้เป็นปู่ได้ให้การช่วยเหลืออามีนะฮ์ มารดาและทารกที่เกิดใหม่เป็นอย่างดี อับดุลมุฏฏอลิบได้ให้การต้อนรับด้วยความยินดีและตั้งชื่อว่า “มุฮัมหมัด”

การให้นม แก่นบีมุฮัมหมัด เป็นธรรมเนียมของชาวอาหรับที่จะส่งเด็กเกิดใหม่ให้ได้รับการเลี้ยงดูตามชนบท เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ อากาศที่บริสุทธิ์และอาหารที่ดี และจะทำให้เด็กมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญในการดำเนินชีวิตของชาวอาหรับ ที่เต็มไปด้วยการต่อสู้อันเป็นสัญลักษณ์ของชนชาติอาหรับ และพบว่าในทุกๆปีจะมีแม่นมจากชนบทเดินทางเข้าไปในเมืองเพื่อรับจ้างเลี้ยงทารกที่เกิดใหม่ เพื่อที่จะได้รับค่าตอบแทน

ในปีที่ท่านนะบี เกิด ได้มีแม่นมจำนวนหนึ่งไปรับจ้างเลี้ยงเด็ก แต่เมื่อถูกเสนอให้รับเลี้ยงมุฮัมมัด พวกนางเหล่านั้นต่างปฏิเสธ เนื่องจากการกำพร้าพ่อ ดังที่ฮาลีมะฮ์ซะอฺดียะห์ ได้กล่าวไว้ว่า "มารดาหรือลุงหรือปู่ของเด็กคงจะให้อะไรเราไม่ได้มาก" และฮาลีมะฮ์ซะอฺดียะห์เป็นแม่นมที่ไปถึงช้ากว่าใคร เพราะพาหนะที่นางขี่ไปนั้นผอมอ่อนแอ จึงทำให้เดินได้ช้า เมื่อนางไปถึงในเมืองก็พบว่าแม่นมต่างๆเลือกรับทารกที่เกิดใหม่ไปหมด เหลือแต่เพียงมุฮัมมัดเท่านั้นที่ไม่มีใครรับไปเลี้ยง ในตอนแรกนางไม่ต้องการเลี้ยงดูมุฮัมมัด แต่เมื่อนางได้ปรึกษากับสามีแล้ว นางจึงบอกกับสามีว่านางไม่ต้องการจะกลับไปแบบมือเปล่าไม่มีเด็กกลับไปเลี้ยง นางจึงสาบานต่ออัลลอฮ์ ว่าต้องรับเอามุฮัมมัดไปเลี้ยง ทันทีที่นางให้นมมุฮัมมัดดูด ความประเสริฐได้ปรากฏขึ้นกับฮาลีมะฮ์ นางมีน้ำนมอย่างมากมาย จากที่เคยแห้งหรือเกือบจะแห้ง เช่นเดียวกับแพะของนางที่รังนมของมันแห้งเพราะความผอม ก็กลับมีน้ำนมอย่างมากมาย จึงทำให้นางและสามีได้ดื่มน้ำนมแพะและนอนหลับอย่างสบายในคืนนั้น สามีของนางจึงเข้าใจทันที่ว่าทารกน้อยคนนี้คงมิใช่ทารกธรรมดาแน่ จึงได้กล่าวแก่ภรรยาของเขาว่า “ฮาลีมะฮ์ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ว่า เราได้รับเด็กที่มีความประเสริฐไว้เลี้ยงดูแล้ว” เช่นเดียวกันพาหนะของนางที่ซูบผอมอ่อนแอ กลับแข็งแรงขึ้นสามารถเดินนำหน้าบรรดาแม่นมคนอื่นๆ จนสร้างความประหลาดใจให้กับพวกนางเหล่านั้นอย่างมาก ทำให้พวกนางถามขึ้นว่า "ฮะลีมะฮ์เกิดอะไรขึ้นกับพาหนะของเธอ ?" นางตอบว่า " ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ว่า ฉันได้เด็กที่มีศิริมงคลขี่บนหลังของมัน"

ความเป็นศิริมงคลของมุฮัมมัด ได้เกิดขึ้นกับครอบครัวของฮาลีมะฮ์อย่างต่อเนื่อง เมื่อนางกลับถึงบ้าน หมู่บ้านของเธอในปีนั้นเป็นปีที่มีความแห้งแล้ง ฝูงแกะฝูงแพะที่ออกไปหาหญ้ากินอย่างหิวโหย ก็ต้องกลับมาอย่างหิวโหย เพราะทุ่งหญ้ามีน้อยมาก แต่ว่าแกะของฮาลีมะฮ์ออกไปอย่าหิวโหยแต่กลับมาอย่างอิ่มหนำ

และสามารถให้น้ำนมอย่างมากมาย โดยธรรมเนียมเมื่อครบ 2 ปี แม่นมจะนำเด็กที่รับมาเลี้ยง ไปส่งคืนให้แก่มารดาของเขา แต่ฮาลีมะฮ์และสามีของนางได้นำมุฮัมมัดไปหามารดาของเขามิใช่เพื่อไปส่งคืนให้ แต่ต้องการที่จะไปขอร้องให้อนุญาตเลี้ยงดูมุฮัมมัดต่อไป เพื่อที่เขาทั้งสองจะได้รับความเป็นศิริมงคลจากมุฮัมมัด อามินะฮ์มารดาของท่านก็ไม่ขัดข้องที่ทั้งสองจะรับเลี้ยงดูมุฮัมมัดต่อไป


 บทความโดย ดร.อัดุลลอฮฺ อิบนุ อับดิรเราะฮ์มาน อัลค็อรอาน


ท่านจงกลัวดุอาอฺของผู้ที่ถูกอธรรม


อินนาลิลลา วะอินนาอิลัยรอญิอูน - ข่าวในหน้าฟีตของผมตอนนี้ เป็นข่าวการโจมตีโรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองฮาส จังหวัดอิดลิบ ซีเรีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตในขณะนี้ 20 ราย ล้วนเป็นเด็กตัวเล็กๆ นั่งดูแต่ล่ะรูป แต่ล่ะคลิปของเหตุการณ์ ทำไมมนุษย์ถึงได้โหดร้ายขนาดนี้ เด็กบางคนเสียชีวิตในขณะที่มือยังคงจับกระเป๋านักเรียนอยู่ในมือ...อัสตัฆฟิรุลลอฮฺ
.
ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า :

اتَّقِ دَعْوَةَ الْمَظْلُومِ ، فَإِنَّهَا لَيْسَ بَيْنَهَا وَبَيْنَ اللَّهِ حِجَابٌ
“ท่านจงกลัวดุอาอฺของผู้ที่ถูกอธรรม เพราะแท้จริงไม่มีม่านกั้นระหว่างดุอาอฺของเขากับอัลลอฮฺ”
(รายงานโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม)
.
คลิปหลังเหตุโจมตีโรงเรียนในอิดลิบ :

https://goo.gl/M0ngQE

แหล่งอ้างอิงของข่าว :
https://goo.gl/sqPlqE






วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

จงนอบน้อมและชูโกร



คนรวยมองออกไปทางหน้าต่าง
เห็นคนยากจนหยิบของกินจาก
ถังขยะ อัลฮัมดุลิลลาฮ์ที่ฉัน
ไม่เป็นคนยากจน

คนยากจนมองไปรอบๆเหน
คนบ้าใส่เสื้อผ้าไม่ครบชิ้น
นั่งริมทาง อัลฮัมดุลิลลาฮ์
ฉันไม่เป็นคนบ้า

คนบ้ามองไปข้างหน้าเห็นรถ
พยาบาลพาคนเจ็บป่วยด้วย
รีบเร่ง อัลฮัมดุลิลลาฮ์ฉันไม่
เจ็บไข้ได้ป่วย

หลังจากนั้นคนป่วยที่โรงพยาบาล
เห็น จนท.เข็นศพไปห้องดับจิต
อัลฮัมดุลิลลาฮ์ ฉันยังไม่ตาย

เฉพาะคนตายเท่านั้นที่ขอบคุณ
ตูฮันไม่ได้ ทำไมเราไม่ชูโกรที่
พระองค์ยังให้โอกาสกับเราที่
ยังมีชีวิตในขณะนี้

เพื่อให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น
เราควรไป 3 สถานที่

1.โรงพยาบาล เราจะเข้าใจว่า
ไม่มีอะไรมีค่าไปมากกว่าสุขภาพ
ร่างกายดี ไม่มีโรคภัย

2.คุก เราจะเข้าใจว่าการเป็นอิสระ
มีค่ามากๆสำหรับชีวิตเรา

3.กุโบร์(สุสาน) เราจะเข้าใจว่า
ชีวิตในแต่ละวันไม่มีคุณค่าใดๆ
แก่นแท้ชีวิตวันนี้คือต้นทุน
ชีวิตวันพรุ่งนี้(หลังจากตาย)

ดังนั้นจงนอบน้อมและชูโกร
กับทุกสิ่งทุกอย่างเถิด

cr.เพจอุสตาซอัซเฮาร์อิดรุส


รวมบทดุอาจากซุนนะห์ของท่านนบีที่ใช้กล่าวในวาระต่างๆ




اللَّهُمَّ آتِني الحِكْمَةَ الَّتي مَنْ أُوتِيهَا فَقَدْ أُوتِيَ خَيْرًا كَثِيرًا.

อัลลอฮุมม่า อาตินิ้ล ฮิกมะตั้ล ละตีย์ มัน อูตียะฮา ฟะก็อด อูตีย่า ค็อยร็อน กะษีรอ

โอ้อัลลอห์ ได้โปรดประทานการใช้สติปัญญาอันเฉียบแหลมให้แก่ฉัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใดก็ตามที่ได้รับมัน แน่แท้ เขาคือผู้ที่ได้รับความดีงามอย่างมากมาย



((اللَّهُمَّ ثَبِّتْنِي بِالْقَوْلِ الثَّابِتِ فِي الْحَيَاةِ الدُّنْيَا وَفِي الْآخِرَةِ)).

อัลลอฮุมม่า ซับบิตนีย์ บิ้ลเกาลิซซาบิต ฟิ้ล หะยาติ๊ดดุนยา วะ ฟิ้ล อาคิเราะห์

โอ้อัลลอห์ ได้โปรดประทานให้ฉันเป็นผู้ที่ยืนหยัดอยู่ในถ้อยคำอันมั่นคง (การยึดมั่นในอิสลาม) ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าด้วยเถิด




اللَّهُمَ حَبَّبْ إِلَيْنَا الْإِيمَانَ وَزَيِّنْهُ فِي قُلُوبِنَا، وَكَرِّهْ إِلَيْنَا الْكُفْرَ وَالْفُسُوقَ وَالْعِصْيَانَ، وَاجْعَلْنَا مِنَ الرَّاشِدِينَ .

อัลลอฮุมม่า ฮับบิ๊บ อิลัยนั้ล อีมาน วะ ซัยยินหุ ฟี กุลูบินา วะ กัรริห์ อิลัยนั้ล กุฟร์ วั้ล ฟุซูก วั้ล อิศยาน วัจอั้ลนา มินัรรอชิดีน

โอ้อัลลอห์ ได้โปรดทำให้เรามีความรักต่อการศรัทธาอีมาน และโปรดจรรโลงมันเข้าไปในหัวใจของเรา และได้โปรดทำให้เรารังเกียจการปฏิเสธศรัทธา , การทำความชั่ว , การทำสิ่งที่ฝ่าฝืน และได้โปรดดลบันดาลให้เราเป็นผู้หนึ่งที่ มีความรู้อันยังประโยชน์ และกระทำความดีงาม




اللَّهُمَّ قِنِي شُحَّ نَفْسِي وَاجْعَلْنِي مِنَ الْمُفْلِحِينَ

อัลลอฮุมม่า กินี ชั๊วะหะ นัฟซี วัจอั้ลนี มินั้ล มุฟลิฮีน

โอ้อัลลอห์ได้โปรดปกป้องฉันให้พ้นจากความตระหนี่และความเห็นแก่ตัวของฉัน และได้โปรดดลบันดาลให้ฉันเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับชัยชนะ



ربنا آتنا في الدنيا حسنة،وفي الآخرة حسنة وقنا عذاب النار

ร็อบบะนา อาตินา ฟิดดุนยา ฮะซะนะห์ วะฟิ้ลอาคิเราะห์ ฮะซะนะห์ วะกินาอะซาบันนาร

โอ้พระผู้อภิบาลของเรา ได้โปรดประทานความดีงามทั้งมวลให้แก่เราในโลกนี้ และในโลกหน้า และได้โปรดปกป้องเราทั้งหลายให้พ้นจากการลงโทษในขุมนรก




اللَّهُمَّ إِنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنْ فِتْنَةِ النَّارِ وَعَذَابِ النَّارِ، وَفِتْنَةِ الْقَبْرِ، وَعَذَابِ الْقَبْرِ، وَشَرِّ فِتْنَةِ الْغِنَى، وَشَرِّ فِتْنَةِ الْفَقْرِ، اللَّهُمَّ إِنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنْ شَرِّ فِتْنَةِ الْمَسِيحِ الدَّجَّالِ، اللَّهُمَّ اغْسِلْ قَلْبِي بِمَاءِ الثَّلْجِ وَالْبَرَدِ، وَنَقِّ قَلْبِي مِنْ الْخَطَايَا كَمَا نَقَّيْتَ الثَّوْبَ الْأَبْيَضَ مِنْ الدَّنَسِ، وَبَاعِدْ بَيْنِي وَبَيْنَ خَطَايَايَ كَمَا بَاعَدْتَ بَيْنَ الْمَشْرِقِ وَالْمَغْرِبِ. اللَّهُمَّ إِنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنْ الْكَسَلِ وَالْمَأْثَمِ وَالْمَغْرَمِ


อัลลอฮุมม่า อินนี อะอูซุบิก้า มิน ฟิตนะตินนาร วะ ฟิตนะติ้ลกอบร์ วะ ชัรริ ฟิตนะติ้ลฆินา วะ ชัรริ ฟิตนะติ้ลฟักริ อัลลอฮุมม่า อินนี อะอูซุ บิก้า มิน ชัรริ ฟิตนะติ้ลมะซีฮิดดัจญาล อัลลอฮุมมัฆซิล ก็อลบี บิมาอิษษัลญิ วั้ลบะร็อด วะ นักกิ ก็อลบี มินั้ลค่อตอยา กะมา นักก็อยตัษเษาบัลอับยัด มินนัดดะนัซ วะ บาอิด บัยนี วะ บัยน่า คอตอยาย่า กะมา บาอัดต้า บัยนัลมัชริก วัลมัฆริบ อัลลอฮุมม่า อินนี อะอูซุ บิก้า มินั้ลกะซัล วัลมะอฺซัม วัล มัฆร็อม

โอ้อัลลอห์ แท้จริงฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากความโกลาหลในหลุมศพ และ ความชั่วร้ายที่มาจากความร่ำรวย และ ความชั่วร้ายที่มาจากความยากจน โอ้อัลลอห์ แท้จริงฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากความเลวร้ายของดัจญาล โอ้อัลลอห์ได้โปรดชำระล้างจิตใจของฉันให้บริสุทธิ์ และได้โปรดปกป้องหัวใจของฉันให้ออกจากความผิดบาปทั้งหลาย ดังที่ พระองค์ได้ทรงปกป้องผ้าขาวให้สะอาด บริสุทธิ์จากคราบสกปรก และได้โปรดประทานให้ฉันห่างไกลจากความผิดบาป ดังที่ พระองค์ได้ทรงทำให้ทิศตะวันออกห่างไกลจากทิศตะวันตก โอ้อัลลอห์ แท้จริงฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากความเกียจคร้าน ,การทำบาปและการมีหนี้สิน




اللَّهُمَّ إِنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنَ الْعَجْزِ، وَالْكَسَلِ، وَالْجُبْنِ، وَالْهَرَمِ، والْبُخْلِ، وَأَعُوذُ بِكَ مِنْ عَذَابِ الْقَبْرِ، وَمِنْ فِتْنَةِ الْمَحْيَا وَالْمَمَاتِ

อัลลอฮุมม่า อินนี อะอูซุ บิก้า มินั้ลอัจซิ วั้ลกะซัล วั้ล ญุบนิ วั้ล หะร็อม วั้ล บุคลิ วะ อะอูซุ บิก้า มิน อะซาบิลก็อบร์ วะ ฟิตนะติ้ลมะห์ยา วั้ล มะมาต

โอ้อัลลอห์ แท้จริงฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากการไร้ความสามารถ , ความเกียจคร้าน , ความขลาดกลัว , โรคหลงลืมจากความชรา , ความตระหนี่ถี่เหนียว และเห็นแก่ตัว โอ้อัลลอห์ ฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้รอดพ้นจากการลงโทษในหลุมศพ และความวุ่นวายในการมีชีวิต และความตาย



اللهمَّ إنِّي أعُوذُ بِكَ مِنْ جَهْدِ الْبَلَاءِ، وَدَرَكِ الشَّقَاءِ، وَسُوءِ الْقَضَاءِ، وَشَمَاتَةِ الْأَعْدَاءِ

อัลลอฮุมม่า อินนี อะอูซุ บิก้า มิน ญะห์ดิ้ลบะลาอฺ วะ ดะร่อกิชชะกออฺ วะ ซูอิ้ลกอฎอ วะ ชะมาตะติ้ลอะอ์ดาอฺ

โอ้อัลลอห์ แท้จริงฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากการการทดสอบ และภัยพิบัติอันหนักหน่วง และ ความทุกข์ยากอันแสนสาหัส และ ชะตาชีวิตอันเลวร้าย และ การแตกพ่ายต่อบรรดาศัตรู





اللَّهُمَّ أَصْلِحْ لِي دِينِي الَّذِي هُوَ عِصْمَةُ أَمْرِي، وَأَصْلِحْ لِي دُنْيَايَ الَّتِي فِيهَا مَعَاشِي، وَأَصْلِحْ لِي آخِرَتِي الَّتِي فِيهَا مَعَادِي، وَاجْعَلِ الْحَيَاةَ زِيَادَةً لِي فِي كُلِّ خَيْرٍ، وَاجْعَلِ الْمَوْتَ رَاحَةً لِي مِنْ كُلِّ شَرٍّ

อัลลอฮุมมัศเลียะห์ลี ดีนิลละซี ฮุว่า อิศมะตุอัมรี วะ อัศเลียะห์ลี ดุนยายัลละตี ฟีฮา มะอาชี วะ อัศเลียะห์ลี อาคิเราะติ้ลละตี ฟีฮา มะอาดี วัจอะลิ้ลหะยาต้า ซิยาดะตั้ลลี ฟี กุลลิ ค็อยริน วัจอะลิ้ลเมาต้า รอหะตั้ลลี มิน กุลลิ ชัร

โอ้อัลลอห์ ได้โปรดขัดเกลาฉันให้ตั้งมั่นอยู่ในศาสนาของฉัน อันเป็นสิ่งที่ปกป้องคุ้มครองกิจการงานทั้งหมดของฉันให้ปลอดภัย และ ได้โปรดขัดเกลาชีวิตในโลกนี้ของฉันอันเป็นโลกที่ฉันพักพิงอยู่ให้ดีงาม และได้โปรดขัดเกลาชีวิตในโลกหน้าของฉันอันเป็นบั้นปลายที่แท้จริงของฉันให้ดีงาม และได้โปรดดลบันดาลให้การมีชีวิตของฉัน เป็นการเพิ่มพูนความดีงามทั้งมวล และได้โปรดดลบันดาลให้ความตายของฉัน เป็นการหยุดพัก ออกจากความชั่วร้ายทั้งมวล




اللَّهُمَّ إِنِّي أَسْأَلُكَ الْهُدَى، وَالتُّقَى، وَالْعَفَافَ، وَالْغِنَى

อัลลอฮุมม่า อินนี อัซอะลุกัลหุดา วัตตุกอ วัลอะฟาฟ วัลฆินา

โอ้อัลลอห์ ฉันวิงวอนขอต่อพระองค์ให้ทรงประทานทางนำอันถูกต้อง และ ความยำเกรงต่อพระองค์ และ ความเรียบง่าย และ ความพอเพียง ให้แก่ฉัน




اللَّهُمَّ إِنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنَ الْعَجْزِ، وَالْكَسَلِ، وَالْجُبْنِ، وَالْبُخْلِ، وَالْهَرَمِ، وَعَذَابِ الْقَبْرِ، اللَّهُمَّ آتِ نَفْسِي تَقْوَاهَا، وَزَكِّهَا أَنْتَ خَيْرُ مَنْ زَكَّاهَا، أَنْتَ وَلِيُّهَا وَمَوْلَاهَا، اللَّهُمَّ إِنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنْ عِلْمٍ لَا يَنْفَعُ، وَمِنْ قَلْبٍ لَا يَخْشَعُ، وَمِنْ نَفْسٍ لَا تَشْبَعُ، وَمِنْ دَعْوَةٍ لَا يُسْتَجَابُ لَهَا

อัลลอฮุมม่า อินนี อะอูซุ บิก้า มินัลอัจซิ วัลกะซัล วัลญุบนิ วัลบุคลิ วัลหะร็อม วะ อะซาบิลก็อบริ อัลลอฮุมม่า อาติ นัฟซี ตักวาฮา วะ ซักกิฮา อันต้า ค็อยรุ มัน ซักกาฮา อันต้า วะลียุฮา วะ เมาลาฮา อัลลอฮุมม่า อินนี อะอูซุ บิก้า มิน อิลมิน ลา ยันฟะอฺ วะ มิน ก็อลบิน ลา ยัคชะอ์ วะ มิน นัฟซิน ลา ยัชบะอ์ วะ มิน ดะอฺวะติน ลา ยุซตะญาบุ ละฮา

โอ้อัลลอห์ แท้จริง ฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากการไร้ความสามารถ , ความเกียจคร้าน , ความขลาดกลัว , โรคหลงลืมจากความชรา , ความตระหนี่ถี่เหนียว และเห็นแก่ตัว โอ้อัลลอห์ ได้โปรดประทานความยำเกรงต่อพระองค์ให้แก่ชีวิตของฉัน และได้โปรดขัดเกลาฉันให้สะอาดบริสุทธิ์ เพราะแท้จริง พระองค์คือผู้ทรงขัดเกลาที่ดีเลิศ พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือและผู้ทรงปกครองชีวิตของฉัน โอ้อัลลอห์ แท้จริง ฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจาก ความรู้ที่ไม่มีประโยชน์ และ หัวใจที่ไม่ยำเกรง และ จิตใจที่ไม่เคยพอเพียง และ การวิงวอน(ดุอา)ที่ไม่ถูกตอบรับ





اللَّهُمَّ اهْدِنِي وَسَدِّدْنِي، اللَّهُمَّ إِنِّي أَسْأَلُكَ الْهُدَى وَالسَّدَادَ


อัลลอฮุมมะห์ดินี วะ ซัดดิ๊ดนี อัลลอฮุมม่า อินนี อัซอะลุกัลหุดา วัซซะดาด

โอ้อัลลอห์ ได้โปรดนำทางอันถูกต้องให้แก่ฉัน โอ้อัลลอห์ แท้จริง ฉันวิงวอนขอทางนำอันถูกต้องจากพระองค์





اللَّهُمَّ إِنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنْ زَوَالِ نِعْمَتِكَ، وَتَحَوُّلِ عَافِيَتِكَ، وَفُجَاءَةِ نِقْمَتِكَ، وَجَمِيعِ سَخَطِكَ

อัลลอฮุมม่า อินนี อะอูซุ บิก้า มิน ซะวาลิ เนียะมะติก วะ ตะเฮาวุลิ อาฟิยะติก วะ ฟุญาอะติ นิกมะติก วะ ญะมีอิ ซะค่อติก

โอ้อัลลอห์ แท้จริง ฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากการสูญเสีย ความโปรดปรานของพระองค์ และ การสูญเสียความสุขที่ได้รับจากพระองค์ และ การลงโทษอันฉับพลันของพระองค์ และความโกรธกริ้วทั้งหมดของพระองค์




اللَّهُمَّ إِنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنْ شَرِّ مَا عَمِلْتُ، وَمِنْ شَرِّ مَا لَمْ أَعْمَلْ

อัลลอฮุมม่า อินนี อะอูซุ บิก้า มิน ชัรริ มา อะมิลตู้ วะ มิน ชัรริ มา ลัม อะอ์มัล

โอ้อัลลอห์ แท้จริง ฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจาก ความชั่วร้ายในสิ่งที่ฉันได้กระทำ และ ในสิ่งที่ฉันยังไม่ได้กระทำ





اللَّهُمَّ أكْثِرْ مَالِي، وَوَلَدِي، وَبَارِكْ لِي فِيمَا أعْطَيْتَنِي وَأطِلْ حَيَاتِي عَلَى طَاعَتِكَ، وَأحْسِنْ عَمَلِي وَاغْفِرْ لِي

อัลลอฮุมม่า อักษิรฺ มาลี วะ วะละดี วะ บาริก ลี ฟีมา อะอฺต็อยตะนี วะ อะติ้ล หะยาตี อะลา ตออะติก วะ อะห์ซิน อะมะลี วัฆฟิรลี
โอ้อัลลอห์ ได้โปรดประทานทรัพย์สินและลูกหลานอันมากมายให้แก่ฉัน และโปรดประทานความจำเริญและความดีงามในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานให้แก่ฉัน และโปรดให้ฉันมีอายุที่ยืนยาวเพื่อการเคารพภักดีต่อพระองค์ และโปรดขัดเกลาการงานทั้งหมดของฉันให้ดีงาม และได้โปรดอภัยโทษให้แก่ฉันด้วยเถิด


แล้วจะมาลงเพิ่มให้อีกเรื่อยๆนะค้าบบบ อินชาอัลลอห์ ไม่ต้องการสิ่งอื่นใด นอกจากดุอาที่ดีจากผู้อ่านคับป๋ม ใครอยากนำไปแชร์แบ่งปั

จงมองขึ้นชั้นฟ้า และอย่ามองลงดิน



نَحْنُ لَا نَمْلِكُ تَغْیِیْرَ الْمَاضِي

เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้
وَ لَا رَسْمَ الْمُسْتَقْبَلِ

และก็ไม่สามารถขีดเส้นอนาคตได้
فَلِمَاذَا نَقْتُلُ أَنْفُسَنَا حَسْرَةً

แล้วทำไมเราฆ่าตัวเราเองด้วยความผิดหวัง
عَلَى شَيْءٍ لَا نَسْتَطِیْعُ تَغْیِیْرَهُ؟

บนสิ่งที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
اَلْحَیَاةُ قَصِیْرَةٌ، وَأَهْدَافُهَا كَثِيْرَةٌ

ชีวิตนี้สั้นนัก ขณะเดียวกันเป้าหมายมันนั้นมากมาย
فَانْظُرْ إِلَى السَّحَابِ
وَلَا تَنْظُرْ إِلَى التُّرَاب..
จงมองขึ้นชั้นฟ้า และอย่ามองลงดิน
إِذَا ضَاقَتْ بِكَ الدُّرُوْبُ
فَعَلَیْكَ بِعَلَّامِ الْغُیُوْبِ
وَقُلِ الْحَمْدُ للهِ عَلَى كُلِّ شَيْءٍ

ถ้ารู้สึกว่าหนทางคับแคบ จงหวนคืนสู่อัลลอฮฺที่รอบรู้ถึงสิ่งเร้นลับ
และจงกล่าว อัลหัมดุลิลละต่อทุกอย่าง
سَفِيْنَةُ (تَايْتَنِكْ) بَنَاهَا مِئَاتُ الْأَشْخَاصِ

เรือไททานิคถูกสร้างโดยคนนับร้อย
وَسَفِيْنَةُ ( نُوْحٍ ) بَنَاهَا شَخْصٌ وَاحِدٌ

ในขณะที่เรือนบีนุฮฺถูกสร้างขึ้นแค่คนๆเดียว


اَلْأُوْلَى غَرِقَتْ، وَالثَّانِيَةُ حَمَلَتْ اَلْبَشَرِيَّةَ
แต่ ไททานิคจมน้ำ ส่วนเรือนบีนุฮฺสร้างความปลอดภัยแก่มนุษย์ชาติ

اَلتَّوْفِيْقُ مِنَ اللهِ سُبْحَانَهُ وَتَعَالَى

เตาฟีก มาจากอัลลอฮฺเท่านั้น
نَحْنُ لَسْنَا السُّكَّانَ الْأَصْلِيِّيْنَ
لِهَذَا الْكَوْكَبِ الْأَرْضِ !!
بَلْ نَحْنُ نَنْتَمِيْ إِلَى ( الْجَنَّةِ )

เราไม่ใช่ชาวโลกเดิมๆในดาวดิน เดิมๆเราคือชาวสวรรค์
حَيْثُ كَانَ أَبُوْنَا آدَمُ
يَسْكُنُ فِي الْبِدَايَةِ
لَكِنَّنَا نَزَلْنَا هُنَا مُؤَقَّتًا
لِكَيْ نُؤَدِّيَ اخْتِبَارُا قَصِيْرًا
ثُمَّ نَرْجِعُ بِسُرْعَةٍ ..

สถานที่ ที่พ่อเรา อาดัม อาศัยอยู่ในครั้งแรก
เราอาศัยที่นี่แค่ชั่วคราวเท่านั้น
เพื่อทำข้อสอบสั้นๆ แล้วก็รีบกลับ


فَحَاوِلْ أَنْ تَعْمَلَ مَا بِوُسْعِكَ
لِتَلْحَقَ بِقَافِلَةِ الصَّالِحِيْنَ
الَّتِيْ سَتَعُوْدُ إِلَى وَطَنِنَا الْجَمِيْلِ الْوَاسِعِ
وَلَا تُضَيِّعْ وَقْتَكَ فِيْ هَذَا الْكَوْكَبِ الصَّغِيْرِ

ดังนั้นจงพยายามเท่าที่ท่านจะทำได้
เพื่อให้ได้อยู่กับกอฟีละห์เหล่าคนดี ที่จะกลับสู่ประเทศที่งดงามกว้างขวาง
อย่าได้ปล่อยปะละเลยเวลาของท่านในดวงดาวเล็กใบนี้
اَلْفِرَاقُ: لَيْسَ السَّفَرَ، وَلَا فِرَاقَ الْحُبِّ، حَتَّى الْمَوْتِ لَيْسَ فِرَاقًا
سَنَجْتَمِعُ فِي الْآخِرَةِ
اَلْفِرَاقُ هُوَ: أَنْ يَكُوْنَ أَحَدُنَا فِي الْجَنَّةِ،
وَالْآخَرُ فِي النَّارِ
جَعَلَنِيَ رَبِّيْ وَإِيَّاكُمْ مِنْ سُكَّانِ جَنَّتِهِ..

การจากกันนั้น ไม่ใช่การเดินทางอันยาวไกล
หรือเพราะถูกคนรักทอดทิ้ง
มิหนำซ้ำ ความตายก็ไม่ใช่การจากกัน สาเหตุเพราะเราจะรวมตัวกันอีกในวันอาคีเราะ
การจากกันที่แท้จริงคือ เมื่อคนใดคนหนึ่งจากพวกเราอยู่ในสวรรค์ และอีกคนอยู่ในนรก
ขอดุอาจากอัลลอฮฺโปรดทำให้เราเป็นคนหนึ่งจากชาวสวรรค์


وَالْحَيَاةُ مَا هِيَ إِلَّا قِصَّةٌ قَصِيْرَةٌ !!
( مِنْ تُرَابٍ .  تُرَابٌ . إِلَى تُرَابٍ )
( ثُمَّ حِسَابٌ . فَثَوَابٌ . أَوْ عِقَابٌ  )

ชีวิตนี้คือเรื่องเล่าแสนสั้น จากดิน บนดิน และหวนคืนสู่ดิน
แล้วสอบสวน (ที่ผลลัพธ์มีแค่สองความเป็นไปได้) ผลบุญ หรือบทลงโทษ
فَعِشْ حَيَاتَكَ للهِ - تَكُنْ أَسْعَدَ خَلْقِ ﷲ
اَللَّهُمَّ لَكَ الْحَمْدُ كَمَا يَنْبَغِيْ لِجَلَالِ وَجْهِكَ وَعَظِيْمِ سُلْطَانِكَ

ดังนั้น จงมีชีวิตเพื่ออัลลอฮฺ แล้วท่านจะเป็นมัคลูคที่มีความสุขที่สุด
โอ้อัลลอฮฺ สำหรับพระองค์การสรรเสริญทั้งมวลที่เหมาะสมแก่ความสูงส่งของใบหน้าของพระองค์ และความยิ่งใหญ่ของอำนาจของพระองค์

หิกมะฮฺอันงดงาม จาก ดร.อาฮิฎ อัลกอรนี
Sulaiman HU Rodnuan ถอดความ


วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับความตาย



เมื่อชีวิตของมนุษย์นั้น

นับกันด้วยนาทีและวินาที

ที่จะกลายเป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นสัปดาห์

เป็นเดือนและเป็นปี

และพวกเราก็ไม่มีใครรู้ว่า

กำหนดความตายของตน จะสิ้นสุดลงเมื่อใดและที่ไหน

จึงไม่สมควรที่เราจะเพิกเฉย

แต่เราต้องมุ่งมั่น เตรียมพร้อมสำหรับความตาย

เราจะต้องมีความอดทน

ต่อสู้อย่างไม่ท้อแท้และสินหวัง จากความเมตตาของอัลลอฮฺตะอาลา

เพราะผู้สิ้นหวังในความเมตตาของอัลลอฮ์นั้น

จะมีก็แต่พวกที่ไร้ศรัทธาเท่านั้น


มุสลิมเริ่มต้นที่พระเจ้าของเขาและจบที่พระองค์



หากการศรัทธาต่ออัลลอฮ์เป็นสถานีเริ่มต้นของทุกอย่าง

การศรัทธาต่อวันอาคีเราะฮ์ ก็คงเป็นสถานีสุดท้ายปลายทาง

เป็นจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของมนุษย์

จบลงที่การพำนักอย่างถาวร ไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง

ด้วยพระกรุณาและความเป็นธรรมของพระองค์

หลายคนอาจกล่าวว่า

"ตนกระทำดีต่างๆมามากมาย"

แต่พระองค์จะตรัสถามกลับว่า

ทั้งหมดนั้นทำเพื่อใคร?"

หากคำตอบ ไม่ใช่พระองค์เพียงองค์เดียว

เราจะไปถามหาความผาสุขและความรอดพ้นจากผู้ใด

มุสลิมเริ่มต้นที่พระเจ้าของเขาและจบที่พระองค์

ไม่ว่าสังคมจะนับว่าอะไรดีหรือไม่ดี

มุสลิมก็จะยังคงอยู่กับพระบัญชาของพระเจ้าอย่างไม่เสื่อมคลาย






เรื่องการที่มุสลิมเสียชีวิตในวันศุกร์



คำถาม: อยากทราบว่า ท่านนบีได้พูดถึงการเสียชีวิตในวันศุกร์ไว้อย่างไรบ้าง ?

คำตอบ : คนที่เชื่อว่าใครที่เสียชีวิตในวันสุกร์ เขาผู้นั้น จะได้เข้าสวรรค์ เเละจะหลุดพ้นจากไฟนรกหรือเชื่อว่า ใครที่เสียชีวิตในวันสุกร์ หรือ คืนวันศุกร์เขาผุ้นั้นที่เสียชีวิต จะไม่ถูกสอบสวน หรือหลุดพ้นจาการลงโทษในหลุมฝังศพ เป็นต้น ซึงบุคคลที่มีความเชื่อดังกล่าวนั้นจะใช้ฮะดิษเป็นหลักฐานที่อ้างว่า ท่านนบี(ศ๊อล) ได้กล่าวว่า:
ما من مسلم يموت يوم الجمعة أو ليلة الجمعة إلا وقاه الله فتنة القبر.
ความว่า : ไม่มีมุสลิมคนหนึ่งคนใดตายในวันศุกร์ หรือคืนวันศุกร์เว้นแต่อัลลอฮฺจะทรงป้องกันเขาให้พ้นจากฟิตนะห์ในหลุมฝังศพ (กุบูร) ”

เเละอีกสำนวนหนึง : ท่านนบี( ศ๊อล) กล่าวว่า
من مات من المسلمين يوم الجمعة أمن من عذاب القبر
ความว่า: ไม่มีมุสลิมคนหนึ่งคนใดตายในวันศุกร์ เว้นแต่อัลลอฮฺจะทรงป้องกันเขาให้พ้นจากการลงโทษในหลุมฝังศพ (กุบูร) ”

เเละฮะดิษหนึงที่ท่านนบีกล่าวว่า : من مات يوم الجمعة حوسب يوم السبت
ความว่า : ผู้ใดเสียชีวิตในวันสุกร์เขาจะถูกสอบสวนในวันเสาร์ ( หมายถึงวันศุกร์เขาจะไม่ถูกสอบสวนเเละเขาจะหลุดพ้นจากบทลงโทษ

ทั้งหมด3 ฮะดิษข้างต้นที่กล่าวมา คือ

1- เป็นฮะดิษ ฎออิฟฺ หมายถึง ฮะดิษอ่อน เเละ ไม่ใช่ฮะดิษศอฮิห
2- เป็นฮะดิษ ขาดสายรายงาน
3- เป็นฮะดิษ " ฆอรีบ" หมายถึง เป็นฮะดิษที่มีผู้รายงานเพียงคนเดียว โดเดี่ยว ตลอดสายรายงาน หรือในบางช่วงของสายรายงาน

อนึง : เพิงทราบเถอะว่า ไม่ว่าใครที่จบชีวิตของเขาด้วยจุดจบที่ดี เเน่นอนอัลลอฮสัญญาเเก่เขาด้วยสวนสวรรค์ ไม่ว่าเขาเสียชีวิตวันสุกร์หรือวันอื่นๆ เเละเช่นกันผู้ใดที่เสียชีวิตด้วยจุดจบของเขามีเเต่สิ่งเลวร้ายความชั่ว อาทิ ตายในขนะตั้งภาคีต่ออัลลออฮ ตายในขนะทำมะห์ซิยัต เนรคุณต่ออัลลอฮ เเน่นอนอัลลอฮก็ได้สัญญาเเก่เขาด้วยไฟนรกอันร้อนเเรง ฯล

ดูเสริมได้ที่:
คำฟัตวา จากคณะกรรมการถาวรเพื่อการวิจัยทางวิชาการและการชี้ขาด
ปัญหาศาสนา (ประเทศซาอุดีอาระเบีย) เล่มที่ 14 หน้า : 164



ทำไมถึงห้ามเด็กๆ ออกนอกบ้านในขณะดวงตะวันลับขอบฟ้า หรือในเวลามักริบ?




 มักริบคือเวลาของการละหมาดฟัรดู 3 รอกาอัต ในขณะแผ่นดินกำลังจะเปลี่ยนช่วงเวลาจากกลางวันไปสู่กลางคืน เมื่อเข้าเวลามักริบ ผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่ ก็มักจะใช้ให้ลูกหลานเลิกเล่นและรีบกลับเข้าบ้านทันที เพราะพวกเขามีความเชื่อว่า ในช่วงเวลามักริบนั้น ชัยตอนและญินกำลังเพ่นพล่านอยู่ตามสถานที่ต่างๆ และหลังจากมักริบพวกเขาถึงจะปล่อยให้ลูกหลานออกจากบ้านได้ ข้อห้ามนี้ได้ถูกห้ามกันมาตั้งแต่โบราณในอดีตกาลจากคนเฒ่าคนแก่จากรุ่นสู่รุ่น โดยที่เราหารู้ไม่ว่า ข้อห้ามเหล่านี้

 แท้จริงแล้วได้มีระบุในฮาดีษของท่านร่อซูลุลลอฮ์ ดังที่ท่านร่อซูลุลลอฮ์ได้กล่าวไว้ว่า
 “ท่านทั้งหลายอย่าได้ปล่อยให้ลูกหลานของท่านอยู่นอกบ้านในขณะที่ดวงตะวันลับขอบฟ้าจนกระทั่งมืดเข้าสู่ยามค่ำคืน เพราะชัยตอนจะแตกเป็นเสี่ยง เมื่อดวงอาทิตย์จะตกจนกระทั่งมืดมิดของเวลากลางคืน” (รายงานโดย มุสลิม)

และท่านร่อซูลุลลอฮ์ยังได้กล่าวไว้ในซอเฮียะห์มุสลิมอีกว่า
 “หากช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์จะตกและเริ่มมืด จงดูแลทารกน้อยให้ดี เพราะอิบลีสจะเริ่มการหลอกหลอนในช่วงเวลานั้น หากช่วงเวลาที่ช่วงเวลานั้นผ่านไป ก็จงปล่อยพวกเขา, จงใส่กลอนประตูบ้าน และกล่าวพระนามของอัลลอฮ์ เพราะชัยตอนไม่สามารถเปิดประตูที่ปิดไว้ได้ และจงปิดภาชนะใส่น้ำของท่านทั้งหลายให้สนิท และกล่าวพระนามของอัลลอฮ์ และจงปิดภาชนะอาหารของท่านทั้งหลายพร้อมกับกล่าวพระนามของอัลลอฮ์ แม้ว่าท่านต้องการได้สิ่งนั้นก็ตาม”

 ท่าน ศ.ดร. Osly Rachman ได้เขียนไว้ในหนังสือของท่านที่มีชื่อว่า “The Science Of Solat” โดยท่านได้ชี้แจงไว้ว่า ในช่วงเวลามักริบ โลกจะเปลี่ยนเป็นแสงสเปกตรัมเป็นสีแดง แสงนี้จะมีคลื่นรังสี EM (electromagnet) ซึ่งประกอบไปด้วย สเปคตรัมสีต่างๆ และในแต่ละสีของสเปคตรัม ก็จะมีพลังงานคลื่นความถี่ที่แตกต่างกัน โดยในช่วงเวลามักริบ หรือช่วงเวลาที่ดวงตะวันจะลับขอบฟ้านั้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของสเปคตรัมคลื่นความถี่ ตามคลื่นความถี่ของอิบลีสและญิน นั่นก็คือ คลื่นความถี่ของสเปคตรัมสีแดง ในช่วงเวลานี้ ญินและอิบลีส จะมีพลังงานมากเนื่องจากมีได้รับคลื่นความถี่ตรงตามสเปคตรัมของแสงสีแดง  ดังนั้นในช่วงเวลามักริบจึงเกิดคลื่นความถี่ที่เป็นสัญญาณทับซ้อน จนบางครั้งอาจก่อให้เกิดภาพหลอนหรือภาพลวงตาได้ในช่วงเวลานั้น

ในอิสลาม ช่วงเวลามักริบ คือ ช่วงเวลาที่ชัยตอนกำลังมาพร้อมกับความมืดกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เพื่อหาสถานที่พักพิงและหลบซ่อน เพราะมีชัยตอนบางตัว ก็จะเกิดความกลัวต่อความชั่วร้ายของชัยตอนตัวอื่น จนทำให้พวกมันต้องวิ่งหาสิ่งคุ้มกันหรือเกราะป้องกันพวกมันจากชัยตอนที่ร้ายกาจตัวอื่น ดังนั้น พวกมันจึงได้คลื่นไหวด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ ชัยตอนบางตัวก็จะหลบซ่อนอยู่ในภาชนะที่ว่างเปล่า หลบซ่อนอยู่ในบ้านร้าง บางตัวก็จะหลบซ่อนอยู่กับกลุ่มคนที่นั่งกระจัดกระจายอยู่ในเวลานั้น เฉพาะผู้ที่มีพลังความเข้มแข็งเท่านั้นที่จะปลอดภัยจากการหลบซ่อนของชัยตอนในร่างกาย

ดังนั้น ทารกและ เด็กๆที่ยังอ่อนแอ จึงง่ายต่อการที่อิบลีสชัยตอนจะเข้าหลบซ่อนในร่างกาย จึงทำให้เด็กที่ถูกรบกวนจากชัยตอนเกิดอาการต่างๆต่าง ไม่ว่าจะร้องไห้งองแงโดยไม่ทราบสาเหตุ ในช่วงเวลามักริบ เรายังถูกใช้ให้ห่างไกลจากสัตว์เลี้ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแมว, นก หรือในขณะขับรถ ก็ควรลดความเร็วลง เนื่องจากในเวลานั้น อาจจะมีสุนัขหรือสัตว์อื่นๆกำลังถูกชัยตอนเข้าสิง จนทำให้พวกมันวิ่งกระจัดกระจายด้วยความกลัว และเช่นกัน ก็ไม่ควรเดินอยู่ตามลำพัง หรือนั่งอยู่คนเดียวในสถานที่เปลี่ยว หรือขว้างปาก้อนหิน เข้าในห้องน้ำ หรือในสวน หรือในทะเล



ชัยฏอน รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของชัยฏอน ที่มุสลิมทุกคนควรรู้



งานใหญ่ของมัน(ชัยฏอน)คือ ทำทุกวิธีไม่ให้มนุษย์ กราบไหว้พระผู้สร้าง อยากให้อ่านเเล้วปรับเเผนให้ทันเลห์เหลี่ยมมัน ชัยฏอน หรือ อิบลีส เป็นนามของญินตนหนึ่งที่หลอกลวงให้อาดัมและเฮาวาอ์ภรรยา ต้องออกจากสวนสวรรค์ และสาบานว่าจะตามล้างตามผลาญลูกหลานมนุษย์จนถึงวันโลกาวินาศ ในไบเบิลเรียกว่า ซาตาน ชัยฏอน อาจจะหมายถึง มารร้ายตนอื่น ๆ ที่เป็นพรรคพวกของอิบลีสก็ได้ คำว่า "ซาตาน" ในภาษายุโรปเป็นคำที่ยืมมาจากคำว่า "ชัยฏอน" ในภาษาอาหรับ
ช่องทางที่ทำให้ชัยฏอนสมความปรารถนา 1. ความโกรธและกระทำตามอารมณ์
ความโกรธจะทำลายความรับผิดชอบชั่วดี เมื่อมนุษย์มีความโกรธ เขาจะกลายเป็นของเล่นของชัยฏอน เสมือนฟุตบอลที่เป็นของเด็กเล่น 2. ความอิจฉาริษยา และความตระหนี่ (ละโมภ)
เมื่อบ่าวของพระองค์คนใดมีความตระหนี่ ตาของเขาจะมืดบอดและหูหนวกต่อการรักษาทรัพย์สินนั้น ถึงแม้จะทำให้ผู้เป็นเจ้าของต้องตกอยู่ในความผิดก็ตาม

การตระหนี่ การอิจฉาริษยา เเละการหยิ่งยะโส ซึ่งการหยิ่งยะโสนั้น เป็นสาเหตุที่ห้ามไม่ให้อิบสิสก้มสุญุดต่อท่านอาดัม ความตระหนี่เป็นเหตุให้อาดัมต้องถูกอัปเปหิออกจากสวรรค์ ความอิจฉาเป็นสาเหตให้บุตรชายของอาดัมต้องฆ่าน้องชายตัวเอง

3. ความอิ่มจากการทานอาหาร ถึงแม้อาหารนั้นจะเป็นอาหารที่ฮาลาล แต่เนื่องจากความอิ่ม จะทำให้ความต้องการทางเพศมากขึ้น และความต้องการทางเพศเป็นอาวุธสำคัญของชัยฏอน
ท่านวาฮีบ บิน อัลวัรด กล่าวว่า พวกเราได้ยินว่า แท้จริงอิบลิสผู้สกปรกได้เข้าหาท่านนาบียะห์ยา บิน ซาการียา عليهما السلام และกล่าวกับท่านว่า แท้จริงฉันต้องการจะตักเตือนท่าน ท่านนาบีกล่าวว่า เจ้าโกหก ไม่ต้องมาเตือนอะไรฉัน แต่จงเล่าเรื่องราวของลูกหลานอาดัมให้ฉันฟัง
อิบลิสกล่าวว่า ในสายตาของพวกเราแล้ว จะแบ่งลูกหลานอาดัมออกเป็น 3 จำพวก
จำพวกที่หนึ่ง คือ พวกที่เรารับมามากที่สุด ซึ่งพวกนี้คือพวกที่เราหลอกลวงจนกระทั่งพวกเขาหลงผิด และเรามั่นใจว่าพวกเขาจะไม่กลับไปสู่แนวทางที่ถูกต้องอีก.. แต่ต่อมาพวกเขาก็ขออภัยโทษและกลับเนื้อกลับตัว พวกเขาจึงทำลายความพยายามของพวกเราจนสิ้นเชิง ซึ่งต่อมา เราก็จะเข้าหาเขาอีกครั้ง แต่อนิจจาเราไม่สามารถหลอกลวงเขาได้อีก พวกเขามิทำให้พวกเราสมความปรารถนาอีกต่อไป พวกเราจึงท้อแท้ที่จะพยายามหลอกลวงพวกเขาอีก

ส่วนจำพวกที่สอง คือ พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในกำมือของพวกเรา เป็นเสมือนลูกฟุตบอลสำหรับเด็กๆ ของพวกเรา เราจะชี้ทางให้เขาทำตามที่เราปรารถนา พวกเขาจึงกลายเป็นผู้ปฏิเสธเนื่องจากการหลอกลวงของพวกเรา

อีกจำพวกที่สาม คือ พวกเขาเหมือนๆ กับท่าน คือ เป็นกลุ่มชนที่ไม่มีบาป พวกเราไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ ท่านนาบียะห์ยาจึงถามชัยฏอนว่า ดังนั้น เจ้าเคยยุแหย่อะไรฉันได้บ้าง? อิบลีส ตอบว่า ไม่เคย ยกเว้นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น นั่นคือท่านเคยรับประทานอาหารที่ท่านชื่นชอบจนเกินอิ่ม และเข้านอนในค่ำคืนนั้นอย่างเต็มที่ จนไม่สามารถตื่นมาละหมาดเสมือนกับที่ท่านเคยปฏิบัติอยู่เสมอ
ท่านนาบียะห์ยากล่าวกับชัยตอนว่า ฉันจะไม่รับประทานอาหารจนอิ่มหนำอีกต่อไป จนกระทั่งชีวิตฉันจะหาไม่
อิบลีสผู้สกปรกจึงกล่าวกับท่านว่า ฉันจะไม่ตักเตือนลูกหลานอาดัมหลังจากท่านอีก

4. ความละโมภและความอยากได้สิ่งของจากผู้อื่น
เพราะเมื่อมนุษย์มีความละโมบและอยากได้สิ่งของจากผู้อื่น ชัยฏอนจะประดับประดาและยกย่องผู้ที่เขาอยากได้ ให้เขามีความรักต่อผู้ที่เขามีความหวัง ด้วยการเอาอกเอาใจ ยกย่องบูชาเพื่อหวังจะได้รับความดีความชอบ จนเป็นเสมือนบ่าวทาส

5. ความรีบเร่ง จนขาดความตั้งใจ
เนื่องจากความรีบเร่ง เป็นการเปิดโอกาสให้ชัยฏอนเข้าสู่มนุษย์ได้ง่ายดายขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว ทั้งนี้เนื่องจากความรีบเร่งมาจากชัยฏอน การพิเคราะห์พิจารณามาจากพระองค์อัลลอฮ์

6.การยึดมั่นในผู้รู้เพียงกลุ่มเดียว ทำตามอารมณ์ และทะเลาะเบาะแว้งกับบุคคลอื่นที่มีความคิดแตกต่างไปจากตน

7. เข้าใจมุสลิมด้วยกันอย่างผิดๆ
อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า (ผู้ที่มีอีหม่านทั้งหลาย จงห่างไกลจากส่วนใหญ่ของการสงสัย แท้จริงการสงสัยบางอย่างนั้นเป็นบาป (จะได้รับการลงโทษ)...) อัลหุญุรอต อายะห์ที่ 12

8. การตระหนี่ และวิตกต่อความยากจน ท่านซุฟยานกล่าวว่า ชัยฏอนไม่มีอาวุธใดๆ เสมือนกับการกลัวความยากจน เมื่อผู้ใดรับมันเข้าไป ก็จะตกอยู่ในความผิดพลาด และหวงห้ามมิให้ผู้อื่นได้รับในสิทธิที่เขาพึงได้ พูดจาตามอารมณ์ และสงสัยในเรื่องของพระเจ้าในทางที่ไม่ดี
ท่านฮาติม อาซ็อม กล่าวว่า ไม่มีตอนเช้าวันไหน ยกเว้นชัยฏอนจะพูดกับฉันว่า ท่านจะรับประทานอาหารอะไร? จะสวมเสื้อผ้าตัวไหน? และจะอาศัยอยู่ที่ใด? ฉันตอบว่า ฉันจะกินอาหารเหมือนกับคนที่กำลังจะตาย จะใช้ผ้าที่ห่อศพเป็นเสื้อผ้าห่อหุ้มร่างกาย และจะใช้สุสานเป็นที่พักอาศัย

การสัมผัสของญินและชัยตอน
คำว่า المس ซึ่งมีความหมายว่า สัมผัสนั้นถูกนำมาใช้กับผู้ที่ถูกญิน ชัยตอน หรือมนต์ดำทำร้าย โดยการที่ญินหรือชัยตอนนั้นจะเข้าสิงสถิตอยู่ในร่างมนุษย์ และแน่นอนคำนี้ได้ถูกนำมาใช้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านที่ว่า.... บรรดาผู้กินดอกเบี้ยนั้นจะไม่ทรงตัวยืนขึ้นได้ นอกเสียจากพวกเขาจะทรงตัวยืนประดุจดังผู้ที่ชัยตอนมารร้ายสิงสู่จากการสัมผัส (สิงสถิต) ได้รายงานมาจากท่านอิบนุอับบาสว่า แท้จริงมีหญิงคนหนึ่งมาพร้อมลูกชายของนาง แล้วนางก็ได้กล่าวว่า โอ้ท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ แท้จริงลูกชายของฉันคนนี้เป็นคนบ้า เขาจะมีอาการบ้าในตอนรับประทานอาหารกลางวัน และตอนรับประทานอาหารกลางคืน แล้วเขาก็ได้สร้างความเสียหายให้แก่เรา แล้วท่านร่อซู้ล (ศ็อลฯ) ก็ได้ลูบไปที่ตัวเด็กคนนั้นและขอดุอาให้กับเขา แล้วเด็กคนนั้นก็อาเจียนออกมาอย่างมาก สิ่งที่ออกมาจากท้องของเขาคล้ายกับลูกสัตว์สีดำ สาเหตุที่ญินจะมาสำผัสมนุษย์นั้นมีอยู่หลายสาเหตุ ซึ่งบางทีอาจเป็นเพราะญินนั้นมีความรักใคร่ต่อมนุษย์ผู้นั้น หรือไม่ก็เพราะต้องการที่จะล่อลวงให้หลงผิด และเนื่องจากดังกล่าวนี้ญินจะทำการล่อลวงมนุษย์ด้วยการสัมผัส(สิงสู่)ในร่างกายมนุษย์ พฤติกรรมอันชั่วร้ายของญินนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ นอกเสียจากมนุษย์จะต้องอยู่ในสภาพดังต่อไปนี้ โกรธจัด - กลัวจัด - ปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ - ห่างไกลจากแนวทางของอัลลอฮฺ - หลงลืมอัลลอฮฺ - หวีดร้อง - ตบหน้าตัวเอง - การเข้าไปในกุโบร์ในยามค่ำคืน การสิงสู่ของญินนั้นมีขึ้นหลายรูปแบบ ซึ่งบางทีมันจะสิงสู่โดยการควบคุมประสาททั้งหมดของร่างกายมนุษย์ นั่นหมายถึงมันได้ควบคุมร่างกายทั้งหมด บางทีมนุษย์อาจถูกสิงสู่ในอวัยวะเพียงบางส่วน บางทีอาจจะสิงสถิตอยู่เป็นระยะเวลานาน หรือเพียงไม่กี่นาทีซึ่งจะมาในรูปของฝันร้าย...

ฝันดี มาจากอัลลอฮฺ ฝันร้าย มาจากชัยฏอน

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก อิศรา โต๊ะการิม


วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

อิสลามกับการอาบน้ำวันศุกร์ (ญุมอะฮฺ)




การอาบน้ำสำหรับละหมาดญุมุอะฮฺเป็นสิ่งที่สุนัตมุอักกะดะฮฺ(ส่งเสริมอย่างยิ่งให้ทำ) และวาญิบต้องอาบน้ำสำหรับผู้ที่มีกลิ่นตัวรบกวนบรรดามะลาอิกะฮฺและคนอื่นๆ

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า

«الغُسْلُ يَومَ الجُـمُعَةِ وَاجِبٌ عَلَى كُلِّ مُـحْتَلِـمٍ»

ความว่า “การอาบน้ำในวันญุมุอะฮฺนั้นเป็นสิ่งสำหรับผู้ที่บรรลุศาสนภาวะทุกคน”
(มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ โดยมีบันทึกในอัล-บุคอรีย์ เลขที่ : 858 และมุสลิม เลขที่: 846)

และหลังจากอาบน้ำแล้วมีสุนัตให้ทำความสะอาดร่างกายส่วนอื่นๆ และให้ใส่น้ำหอม และสวมใส่เสื้อผ้าที่สวยงาม แล้วออกไปมัสญิดตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วให้เข้าไปอยู่ในที่ที่ใกล้อิมาม และละหมาด ดุอาอ์และอ่านอัลกุรอานให้มากๆ

ซาอุฯประหารเจ้าชาย เหตุยิงปชช.ตายจากการวิวาท



AFP รายงานจากกรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันอังคารที่ (18 ตุลาคม) ผ่านมาว่า เจ้าชายเตอร์กี บิน สอุด อัล-กาบีร์ ถูกประหารชีวิตในเมืองกรุงริยาด เมื่อวันอังคาร จากความผิดฐานฆาตกรรม โดยเจ้าชายได้ใช้อาวุธปืนยิง นายอับดุล อัล-มาเฮมิด ชาวซาอุดิ เสียชีวิต ในระหว่างการทะเลาะวิวาท เหตุเกิดที่แคมป์พักแรมในทะเลทราย ชานกรุงริยาด เมื่อเดือนธันวาคม 2555

เจ้าชายกาบีร์นับเป็นนักโทษประหารรายที่ 134 ทั้งชาวซาอุดิและชาวต่างชาติในปีนี้ ตามแถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทยซาอุดีอาระเบีย

อาหรับนิวส์ รายงานเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2557 ว่า ศาลกรุงริยาดมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิต เจ้าชายสมาชิกราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย ที่ไม่เอ่ยพระนามท่านหนึ่ง จากความผิดฐานฆาตกรรมเพื่อน

โดยมีผู้บาดเจ็บอีก 1 คนจากการทะเลาะวิวาทและยิงปะทะกันที่แคมป์กลางทะเลทรายชานกรุงริยาด
นายอับดุล เราะห์มาน อัล-ฟาลาจ ลุงของผู้ตาย กล่าวว่า การประหารชีวิตครั้งนี้เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึง “ระบบยุติธรรมที่เที่ยงตรง” ของราชอาณาจักร

โดยกระทรวงมหาดไทยแถลงว่า เจ้าชายเตอร์กีรับสารภาพความผิดฐานฆ่าเพื่อนร่วมชาติ และรัฐบาลซาอุฯ ก็ “ยืนยันที่จะรักษาความมั่นคงปลอดภัย และธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม”

สำนักข่าว อัล-อาระบียะห์ รายงานว่า ครอบครัวของเหยื่อที่ถูกเจ้าชายเตอร์กีสังหารปฏิเสธที่จะรับเงินชดเชย เพื่อให้จำเลยได้รับการละเว้นโทษประหารชีวิต

ทั้งนี้ซาอุดีอาระเบียใช้หลักคำสอนทางศาสนา มาเป็นหลักกฎหมายในการบริหารประเทศ ช่วยทำให้ประเทศกลางทะเลทรายแห่งนี้เป็นประเทศที่มีสถิติอาชญากรรมน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศในระดับเดียวกันนี้ในตะวันตก

ที่มา http://i-newsmedia.net


วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ชีวิตในวัยเด็กของท่านนบีมูฮัมหมัด



ชีวิตในวัยเด็กของท่านนบีมูฮัมหมัด(ซล.) 

ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซล.) เกิดวันจันทร์ที่ 12 เดือนรอบิอุ้ลเอาวัล ปีช้าง ตรงกับปีคริสตศักราชที่ 570 พระองค์อัลลอฮ์ ได้กำหนดให้เด็กที่เกิดใหม่นี้จะไม่ได้เห็นบิดา ซึ่งบิดาของท่านได้เสียชีวิตก่อนที่ท่านจะเกิด ขณะที่เดินทางไปทำธุระให้กับปู่ที่นครมะดีนะห์ อับดุลมุฏฏอลิบ ผู้เป็นปู่ได้ให้การช่วยเหลืออามีนะฮ์ มารดาและทารกที่เกิดใหม่เป็นอย่างดี อับดุลมุฏฏอลิบได้ให้การต้อนรับด้วยความยินดีและตั้งชื่อว่า มูฮัมหมัด

 การให้นมและการผ่าหน้าอก

 เป็นธรรมเนียมของชาวอาหรับที่จะส่งเด็กเกิดใหม่ให้ได้รับการเลี้ยงดูตามชนบท เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ อากาศที่บริสุทธิ์และอาหารที่ดี และจะทำให้เด็กมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญในการดำเนินชีวิตของชาวอาหรับ ที่เต็มไปด้วยการต่อสู้อันเป็นสัญลักษณ์ของชนชาติอาหรับ และพบว่าในทุกๆปีจะมีแม่นมจากชนบทเดินทางเข้าไปในเมืองเพื่อรับจ้างเลี้ยงทารกที่เกิดใหม่ เพื่อที่จะได้รับค่าตอบแทน ในปีที่ท่านนะบีเกิดได้มีแม่นมจำนวนหนึ่งไปรับจ้างเลี้ยงเด็ก แต่เมื่อถูกเสนอให้รับเลี้ยงมุฮัมมัด พวกนางเหล่านั้นต่างปฏิเสธ เนื่องจากการกำพร้าพ่อ
ดังที่ฮาลีมะฮ์ซะอฺดียะห์ ได้กล่าวไว้ว่า:
"มารดาหรือลุงหรือปู่ของเด็กคงจะให้อะไรเราไม่ได้มาก"
และฮาลีมะฮ์ซะอฺดียะห์เป็นแม่นมที่ไปถึงช้ากว่าใคร เพราะพาหนะที่นางขี่ไปนั้นผอมอ่อนแอ จึงทำให้เดินได้ช้า เมื่อนางไปถึงในเมืองก็พบว่าแม่นมต่างๆเลือกรับทารกที่เกิดใหม่ไปหมด เหลือแต่เพียงมุฮัมมัดเท่านั้นที่ไม่มีใครรับไปเลี้ยง ในตอนแรกนางไม่ต้องการเลี้ยงดูมุฮัมมัด แต่เมื่อนางได้ปรึกษากับสามีแล้ว นางจึงบอกกับสามีว่านางไม่ต้องการจะกลับไปแบบมือเปล่าไม่มีเด็กกลับไปเลี้ยง นางจึงสาบานต่ออัลลอฮ์ ว่าต้องรับเอามุฮัมมัดไปเลี้ยง ทันทีที่นางให้นมมุฮัมมัดดูด ความประเสริฐได้ปรากฏขึ้นกับฮาลีมะฮ์ นางมีน้ำนมอย่างมากมาย จากที่เคยแห้งหรือเกือบจะแห้ง เช่นเดียวกับแพะของนางที่รังนมของมันแห้งเพราะความผอม ก็กลับมีน้ำนมอย่างมากมาย จึงทำให้นางและสามีได้ดื่มน้ำนมแพะและนอนหลับอย่างสบายในคืนนั้น สามีของนางจึงเข้าใจทันที่ว่าทารกน้อยคนนี้คงมิใช่ทารกธรรมดาแน่ จึงได้กล่าวแก่ภรรยาของเขาว่า ฮาลีมะฮ์ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ว่า เราได้รับเด็กที่มีความประเสริฐไว้เลี้ยงดูแล้ว เช่นเดียวกันพาหนะของนางที่ซูบผอมอ่อนแอ กลับแข็งแรงขึ้นสามารถเดินนำหน้าบรรดาแม่นมคนอื่นๆ จนสร้างความประหลาดใจให้กับพวกนางเหล่านั้นอย่างมาก ทำให้พวกนางถามขึ้นว่า
 "ฮะลีมะฮ์เกิดอะไรขึ้นกับพาหนะของเธอ ?"
นางตอบว่า
"ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ว่า ฉันได้เด็กที่มีศิริมงคลขี่บนหลังของมัน"
 ความเป็นศิริมงคลของมุฮัมมัด ได้เกิดขึ้นกับครอบครัวของฮาลีมะฮ์อย่างต่อเนื่อง เมื่อนางกลับถึงบ้าน หมู่บ้านของเธอในปีนั้นเป็นปีที่มีความแห้งแล้ง ฝูงแกะฝูงแพะที่ออกไปหาหญ้ากินอย่างหิวโหย ก็ต้องกลับมาอย่างหิวโหย เพราะทุ่งหญ้ามีน้อยมาก แต่ว่าแกะของฮาลีมะฮ์ออกไปอย่าหิวโหยแต่กลับมาอย่างอิ่มหนำ และสามารถให้น้ำนมอย่างมากมาย โดยธรรมเนียมเมื่อครบ 2 ปี แม่นมจะนำเด็กที่รับมาเลี้ยง ไปส่งคืนให้แก่มารดาของเขา แต่ฮาลีมะฮ์และสามีของนางได้นำมุฮัมมัดไปหามารดาของเขามิใช่เพื่อไปส่งคืนให้ แต่ต้องการที่จะไปขอร้องให้อนุญาตเลี้ยงดูมุฮัมมัดต่อไป เพื่อที่เขาทั้งสองจะได้รับความเป็นศิริมงคลจากมุฮัมมัด อามินะฮ์มารดาของท่านก็ไม่ขัดข้องที่ทั้งสองจะรับเลี้ยงดูมุฮัมมัดต่อไป
 หลังจากนั้นอีก 4-5 เดือนได้เกิดเหตุการณ์ผ่าหน้าอกของท่านนะบี ขึ้น

 การผ่าหน้าอกครั้งแรก 

เมื่อมุฮัมมัดอายุได้ 3 ปี เหตุการณ์ผ่าหน้าอกจึงเกิดขึ้น ท่านอิม่ามมุสลิมได้รายงานเหตุการณ์ผ่าหน้าอกไว้ดังนี้
 : รายงานจากอนัส อิบนิ มาลิก ว่า
 : ท่านญิบรีลได้มาที่ท่านเราะซูล ขณะที่กำลังเล่นกับเพื่อนๆ ญิบรีลได้จับท่านให้นอนลง และผ่าหน้าอก เอาหัวใจออกมา แล้วเอาก้อนเลือดก้อนหนึ่งออกจากหัวใจ แล้วกล่าวขึ้นว่า "นี่เป็นส่วนของชัยฎอน แล้วญิบรีลได้นำหัวใจล้างด้วยน้ำซัมซัมในภาชนะที่ทำด้วยทองคำ เสร็จแล้วญิบรีลได้ประสานหัวใจแล้วนำกลับเข้าไว้ที่เดิม บรรดาเด็กๆ ที่เล่นอยู่ด้วยกัน รีบกลับไปหาแม่นมของท่าน แล้วบอกว่ามุฮัมมัดได้ถูกฆ่าแล้ว พวกเขาจึงรีบไป จึงพบว่าใบหน้าของท่านซีดเผือก ถอดสี อนัสได้เล่าว่า : ฉันเคยเห็นรอยเย็บที่หน้าอกของท่านนะบี
ศาสตราจารย์ อักรอม อัลอุมารี ได้วิเคราะห์เหตุการณ์การผ่าหน้าอกว่า
: การขจัดส่วนที่เป็นของชัยฏอนออกนั้น ถือได้ว่าเป็นความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งสำหรับการแต่งตั้งให้เป็นนะบี และเป็นการคุ้มครองให้พ้นจากความชั่วร้ายและการเคารพสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์ เพื่อไม่ให้มีสิ่งแปลกปลอมใดๆ เข้าไปในจิตใจ นอกจากการให้เอกภาพต่อพระองค์อัลลอฮ์ เท่านั้น และเหตุการณ์นั้นได้เห็นผลอย่างชัดเจน โดยที่ท่านนะบี ไม่เคยทำบาป ไม่เคยเคารพเจว็ด(รูปปั้น) ทั้งๆที่การเคารพเจว็ดนั้นแพร่สะพัดอยู่ในหมู่พวกของท่าน
 และเหตุการณ์ผ่าหน้าอกได้เกิดขึ้นอีกครั้งในคืนที่ท่านอิสรออ์และมิอ์ร็อจญ์ จากมักกะฮ์ ไปยังบัยตุลมักดิส และขึ้นไปยังฟากฟ้า

 การสิ้นชีวิตของมารดาและปู่

มุฮัมมัดได้รับการเลี้ยงดูจากฮาลีมะฮ์(แม่นม) 4-5 ปี จึงได้ถูกส่งคืนกลับให้มารดาเพื่อที่จะได้รับความรักความอบอุ่น แต่อัลลอฮ์ มิทรงประสงค์ที่จะให้ท่านได้อยู่ร่วมกับมารดานานนัก แล้วมารดาของท่านได้เสียชีวิตระหว่างทางนครมักกะฮ์กับนครมะดีนะฮ์ หลังจากที่ได้กลับมาจากการไปเยี่ยมน้าของมุฮัมมัด ซึ่งขณะนั้นมุฮัมมัดอายุได้ 6 ปี การอุปการะเลี้ยงดูจึงต้องกลับไปที่อับดุลมุฏฏอลิบ ผู้เป็นปู่จึงรับหน้าที่เลี้ยงดูมุฮัมมัดซึ่งเป็นเด็กกำพร้าอย่างเต็มตัว และท่านได้ให้สิทธิพิเศษซึ่งไม่เคยให้แก่ลูกหลานคนใดมาก่อน
มุฮัมมัดได้รับการเลี้ยงดูจากปู่ไม่นานนัก ปู่ก็เสียชีวิตหลังการเสียชีวิตของมารดาเพียง 2 ปี ขณะนั้นมุฮัมมัดมีอายุได้ 8 ปี
 เมื่อมารดาและปู่ต้องจากไป อบูฏอลิบลุงของท่านจึงได้รับอุปการะเลี้ยงดูมุฮัมมัดอย่างดีไม่ได้น้อยไปกว่ามารดาและปู่ของท่านเลย แน่นอนเหลือเกินการที่ท่านนะบี มิได้เห็นบิดา เพราะกำพร้าพ่อตั้งแต่เกิด และอยู่ภายใต้การเลี้ยงดูของมารดาเพียง 2 ปี เท่านั้น และเมื่อสูญเสียมารดาไปได้ไม่นาน ท่านก็ต้องสูญเสียปู่ของท่านไปอีก ทั้งหมดได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียง 8 ปี
ช่วงชีวิตดังกล่าวเป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์อัลลอฮ์ ที่ต้องการจะดูแลมุฮัมมัดด้วยพระองค์เอง และเพื่อให้ท่านได้ยึดมั่นอยู่กับอัลลอฮ์ องค์เดียวตั้งแต่แรกเริ่มของชีวิต มิต้องพึ่งพาผู้อื่นผู้ใด หรือใครก็ตามที่ยึดมั่นอยู่กับอัลลอฮ จะทรงเป็นผู้ดูแลเขา ความดีงามและความสำเร็จต่างๆจะเป็นของเขาทุกอย่าง เป็นที่ยอมรับกันว่าเด็กกำพร้าจำนวนไม่น้อย ที่ต้องสูญเสียบิดาไป หรือสูญเสียทั้งบิดาและมารดา ทำให้ผู้ใกล้ชิดต้องอาลัยอาวรณ์ และเป็นห่วงเป็นใย เกรงว่าชีวิตของเขาจะเป็นไปในทางที่ไม่ดี แต่เมื่อเขายึดมั่นต่ออัลลอฮ์ อย่างแท้จริง พระองค์จะให้การดูแลและทำให้ชีวิตของพวกเขามีความสุข ซึ่งดีกว่าบางคนที่ได้รับการเลี้ยงดูจากบิดามารดาเสียอีก

การเลี้ยงแพะเลี้ยงแกะ

หลังจากผู้เป็นปู่ได้จากไป มุฮัมมัดได้อยู่ภายใต้การเลี้ยงดูของ อบูฏอลิบผู้เป็นลุง ซึ่งมีลูกหลายคนฐานะก็ยากจน แม้กระนั้นก็ตาม ท่านยินดีรับอุปการะ และให้การเลี้ยงดูมุฮัมมัดอย่างดี มุฮัมมัดจึงไม่ต้องการที่จะสร้างภาระหนักให้แก่ลุง ท่านจึงแบ่งเบาภาระของลุง โดยไปรับจ้างเลี้ยงแพะเลี้ยงแกะให้กับชาวมักกะฮ์ อาชีพเลี้ยงแพะเลี้ยงแกะนั้นเป็นอาชีพหนึ่งในช่วงชีวิตของบรรดานะบี
ดังที่มีรายงานมาจากฮะดีษ(*7*) (مَابَعَثَ اللهُ نَبَيًّا إلاَّ رعَى الغَنَمَ) ความว่า อัลลอฮ์ มิได้ส่งนะบีท่านใดมา เว้นแต่เขาจะมีอาชีพเลี้ยงแพะเลี้ยงแกะ 


โดย ดร.อัดุลลอฮฺ อิบนุ อับดิรเราะฮ์มาน อัลค็อรอาน


วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2559

พอเพียงแล้ว



พอเพียงแล้ว ...
ที่อัลลอฮฺได้ทรงใช้ให้เรานั้นมีความมักน้อยต่อดุนยา
แต่เรากลับมุ่งหวังและมักมากต่อมัน
เราเรียกร้องแสวงหามัน
ทั้งที่เราก็ทราบอยู่เต็มอกแล้วว่า ...
มันคือ สิ่งที่ต้องสูญสลายและไม่จีรัง
และวันเวลาของชีวิต ก็มีอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น

[บิลาล บิน ซะดฺ]


เสียงภาษาอรับ





ที่เกิดเสียงภาษาอรับ 28 เสียง


ต้องอ่านหน่วงเสียง


กฎการอ่านออกเสียง


การอ่านเสียงยาว


เมื่ออ่านเจออักษรต่อไปนี้


การผสมเสียงภาษาอรับ


การเขียนอักษรภาาอรับ


สระภาษาอรับ


ที่ไม่ใช่สระ


การผสมเสียง


การอ่านออกเสียง


การอ่าน


กฎของ


.เอกสารทั้งหมดนี้เป็นของ อ.ยูซุฟ หวังปัญญา วิทยากรสอนกรุอาน



ชาวโรฮิงยา ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์



อิยาด มะดะนีย์ เลขาธิการองค์กรสหประชาชาติอิสลาม -โอไอซี- เรียกร้องให้มีการสอบเกี่ยวกับความรุนแรงที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้งในอาระกัน อันทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลและฝ่ายต่อต้านเสียชีวิตหลายราย ทั้งนี้เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

นอกจากนั้น ยังมีการฆ่านอกกฎหมาย การจับกุม การเผาทำลายบ้านเรือนมุสลิมโรฮิงยาในเมืองเมิงดาว ทางตอนเหนือของรัฐอาระกัน จนชาวโรฮิงยาต้องอพยพหนีตายกันอย่างสับสนอลหม่าน เกิดความยากลำบากอย่างแสนสาหัส

เลขาธิการโอไอซียังเรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมาร์ปกป้องชาวโรฮิงยาอย่างเต็มกำลังประสิทธิภาพ

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

เรียกร้อง...เรียกร้อง...และเรียกร้อง

ตัวแทนมุสลิมพันห้าร้อยล้านมีน้ำยาทำได้แค่เรียกร้องจริงๆหรือ !

ไม่ผิดไปจากถ้อยคำจำนรรจาของท่านนบี ศอลฯ เลยสักนิด

ท่านเซาบาน เล่าว่า

ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศอล ฯ กล่าวว่า

"ไม่นานหรอกที่ชาติต่างๆจะรุมพวกท่าน ประหนึ่งฝูงชนที่รุมแย่งอาหารกันในสำรับหนึ่ง"

ซอฮาบะฮ์ท่านหนึ่งกล่าวว่า

"ในวันนั้นพวกเรามีจำนวนน้อยกระนั้นหรือ?"

ท่านรอซูล ศอลฯ ตอบว่า

"จริงๆแล้ว พวกท่านมีจำนวนมาก แต่มีสภาพเหมือนเศษสวะในสายน้ำ

อัลลอฮ์ได้ขจัดความเกรงขามต่อพวกท่านในหัวใจของศัตรูออกไป

แล้วพระองค์ทำให้พวกท่านเกิดภาวะเสื่อม"

ซอฮาบะฮ์ ถามอีกว่า "ภาวะเสื่อมคืออะไร?"

ท่านรอซูล ศอลฯ ตอบว่า

"มันคือความหลงมัวเมาในโลกดุนยา และเกลียดกลัวต่อความตาย"

(หะดีษบันทึก โดย อบู ดาวูด)













วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2559

มูรีด ฟันธง! ทางรอดของคนแต่งชุดดำ กรณีภาคบังคับ มีทางออก



การแสดงความเศร้าโศกเสียใจโดยสวมใส่เสื้อผ้าชุดสีดำเพื่อแสดงออกถึงการไว้อาลัยแก่ผู้ตายที่เป็นมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิมก็ตาม เช่นนี้มุสลิมสามารถกระทำได้หรือไม่?
ตอบ การไว้ทุกข์ในอิสลามไม่มีในบทบัญญัติ มีแต่การรออิดดะฮฺของสตรีซึ่งสามีเสียชีวิตเป็นระยะเวลา 4 เดือนกับ 10 วัน ซึ่งศาสนาให้นางครองตนเองด้วยความสำรวม ห้ามออกนอกบ้านยกเว้นจำเป็นเท่านั้น และสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาโดยไม่ดึงดูดเพศตรงข้าม ภาษาที่มุสลิมปัจจุบันเข้าใจง่ายเรียกว่า “ไว้ทุกข์” ซึ่งที่จริงก็เรียกไม่ถูก เพราะอิสลามไม่มีการไว้ทุกข์นั่นเอง
ส่วนกรณีเมื่อมีผู้เสียชีวิตที่เป็นมุสลิม หรือไม่ใช่มุสลิมก็ตาม ก็ไม่ถูกอนุญาตให้กระทำด้วยเช่นกัน กล่าวคือการสวมใส่เสื้อผ้าชุดสีดำเพื่อไว้ทุกข์ให้ผู้ตาย หรือแต่งชุดดำไปงานศพ เป็นวัฒนธรรมความเชื่อของพวกฝรั่ง (นัสรอนี) ซึ่งพวกเขามีความเชื่อว่า วิญญาณของคนตายจะกลับมา และหาร่างอยู่ การสวมชุดดำจึงทำให้วิญญาณจำไม่ได้ จะสังเกตว่าภรรยาม่ายฝรั่งจะคลุมหน้าไปงานศพ นางกลัวว่าวิญญาณสามีจะจำได้ เธอต้องคลุมดำ และแต่งดำไว้ทุกข์ 1 ปีเต็ม ความเชื่อค่านิยมแต่งชุดดำไปงานศพจึงถูกนิยมในหมู่คนไทยด้วยในช่วงสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามนั่นเอง

สมัยก่อนคนไทยค่อนข้างจะครื้นแครง สวมใส่เสื้อผ้าไม่เคร่งครัดเจาะจงว่าเป็นสีดำหรือสีขาว อีกทั้งยังมีการละเล่นมหรสพยามค่ำคืนในงานศพอีกด้วย (ข้อมูลสนับสนุนจาหนังสือ 108 ซองคำถาม/สำนักพิมพ์สารคดี)
ประเด็นถัดมา หากในกรณีบุคคลสำคัญเสียชีวิตลง อาทิเช่น กษัตริย์ เป็นต้น ทางหน่วยงานเบื้องสูงบังคับให้มุสลิมสวมใส่ชุดสีดำเพื่อเป็นการไว้ทุกข์ เช่นนี้ หากกล่าวถึงหลักคำสอนของอิสลามแล้ว มุสลิมไม่สามารถสวมใส่ชุดดำได้ (ดังที่กล่าวมาข้างต้น) เช่นนี้ให้มุสลิมสวมใส่สีอื่นๆ เรียบๆ ไม่ฉูดฉาด หรือใกล้เคียงแทนการสวมใส่เสื้อสีดำ อาทิเช่น สีเทา หรือสีขาว เป็นต้น

ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า:
« مَنْ تَشَبَّهَ بِقَوْمٍ فَهُوَ مِنْهُمْ »
“บุคคลใดที่เลียนแบบชนกลุ่มใด เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของชนกลุ่มนั้น” [1]

สรุปในเบื้องต้นคือ ไม่อนุญาตให้มุสลิมสวมใส่ชุดสีดำไปงานศพ หรือใส่เพื่อไว้ทุกข์ให้แก่ผู้ที่เสียชีวิต เพราะเป็นวัฒนธรรมความเชื่อของชาวฝรั่ง (นัศรอนี) ที่มุสลิมจำเป็นต้องออกห่าง
อนึ่ง หากหน่วยงานราชการบังคับ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จริงๆ เพราะอาจถึงขั้นถูกไล่ออกจากงาน หรือต้องถูกตัดเงินเดือน อันมีผลกระทบถึงครอบครัว ทั้งๆ ที่ได้อธิบายหลักการอิสลามไปแล้วก็ตาม เช่นนี้ ถือว่าอยู่ในขั้นตอนของความจำเป็น (เฎาะรูเราะฮฺ) อนุญาตให้มุสลิมสวมใส่เพราะอยู่ในภาวะจำเป็นได้
« الضرووات تبيح المحظورات »
ความว่า “ความจำเป็นต่างๆ (ถูก) อนุโลม (ให้ทำ) ข้อห้าม (ต่างๆ) ได้เช่นกัน”
โดยมีเจตนาปฏิเสธการกระทำดังกล่าวด้วยหัวใจ และหวังการอภัยจากพระองค์อัลลอฮฺในการถูกบังคับดังกล่าว
ดังที่พระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ว่า:
فَمَنِ اضْطُرَّ غَيْرَ بَاغٍ وَلَا عَادٍ فَلَا إِثْمَ عَلَيْهِ إِنَّ اللَّهَ غَفُورٌ رَحِيمٌ
“แล้วผู้ใดอยู่ในภาวะคับขัน โดยมิใช่ผู้เสาะแสวงหา และมิใช่เป็นผู้ละเมิดขอบเขตแล้วไซร้ ก็ไม่มีบาปอันใดแก่เขา แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺผู้ทรงอภัยยิ่ง ผู้ทรงเมตตาเสมอ” [2]
แต่อย่างไรก็ตามขอให้มุสลิมแสดงจุดยืนจนสุดความสามารถเสียก่อน หากไม่ได้จริงๆ แล้วไซร้ ค่อยกระทำสิ่งที่เป็นข้อผ่อนผัน เฉกเช่นที่ท่านรสูลุลลอฮฺเคยกล่าวไว้ว่า
فَإِذَا أَمَرْتُكُمْ بِشَىْءٍ فَأْتُوا مِنْهُ مَا اسْتَطَعْتُمْ
“เมื่อฉันใช้พวกท่านกระทำสิ่งหนึ่ง จงยึดสิ่งนั้นตราบเท่าที่พวกท่านมีความสามารถเถิด” [3] (วัลลอฮุอะอฺลัม)
(มุรีด ทิมะเสน,14-10-59,ร้านแปดบรรทัด)


[1] หะดีษเศาะหี้หฺ, บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษที่ 4033
[2] สูเราะฮฺบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 173
[3] หะดีษเศาะหี้หฺ, บันทึกโดยมุสลิม หะดีษที่ 3321



"อะไรที่ทำได้ก็ทำ อะไรที่ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ" ในหลวงตรัสกับอาจารย์วันมูหะมัดนอร์ มะทา ครั้นเป็นประธานรัฐสภาจะต้องนำต้นฉบับรัฐธรรมนูญเข้าเฝ้า เพื่อลงพระปรมาภิไธย




มุสลิมสวมใส่ชุดดำเพื่อไว้ทุกข์จะได้หรือไม่?


 "อะไรที่ทำได้ก็ทำ อะไรที่ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ"
 ในหลวงทรงตรัส
 เพราะทราบว่า มุสลิมนั้นกราบผู้ใดไม่ได้เลย จะทำให้ตกศาสนา(มุรตัด) จึงทรงตรัสเพื่อให้กับอาจารย์วันมูหะมัดนอร์ มะทาไม่ต้องเกร็ง ทำตามหลักศรัทธาที่ตัวเองยึดถือ เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อตอนนำรัฐธรรมนูญปี 2540 ขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ผมเป็นคนไทย มุสลิม

ถึงผมไม่ได้กราบไหว้บูชารูปที่มีทุกบ้าน เพราะมันผิดหลักศาสนา แต่ผมก็รัก ให้เกียรติ และก็นำเอาวิถีพอเพียงของท่านมาใช้ ซึ่งมันสอดคล้องกับอิสลาม เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับมุสลิมและการแสดงออก ณ ช่วงเวลานี้
 
สวมใส่ชุดดำเพื่อไว้ทุกข์จะได้หรือไม่ ถ้าดูคำวินิจฉัยตามหลักอิสลามแล้ว คำตอบคือ ไม่อนุญาตให้ไว้ทุกข์ด้วยการสวมใส่ชุดแต่งกายสีดำ แต่ไม่ได้หมายความว่า ห้ามไม่ให้แสดงความอาลัย มุสลิมแสดงความอาลัยได้ แต่ถ้าเลือกใส่ชุดสุภาพสีไม่ฉูดฉาดตามปกติ โดยไม่ได้เหนียต (เจตนา) เจาะจงว่าเป็นการไว้ทุกข์ก็ไม่เป็นไร ทางที่ดีควรเป็นสีที่ดูสุภาพ สีพื้นๆ ที่ไม่ฉูดฉาด เรียกว่าแต่งตัวเรียบร้อย เพื่อไม่ให้คนอื่นดูขัดตาและดึงดูดความสนใจตามกาลเทศะของสังคมไทย ส่วนผู้ที่แต่งกายชุดดำปกติอยู่แล้วก็ไม่ต้องคิดมาก สังเกตว่าท้ายประกาศสำนักพระราชวัง ระบุ อนึ่ง สําหรับพนักงานที่นับถือศาสนาอิสลาม หรือศาสนาอื่น ขอให้แต่งกายตามธรรมเนียมศาสนาท่านได้ตามความเหมาะสม ทุกๆ เจตนาย่อมอยู่ที่การกระทำ มุสลิมสวมใส่ชุดดำเพื่อไว้ทุกข์จะได้หรือไม่?

 ถาม-ตอบ ปัญหา โดยสำนักจุฬาราชมนตรี
ปัญหา เรื่องทำความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ การแสดงความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ ของพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯในพิธีการต่างๆ จะขัดต่อหลักการศาสนาอิสลามหรือไม่ ใคร่ขอทราบข้อเท็จจริงและความเห็น

คำตอบ - การยืนตรงต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ เพื่อระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ขัดต่อบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม - การก้มศรีษะไม่ถึงขั้นรุกัวะ ถือเป็นการกระทำที่ไม่บังควร (มักรูฮ์) - การก้มศรีษะถึงขั้นรุกัวะ บางทัศนะว่าต้องห้าม (ฮารอม) บางทัศนะว่าไม่บังควร (มักรูฮ์)

ปัญหา เรื่องการไว้ทุกข์ หากมุสลิมไปร่วมงานในพิธีของชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธ โดยการแต่งกายชุดดำ จะเป็นการขัดด้วยหลักการศาสนาอิสลามหรือไม่ ใคร่ขอทราบข้อเท็จจริงและความเห็น คำตอบ ในการแต่งกายไว้ทุกข์ด้วยชุดสีดำ ผิดบทบัญญัติศาสนาอิสลาม ข้อเสนอแนะ อิสลามกำหนดไว้อาลัยแก่ผู้ตาย ซึ่งบังคับแก่สตรีเท่านั้น โดยการเว้นการแต่งกายที่ฉูดฉาด ห้ามใส่เครื่องประดับและเครื่องหอมทุกชนิด การที่มุสลิมไปร่วมงานศพของเพื่อนต่างศาสนา ให้แต่งกายตามแบบธรรมดาทั่วไป อย่าแต่งชุดดำ



จดหมายถึงในหลวง


บทความโดย: มัยมูน สะมะนี

ชีวิตคนเรามีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่เป็นเรื่องราวฝังใจและประทับใจโดยไม่อาจลืม
ฉันเองก็เช่นกัน มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่ฉันยังคงจดจำเรื่องราวของมันได้อย่างดีแม้ว่ามันจะผ่านไปนานหลายปีแล้วก็ตาม
เมื่อประมาณปี18 ปีก่อน ฉันเป็นนิสิตของมหาลัยเก่าแก่แห่งหนึ่ง ที่มีความฝันใน(ตอนนั้น)ไม่ต่างจากเพื่อนๆในคณะว่า อยากเข้าคณะดีๆ เรียนจบเกรดดี
และ อยากได้มีโอกาสรับพระราชทานปริญญาจากในหลวง สักครั้ง
จวบจนจบปีสี่ ความฝันได้บรรลุบางอย่าง อัลฮัมดุลลิลลาห์
จนวันขึ้นทะเบียนบัณฑิต เพื่อยืนยันสิทธิเจ้ารับพระราชทานปริญญา อาจารย์ที่ปรึกษาเรียกเข้าไปพบ อาจารย์แจ้งให้ทราบว่า
มหาลัยเรามีกฎและระเบียบการแต่งกายชุดครุยว่าห้ามใส่ผ้าคลุมนะ ถ้าหากจะรับปริญญาต้องแต่งกายตามระเบียบของมหาลัยเท่านั้น
คือ แต่งกายตามภาพ (ที่อ.แนบให้ดู) เพื่อความเรียบร้อยและไม่ผิดระเบียบ ระคายเบื้องพระยุคลบาท ตอนนั้นฉันรู้สึก ผิดหวังเล็กๆเลยถาม อาจารย์กลับไปว่า แล้วชุดที่ฉันแต่งมันไม่เรียบร้อยตรงไหน?
ฉันก็เคารพในหลวง และฉันไม่ได้เพิ่งมาคลุมตอนรับปริญญา ฉันใส่มันมาเรียนทุกวันตั้งแต่ขึ้นปีสาม
อาจารย์ได้อ้างว่า ชุดครุยของมหาลัยเป็นชุดพระราชทานและห้ามมีสิ่งใดมาเปลี่ยนแปลงหรือเหนือพระเกี้ยวอันเป็นสัญลักษณ์ของมงกุฎของพระมหากษัตริย์
อาจารย์อยากให้เธอเอาไปคิดให้ดีนะ
ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่ในหลวงจะพระราชทานปริญญาบัตร อาจารย์ไม่อยากให้เธอเสียสิทธิ เพราะหลังจากนี้ท่านจะไม่พระราชทานแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน ฉันวิ่งหาอาจารย์ที่ปรึกษาหลายครั้ง ท่านได้ช่วยประสานกับสภามหาลัยแต่ ก็ได้รับคำยืนยันคำตอบไม่ต่างจากเดิม ใกล้ถึงวันซ้อมเพื่อนๆที่จบก็นัดกันไปเช่าครุยถ่ายรูป ฉันเองตอนนั้นลังเล
สุดท้ายตัดสินใจไม่ไปรับหากตัองแลกกับการต้องถอดฮิญาบเพื่อเข้ารับปริญญาทั้งๆ ที่เคย่ฝันมาตลอดอยากเห็นในหลวงสักครั้งในชีวิต
เมื่อถึงวันรับจริงก็ได้มาถ่ายรูปกับเพื่อนๆและครอบครัวช่วงเช้า
พอช่วงบ่าย เพื่อนๆ บัณฑิตต้องเข้าหอประชุมเพิ่อเข้ารับพระราชทานโอวาท ฉันก็ได้แต่นั่งร้องไห้ดูเพื่อนๆผ่านกล้องวงจรปิด ด้านนอก แอบเสียใจที่ไม่ได้สิทธิตรงนั้น
หลังจากสิ้นสุดงานพระราชทานด้วยอัดอั้นปนกับน้อยใจทางมหาลัยตัดสินขอพึ่งพาพระบารมีของพระองค์ท่าน เขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ถวายฎีกาไปถึงในหลวง ขอพระราชทานอนุญาติให้ผู้หญิงมุสลิมสามารถแต่งกายและปฎิบัติตามความเชื่อของศาสนาที่ตนนับถือ เนื้อหาในจดหมายเขียนเล่าประวัติของฉันพร้อมอธิบายว่า ฮิญาบคืออะไร แนบจดหมายจากมหาลัยที่ชี้แจงว่า ผิดระเบียบเรื่องใส่ฮิญาบ และภาพถ่ายของบัณฑิตของมหาลัยต่างๆที่ถ่ายรูปรับพระราชทานปริญญาพร้อม ฮิญาบ
ตอนที่ส่งไปฉันไม่ทราบว่า จดหมายของฉันจะถึงพระองค์ท่านหรือไม่ แต่ความรู้สึกตอนนั้น อยากให้พระองค์ท่านได้รับรู้ ว่า คนคลุมฮิญาบก็คือ คนไทยและเป็นพสกนิกรของท่าน ที่รักแลจงรักภักดีแก่พระมหากษัตริย์และจะเป็นบัณฑิตที่ดี ซื่อสัตย์และสร้างความดีงามแก่แผนดินนี้และไม่เคยคิดจะสร้างความเสียหายใดๆ
จากนั้น 1 ปี ผ่านไป
ฉันได้กลับไปแสดงความยินดีกับน้องๆ โดยได้ลืมเรื่องจดหมายฉบับนั้นไปเสียสนิท
น้องๆ บัณฑิตได้รับแจ้ง ว่าสมเด็จพระเทพฯ ได้รับสั่งแก่ทางสภามหาวิทยาลัยแห่งนี้โดยพระราชทานอนุญาตให้บัณฑิตที่คลุมฮิญาบสามารถเข้ารับพระราชทานปริญญาได้เหมือนที่อื่นๆ ตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้นมา





การมีอายุ 40 ปี ที่กล่าวไว้ในอัลกุรอ่าน


ท่านทราบไหมว่า ในอัลกุรอาน ได้มีการกล่าวถึง คนที่มีอายุ 40 ปี ไว้อย่างไรบ้าง?

حَتَّى إَذَا بَلَغَ أَشُدَّهُ وَبَلَغَ أَرْبَعِيْنَ سَنَةً قَالَ رَبِّ أَوْزِعْنِى أَنْ أَشْكُرَ نِعْمَتَكَ الَّتِى أَنْعَمْتَ عَلَيَّ وَعَلَى وَالِدَيَّ وَأَنْ أَعْمَلَ صَالِحًا تَرْضَاهُ وَأَصْلِحْ لِى فِى ذُرِّيَّتِى إِنِّى تُبْتُ إِلَيْكَ وَإِنِّى مِنَ الْمُسْلِمِيْنَ
(١٥) الاحقاف

จนกระทั่งเมื่อเขาบรรลุวัยฉกรรจ์ของเขาและมีอายุถึงสี่สิบปี เขาจะกล่าววิงวอนว่า ข้าแต่พระเจ้าของเข้าพระองค์ขอพระองค์ทรงโปรดประทานแก่ข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์ขอบคุณต่อความโปรดของพระองค์ท่าน ซึ่งพระองค์ท่านได้ทรงโปรดปรานแก่ข้าพระองค์และบิดามารดาของข้าพระองค์ และให้ข้าพระองค์ทำความดีเพื่อให้ความดีเกิดขึ้นในลูกหลานของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ขอลุแก่โทษต่อพระองค์ และแท้จริงข้าพระองค์อยู่ในหมู่ผู้นอบน้อม (อัลอะฮ์กอฟ : 15)

وفى تفسير ابن كثير: وهذا فيه إرشاد لمن بلغ الأربعين أن يجدد التوبة والإنابة إلى الله - عز وجل - ويعزم عليها.

ท่านอิบนุกาซีรได้อธิบายเกี่ยวกับโองการนี้ไว้ว่า เมื่อคนเราเข้าสู่วัย 40 ปี จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้นั้นต้องเตาบัตและหวนกลับคืนสู่อัลลอฮ์อย่างจริงจังและแท้จริง

โองการนี้ได้มีการกล่าวถึง อายุ 40 ปีอย่างชัดเจน เพราะเมื่อคนเราเข้าสู่อายุ 40 ปีนั่นหมายถึง เขากำลังเข้าสู่ความสมบูรณ์ของชีวิตทั้งทางร่างกาย ความคิดจิตใจ และอารมณ์ ดุอาในโองการดังกล่าวนั้น ได้ส่งเสริมให้บรรดาผู้ที่มีอายุได้ 40 ปีขึ้นไปได้ขอดุอา เป็นดุอาที่แสดงออกถึง การมีจิตวิญญาณแห่งการชุโกรในการได้รับเนียะอ์มัตต่างๆนานาอย่างสมบูรณ์จากการได้มีครอบครัว มีลูกหลาน มีการส่งเสริมให้ทำอามัลอิบาดะห์ให้มากขึ้น ให้เตาบัตและหวนกลับคืนสู่หนทางของพระองค์

อัลลอฮ์ได้ทรงโองการไว้ในซูเราะห์ อัลฟาติร : 37

أَوَلَمْ نُعَمِّرْكُمْ مَا يَتَذَكَّرُ فِيْهِ مَنْ تَذَكَّرَ وَجَاءَكُمُ النَّذِيْرُ (٣٧)

และเรามิได้ให้อายุของพวกเจ้ายืนนานพอดอกหรือ เพื่อผู้ที่ใคร่ครวญจะได้รำลึกถึงข้อตักเตือนและ (ยิ่งกว่านั้น) ได้มีผู้ตักเตือนมายังพวกเจ้าแล้ว

عن مجاهد قال : سمعت ابن عباس يقول : العمر الذي أعذر الله إلى ابن آدم : ( أولم نعمركم ما يتذكر فيه من تذكر ) أربعون سنة .

มุญาฮิดได้กล่าวไว้ว่า “ฉันได้ฟังจากอิบนุอับบาสได้กล่าวว่า “อายุที่อัลลอฮ์ทรงให้ลูกหลานอาดัมได้ตระหนักนั้น คือ อายุ 40 ปี

( أَوَلَمْ نُعَمِّرْكُمْ مَا يَتَذَكَّرُ فِيْهِ مَنْ تَذَكَّرَ وَجَاءَكُمُ النَّذِيْرُ )
عن مسروق أنه كان يقول : إذا بلغ أحدكم أربعين سنة ، فليأخذ حذره من الله عز وجل .

มัซรูกได้กล่าวว่า “เมื่อใดที่คนๆหนึ่งมีอายุ 40 ปี ดังนั้น เขาจงตระหนักถึงบทเรียนต่างๆ จาก อัลลอฮ์”

อายุ 40 ปีเป็นช่วงเวลาแห่งความสมบูรณ์ทาง ความคิด จิตใจและร่างกายของคนเรา ต่อการได้รวบรวมเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์ชีวิต เพื่อให้เกิดความฉลาดหลักแหลม มีฮิกมะห์และปัญญามากขึ้น สามารถละทิ้งความไร้สาระต่างๆนานาจากที่เคยเป็นวัยรุ่น มีการใช้ความคิด พินิจพิจารณาสิ่งต่างๆ มากขึ้น ดังนั้นจึงมิใช่เรื่องแปลก ที่ว่าบรรดาผู้นำต่างๆ ได้เกิดขึ้นมาในช่วงวัย 40 ปีนี้

ท่านอิบนุอับบาส ได้กล่าวถึงท่านร่อซูลุลลอฮ์ไว้ว่า:

عن ابن عباس قال أنزل على رسول الله صلى الله عليه وسلم وهو ابن أربعين فأقام بمكة ثلاث عشرة وبالمدينة عشرا وتوفي وهو ابن ثلاث وستين قال أبو عيسى هذا حديث حسن صحيح

“วะฮ์ยูได้ถูกประทานลงมาให้กับท่านร่อซูลุลลอฮ์ในขณะที่ท่านมีอายุได้ 40 ปี หลังจากนั้นท่านได้ใช้เวลาอยู่ที่มักกะห์ 13 ปี และที่มาดีนะห์อีก 10 ปีและท่านได้ถึงเสียชีวิตเมื่อมีอายุได้ 63 ปี” (ติรมีซีย์) จากรายงานของท่านอิบนุอับบาส ท่านร่อซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า:

من أتى عليه أربعون سنة ولم يغلب خيره شره فليتجهز إلى النار

ผู้ใดที่มีอายุได้ 40 ปี และอามัลคุณความดีของเขายังไม่เท่าไร และไม่สามารถเอาชนะความชั่วร้ายของเขาได้ ดังนั้น เขาจงเตรียมตัวเข้าสู่นรกเถิด”



ดังนั้น เมื่อคนเราเข้าสู่วัย 40 ปี จงให้ความสำคัญและตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้ไว้ให้ดี คือ..

1. มีเป้าหมายในชีวิตที่แน่วแน่
2. ยกระดับอับเกรดจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง
3. ให้ความหงอกของเส้นผมเป็นข้อเตือนใจ
4. เพิ่มการชุโกรต่ออัลลอฮ์ให้มากขึ้น
5. ดูแลรักษา เรื่องอาหารการกิน และการพักผ่อน
6. ดูแล้รักษา การทำอามัลอิบาดะห

Cr http://islamhouse.muslimthaipost.com


วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บทบาทของมุสลิมอินโดนิเซีย



โดย อะนะ แชลาตัน
การแผ่ขยายของอิสลามเข้าไปยังหมู่เกาะอินโดนิเซียนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ได้ฝังรากแห่งความศรัทธาให้แก่ประชาชนในหมู่เกาะดังกล่าวได้อย่างแนบแน่นและมั่นคงกว่าหลักความศรัทธาของศาสนาฮินดู ซึ่งประชาชนเหล่านั้นได้รับนับถือมาก่อนเป็นเวลาหลายศตวรรษ หลักความศรัทธาของอิสลามที่กว้างขวางประกอบด้วยเหตุผลที่สามารถสร้างความศรัทธาเลื่อมใสให้แก่ประชาชนได้ทุกชั้นทุกวัย ผิดกับศาสนาฮินดูซึ่งได้เข้าไปมีอิทธิพลได้เฉพาะในวังและในหมู่บุคคลชั้นสูงเท่านั้น หลักการญิฮาดในอิสลามและหลักการศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า ก่อให้เกิดพลังอันมหาศาลกลายเป็นอุปกรณ์สำคัญในการต่อสู้ทางชาตินิยมของชนชาติอินโดนิเซีย

การแผ่ขยายของอิสลามในอินโดนิเซียได้ดำเนินไปอย่างเข้มข้นที่สุด นับตั้งแต่ชนชาติตะวันตกเริ่มด้วยชนชาติโปรตุเกสได้เดินทางมายังตะวันออกไกลตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 16 ผลจากการเผยแพร่ของอิสลามนี้ทำให้ชนชาติอินโดนิเซียเกิดมีปฏิกิริยาขึ้นเพื่อทำการต่อต้านการขยายตัวของชนชาติเหล่านั้น โดยเฉพาะชนชาติฮอลันดาซึ่งมีความมุ่งมาตรปรารถนาที่จะเข้ามามีอิทธิพลในด้านการค้าและการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ควบกันไปด้วย ยิ่งกว่านั้นฮอลันดายังได้แสดงลวดลายที่จะมามีอิทธิพลในด้านการเมืองอีกด้วย ฉะนั้น!ประเทศอินโดนิเซียจึงได้ร่วมกันผนึกกำลังของตนเพื่อทำการต่อสู้ปกป้องอิสลามและประเทศชาติของตนอย่างสุดความสามารถ ทำให้เกิดสงครามขึ้นหลายครั้ง เริ่มต้นด้วยสงครามที่เรียกว่า “ศึกเตโปเนโกโร”ในเกาะชวาปีคศ.1825-1837 ศึกสังฆราชในเกาะสุมาตราตะวันตกปีคศ.1833-1837 ศึกอาเจ๊ะฮฺปีคศ.1873-1907 และศึกสิงห์มหาราชที่แคว้นตาปานูลี ปีคศ.1873-1907

เนื่องจากหมู่เกาะอินโดนิเซียซึ่งมีเป็นจำนวนพันฯเกาะในยุคนั้นยังไม่ได้รวมเป็นกลุ่มเป็นก้อน และต่างคนต่างปกครองกันเอง จึงทำให้ฮอลันดาซึ่งมีอาวุธทันสมัยกว่าสามารถเอาชนะอินโดนิเซียได้ในการสงครามทุกครั้งที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามการต่อต้านของประชาชนอินโดนิเซียในระยะเริ่มแรกนี้ เป็นผลจากความศรัทธาและหลักการของอิสลามนั่นเอง

นักประวัติศาสตร์ชาวฮอลันดาชื่อ นาย Kahin Gecrge me Turnam ได้เขียนในหนังสือของเขาชื่อ”ลัทธิชาตินิยมและการปฏิวัติในอินโดนิเซีย”ในหน้าแรกมีข้อความว่า”ถึงแม้การตื่นตัวทางชาตินิยมได้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนอินโดนิเซีย เริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 แล้วก็ตาม แต่พื้นฐานของการตื่นตัวทางชาตินิยมนี้ ได้เกิดขึ้นจากหลักการของอิสลามที่ได้แผ่ขยายเข้าไปยังอินโดนิเซียมาก่อนนั่นเอง”

ตลอดระยะเวลาประมาณ 300 ปี ฮอลันดาเข้าปกครองอินโดนิเซียนั้น ฮอลันดาได้ใช้วิธีการปกครองอย่างระมัดระวังที่สุด โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับกิจการศาสนา หากได้เกิดผิดผลาดอะไรขึ้นมาแม้แต่นิดเดียว ย่อมจะเป็นภัยอันตรายอันใหญ่หลวงแก่การปกครองของตน

ศาสตราจารย์ Snouck Hurgroneje ที่ปรึกษาของฮอลันดาฝ่ายกิจการของอิสลามได้ทำรายงานเสนอแนะไปยังรัฐบาลฮอลันดา ให้พยายามสกัดกั้นการขยายตัวของอิสลามในหมู่ประชาชนอินโดนิเซีย เพื่อมิให้เกิดการตื่นตัวในทางการเมืองมากขึ้น ฉะนั้นฮอลันดาจึงได้ดำเนินนโยบายบีบคั้นทางเศรษฐกิจ และสกัดกั้นการตื่นตัวทางชาตินิยมของชาวอินโดนิเซียทุกวิถีทาง ฮอลันดาจึงได้ดำเนินนโยบายเช่นนี้ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน เริ่มตั้งแต่ปี 1830 จนถึงปี 1910 ผลจากการดำเนินนโยบายของฮอลันดาเช่นนี้ ทำให้ประชาชนอินโดนิเซียเริ่มตื่นตัวและเข้าใจทันทีว่า ตนไม่สามารถที่จะปกป้องศาสนาอิสลามและความอยู่รอดของตนได้โดยปราศจากการศึกษา

การดำเนินนโยบายการปกครองของฮอลันดาในลักษณะเช่นนี้ เป็นผลทำให้อินโดนิเซียได้วิวัฒนาการไปสู่การสร้างชาติของตนเองได้โดยไม่รู้ตัว เพราะเป็นการรวบรวมชนชาติอินโดนิเซียซึ่งประกอบด้วยหลายเผ่าหลายภาษาให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และอยู่ใต้การปกครองอันเดียวกัน การใช้ภาษามาลายูเป็นภาษากลางยิ่งทำให้เผ่าพันธุ์ต่างฯได้มีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ภาษามาลายูกลายเป็นอุปกรณ์อันสำคัญในการเผยแพร่ศาสนาอิสลามตามหมู่เกาะอินโดนิเซียได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ในที่สุดประชากรตามหมู่เกาะดังกล่าว 90 เปอร์เซ็นต์ได้ยอมรับนับถือศาสนาอิสลามด้วยความเลื่อมใสศรัทธาจนกระทั่งบัดนี้ ในขณะเดียวกันการตื่นตัวในด้านการศึกษาของชาวอินโดนิเซียเริ่มปรากฏตัวขึ้น ในปี1906 ท่านมาส วาฮิดีน ซุเดโร โฮโซโด นายแพทย์คนสำคัญของอินโดนิเซีย เริ่มเดินทางตะเวณไปยังทั่วเกาะขวา เพื่อดำเนินการเรียไรเงินตั้งกองทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาอินโดนิเซีย เขาได้ออกนิตยสาร2ฉบับ เป็นภาษามาลายูและภาษาชวา ได้เขียนบทความปลุกใจประชาชนอินโดนิเซียให้ตื่นตัวในด้านการศึกษา เป็นผลทำให้นักศึกษาในวิทยาลัยการแพทย์ในชวา 3 นาย ได้ร่วมกันจัดตั้งองค์กรส่งเสริมการศึกษาขึ้น ให้ชื่อว่า “บุดี โฮโตโม”เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม1908 โดยมีท่านระเด่นโซโมเป็นหัวหน้า ในเวลา1ปีต่อมาก็มีสมาชิกเป็นจำนวนหมื่น ได้ดำเนินการเฉพาะบนเกาะชวาและเกาะมาดูราเท่านั้น ในไม่กี่ปีต่อมา นางการฺตินี สตรีชั้นนำของอินโดนิเซียเริ่มทำการรณรงค์กำจัดปริมาณคนไม่รู้หนังสือให้น้อยลง นางได้ออกมาทำการรณรงค์อย่างเปิดเผยในปี 1911 นี่คือการตื่นตัวในด้านการศึกษาของชนชาติอินโดนิเซียในระยะเริ่มต้น

การตื่นตัวทางชาตินิยมของชาวอินโดนิเซียในระยะเริ่มต้นนี้ ได้มีส่วนเกี่ยวพันกับศาสนาอิสลามอย่างแน่นแฟ้นทีเดียว การปฏิรูปอิสลามในตะวันออกกลางยังได้ส่งผลสะท้อนมายังอินโดนิเซียในยุคเริ่มต้นของการตื่นตัวนี้เช่นกัน ผู้นำการปฏิรูปศาสนาอิสลามในตะวันออกกลางที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อการตื่นตัวในอินโดนิเซีย ได้แก่ท่าน มุฮัมมัด อับดุฮฺ ระหว่างปี 1848 ถึงปี 1905 ท่านผู้นี้ได้ดำเนินการโฆษณาชักชวนให้มุสลิมีนอินโดนิเซียร่วมกันกำจัดความเชื่ออันงมงายทางศาสนาให้หมดสิ้นไป ประชาชาติมุสลิมจะต้องดำเนินตามแนวทางอันเที่ยงแท้โดยถืออัล-กรุอานและอัล-หะดีษเป็นหลัก ท่านได้กระตุ้นเตือนประชาชาติมุสลิมให้ศึกษาวิทยาการสมัยใหม่จากตะวันตก การเรียกร้องของท่านได้ส่งเสียงกึกก้องไปยังทั่วทุกมุมโลกมุสลิมผ่านนิตยสาร”อัล-มะนารฺ”และ”อุรุวะตุล-วุษกฺ”ในขณะเดียวกันการปฏิรูปศาสนาโดยกลุ่ม วาฮาบีย์ ในประเทศสะอูดีก็มีอิทธิพลต่อการตื่นตัวของชาวมุสลิมอินโดนิเซียมิใช่น้อยเช่นกัน ทัศนะและข้อคิดเห็นใหม่ฯที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางได้ถูกบรรดานักศึกษาอินโดนิเซียที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัรฺ ในอียิปต์นำเอากลับมายังอินโดนิเซียเช่นกัน

ยังมีสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดการตื่นตัวทางชาตินิยมในอินโดนิเซีย นั่นคือความรู้สึกไม่พึงพอใจของชาวมุสลิมอินโดนิเซียอันมีต่อชาวจีน ซึ่งได้เปรียบในด้านการค้าเหนือชาวมุสลิมในเกาะชวา ฉะนั้นบรรดาพ่อค้าชาวมุสลิมในเมืองสุระการฺตา จึงได้รวมหัวกันจัดตั้งสหกรรณ์การค้าขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1909 ภายใต้การนำของท่านฮัจญีสะมันฮุดี ได้ดำเนินการต่อสู้ไม่เฉพาะแต่ในด้านการค้าอย่างเดียวเท่านั้น หากรวมทั้งกิจการเกี่ยวกับอิสลามอีกด้วย

ในปี 1911 สหกรณ์การค้ามุสลิมนี้ได้เปลี่ยนเป็นบริษัทการค้ามุสลิม เรียกเป็นภาษาอินโดนิเซียว่า “ซาริกัต ดาฆัง อิสลาม”(บรษัทการค้ามุสลิม)มีวัตถุประสงค์ส่วนใหญ่เพื่อดำเนินการต่อต้านชาวจีนซึ่งกำลังบีบบังคับชาวมุสลิมในด้านการค้า จนทำให้เกิดสงครามระหว่างเชื้อชาติขึ้นในเมืองสุระการฺตาและสุระบายา ต่อมาบริษัทการค้าดังกล่าวได้เปลี่ยนชื่อเป็นองค์กรมุสลิม ภายใต้การนำของท่าน อุมัรฺ สะอี๊ด โจโกร อามิโนโต มีวัตถุประสงค์เพื่อทำการส่งเสริมการค้า วัฒนธรรมและศาสนาอิสลาม ฉะนั้นภายในระยะเวลาเพียง5ปีเท่านั้น องค์กรมุสลิมที่กล่าวนี้ได้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น8แสนคน

เนื่องจากองคฺกรมุสลิมนี้ได้มีสมาชิกเป็นจำนวนมากมายเช่นนั้นแล้ว จึงเกิดมีความเข้าใจกันในขณะนั้นว่า องค์กรมุสลิมนี้พร้อมที่จะทำสงครามศาสนาขึ้นกับฮอลันดา

ต่อมาในปี 1912 ได้มีการจัดตั้งองค์กรมุสลิมเพื่อส่งเสริมกิจการศาสนาอิสลามขึ้นอีกแห่งหนึ่งในเมือง ย็อกยาการฺตามีชื่อว่า”มุฮัมมัดมาดียะฮฺ”ภายใต้การนำของท่าน อะหมัด ดะหฺลาน ได้ทำการต่อสู้ตามแนวทางของการปฏิรูปศาสนาอิสลามในประเทศอียิปต์โดยไม่มีข้อผูกพันกับ มัซฮับทั้งสี่แต่ประการใด หากแต่ได้ยึดบทบัญญัติในอัล-กรุอานและอัล-หะดีษ เป็นหลักสำคัญในการดำเนินงาน ทั้งนี้เป็นเพราะในยุคนั้นปรากฏว่าในอินโดนิเซียได้มีการปะปนผสมผสานกันระหว่างศาสนากับขนบธรรมเนียมจนแยกกันไม่ออก และมีความเข้าใจกันว่าขนบธรรมเนียมบางอย่างได้เป็นบทบัญญัติของศาสนาเลยทีเดียว ในขณะเดียวกันนั้นยังได้เอาหลักการของศาสนาฮินดูบางอย่างมาปะปนกับหลักการของอิสลามด้วย พฤติกรรมเช่นนี้ได้มีอยู่ทั่วฯไปโดยเฉพาะในเกาะชวา ซึ่งเคยตกอยู่ใต้อิทธิพลของศาสนาฮินดูมาก่อน

ฉะนั้น จึงเป็นภาระหน้าที่อันดับแรกขององค์กร มุฮัมมัดมาดียะฮฺ ที่จะต้องชำระอิสลามให้สะอาดจากความเชื่ออันงมงายเช่นนี้ และนำมุสลิมในอินโดนิเซียให้ดำเนินสู่แนวทางที่ถูกต้อง
เมื่อได้เห็นการตื่นตัวของชาวมุสลิมอินโดนิเซียได้แผ่ขยายกว้างออกไปเช่นนี้แล้ว ทำให้ทางการฮอลันดาเกิดหวาดระแวงขึ้นมาทันที จึงได้พยายามติดตามดูความเคลื่อนไหวของชาวมุสลิมอินโดนิเซียอย่างใกล้ชิด

ศาสตราจารย์ Snouck Hurgronje จึงได้รายงานเสนอแนะไปยังรัฐบาลฮอลันดาให้ดำเนินการสกัดกั้นการตื่นตัวของชาวมุสลิมอินโดนิเซียเสียแต่เนิ่นฯ ในขณะเดียวกัน รัฐบาลฮอลันดาจะต้องพยายามเผยแพร่สนับสนุนวิทยาการของตะวันตกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามยกฐานะมุสลิมอินโดนิเซียที่ได้รับการศึกษา รับเอาวิทยาการใหม่ฯจากตะวันตกให้สูงขึ้น ในเมื่อชาวมุสลิมอินโดนิเซียที่ได้รับการศึกษาเช่นนี้ได้รับการยกย่องจากทางการแล้ว คุณค่าทางวิชาการอิสลามย่อมจะต้องด้อยลงเป็นธรรมดา

ภายในปี 1914 ทางการฮอลันดาได้ประกาศใช้กฎหมายฉบับที่ 111 ห้ามชาวมุสลิมอินโดนิเซียจัดชุมนุมทางการเมืองขึ้นไม่ว่ากรณีใดฯทั้งสิ้น ฉะนั้น คำขวัญที่ได้ประกาศใช้ในระยะนั้นสำหรับใช้ในการจัดชุมนุม อันไม่ผิดกฎหมายก็ได้แก่คำว่า “โดยรัฐบาลเพื่อรัฐบาล”

ในปีต่อฯมาอิทธิพลขององค์กร มุฮัมมัดมาดียะฮฺ ได้ขยายตัวมากยิ่งขึ้น จำนวนสมาชิกได้เพิ่มขึ้นถึง2.5 ล้านคน กลายเป็นองค์กรมุสลิมที่เข้มแข็งมากที่สุดในอินโดนิเซีย ในขณะเดียวกันนั้น พรรคการเมือง Nasional Indies ภายใต้การนำของท่าน เค.ฮายารฺ เดวัน ทูรา ได้ถูกทางการฮอลันดาประกาศเป็นพรรคการเมืองที่ผิดกฎหมาย เพราะได้ดำเนินนโยบายเอียงซ้าย บรรดาสมาชิกของพรรคนี้จึงได้พยายามแทรกซึมเข้าไปเป็นสมาชิกขององค์กรมุสลิมดังกล่าวเป็นจำนวนมาก

ในที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4 ขององค์กร มุฮัมมัดมาดียะฮฺ ในปี 1919 นายสัมอูนและพรรคพวกที่นิยมฝ่ายซ้าย พยายามจะเข้าไปมีอิทธิพลและแสดงบทบาทของตนในที่ประชุม แต่ก็ได้ถูกคัดค้านอย่างแข็งขัน ต่อมาในปี 1920 นายสัมอูนจึงได้จัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนิเซียขึ้นในเมือง สมารัง

องค์กร มุฮัมมัดมาดียะฮฺ ซึ่งยังไม่มีนโยบายทางการเมือง ยงคงดำเนินการเผยแพร่ศาสนาอิสลามต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง พยายามสร้างโรงเรียน วิทยาลัย และช่วยเหลือเด็กกำพร้ามุสลิมทั่วอินโดนิเซีย

ในปี 1952 ได้จัดตั้งองค์กรมุสลิมขึ้นอีกแห่งหนึ่ง เรียกว่าองค์กร “นะฮฺเฏาะตุล อุละมาอฺ”เป็นองค์กรฝ่ายขวาจัด และไม่เห็นด้วยกับวิธีการบางอย่างขององค์กร มุฮัมมัดมาดียะฮฺ สมาชิกขององค์กร นะฮฺเฏาะตุล อุละมาอฺ ส่วนใหญ่เป็นพวกครูสอนศาสนาอิสลามในชวาตะวันออกและชวาภาคกลาง ในขณะเดียวกันก็มีองค์กรมุสลิมเกิดขึ้นอีกหลายแห่ง ในจำนวนนี้มีองค์กรมุสลิมภายใต้การนำของท่าน หะซัน บันดุงร่วมอยู่ด้วย(Persatuan Islam)

ต่อมาได้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองแห่งชาตินิยมอินโดนิเซียขึ้นเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 1927 โดยนักศึกษาอินโดนิเซียที่สำเร็จจากประเทศฮอลันดา ซึ่งมีท่านซูกาโน เป็นประธานพรรคนี้ และได้รับการสนับสนุนจากบรรดาผู้นำองค์กรมุสลิมเป็นอย่างดี เพราะพวกนี้สามารถสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่าง 3 ฝ่ายด้วยกัน คือฝ่ายชาตินิยม ฝ่ายศาสนา ฝ่ายซ้าย แต่ละฝ่ายก็มีวัตถุประสงค์อันเดียวกัน คือเรียกร้องเอกราชให้แก่อินโดนิเซีย

ในระยะนั้นการดำเนินงานขององค์กรมุสลิมได้แบ่งกันเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งภายใต้การนำของ ดร.สุกิมาน ได้ดำเนินการเฉพาะแต่ในด้านกิจการเกี่ยวกับศาสนาอิสลามอย่างเดียว ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งภายใต้การนำของท่าน ฮัจญี อาฆุส ซาลิม ได้ดำเนินการให้องค์กรมุสลิมเข้าไปมีบทบาทในด้านการสังคม การฟื้นฟูเศรษฐกิจ การศึกษาสมัยใหม่ให้มากยิ่งขึ้น

ระหว่างปี 1935 ถึง 1939 ได้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นอีกหลายพรรค ต่างก็เรียกร้องเอกราชให้แก่อินโดนิเซีย แต่ก็ได้ถูกรัฐบาลฮอลันดาปฏิเสธคัดค้านอย่างแข็งขันในที่สุด ซูกาโนหัวหน้าพรรคชาตินิยมได้ถูกทางการฮอลันดาจับกุม

เมื่อกองทัพญี่ปุ่นได้เข้ายึดครองอินโดนิเซียในปี 1942 ญี่ปุ่นรีบปล่อยซูกาโนในทันที เพราะหวังจะได้ใช้ท่านผู้นี้เป็นเครื่องมือของตนในการยึดครองอินโดนิเซีย

ในส่วนที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลามนั้น ฝ่ายญี่ปุ่นได้ใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษและเริ่มดำเนินการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับศาสนาอิสลามทันที การโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่นนี้ได้เริ่มมาก่อนแล้วตั้งแต่ปี 1935 หวังจะได้รับความสนใจจากกลุ่มประเทศมุสลิมในภาคพื้นส่วนนี้ โดยจัดสร้างมัสยิดกลางขึ้นที่เมืองโกเบ พร้อมกันนั้นได้จัดตั้งองค์กรมุสลิมญี่ปุ่นขึ้น ในขณะเดียวกันญี่ปุ่นเริ่มแสดงบทบาทชนิดไม่จริงจังอะไรนัก โดยจัดให้มีการประชุมใหญ่เกี่ยวกับอิสลามขึ้นในประเทศญี่ปุ่น พร้อมฯกับโฆษณาชวนเชื่อดังกล่าวแล้วนั้น ญี่ปุ่นยังได้สนับสนุนนักศึกษาอินโดนิเซียให้เดินทางไปศึกษาในประเทศอาหรับและอียิปต์ ได้ออกนิตยสารเป็นภาษาอาหรับ ในขณะเดียวกันยังได้ประกาศแต่งตั้งบรรดาผู้นำมุสลิมในอินโดนิเซีย เป็นหัวหน้าดำเนินงานเกี่ยวกับกิจการศาสนาอิสลามอีกด้วย เช่น ดร.ฮุซัย ญายา นิงรัต ท่านฮัจญีอับดุลลอฮฺ และท่านอับดุลเกาะฮัรฺ มุซักกัรฺ

เมื่อระยะการยึดครองอินโดนิเซียของญี่ปุ่นใกล้จะสิ้นสุดลง ปรากฏว่าเกิดมีพรรคมุสลิมขึ้นอีกพรรคหนึ่ง ได้ดำเนินนโยบายตามแนวหลักการของอิสลามที่ได้รับการปฏิรูปมาแล้วอย่างจริงจัง พรรคนี้ชื่อ Madjlis Sjura Muslimin Indonesia หรือที่รู้จักกันในนามว่า “มาชูมี” ต่อมากลายเป็นพรรคการเมืองมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนิเซีย ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากบรรดาผู้นำมุสลิมในเกาะชวา มาดูรา และสุมาตรา ผู้นำขั้นสุดยอดของพรรคที่กล่าวมานี้ ก็คือท่าน มุฮัมมัด นาซิรฺ อดีตนายกรัฐมนตรีอินโดนิเซีย ชารีฟฟุดดีน ปราวิรานัครา,มุฮัมมัด รูมและอะบู หะนีฟะฮฺ ผู้นำเหล่านี้ได้ดำเนินการปฏิรูปศาสนาอิสลามและฟื้นฟูสังคมมุสลิมอินโดนิเซียตามแนวทางและข้อคิดเห็นของท่าน มุฮัมมัด อับดุฮฺ ผู้แผ้วทางในการปฏิรูปศาสนาอิสลามในตะวันออกกลาง

พรรค มาชูมี มีกองทัพของตนเอง มีกำลังพลประมาณ 2 หมื่น 5 พันคนพร้อมจะสละชีวิตของตนเพื่อ ญิฮาดให้แก่ศาสนาอิสลามในทุกเมื่อ แต่ก็ได้รับความผิดหวังเป็นอย่างมาก ในเมื่อซูกาโนประกาศเอกราชของอินโดนิเซีย แทนที่จะได้จัดตั้งสาธารณรัฐอิสลามอินโดนิเซียขึ้น กลับไปใช้หลักการปัญจาศีลา(เบญจศีล)เป็นหลักการในทางการปกครองเสีย

อย่างไรก็ตามพรรคมาชูมียังคงดำเนินการต่อสู้ของตนตามแนวหลักการของศาสนาอิสลามอย่างไม่ลดละ ต้องการให้อินโดนิเซียได้เป็นสาธารณรัฐอิสลามให้จงได้ ฉะนั้นจึงได้เกิดการปฏิวัติขึ้นในชวาตะวันตกภายใต้การนำของท่าน เอส.เอ็ม.คารฺโต สาวิรฺโจ ในปี 1953 ต่อมาได้เกิดการปฏิวัติขึ้นอีกในเมืองอาเจ๊ะฮฺ ภายใต้การนำของ ตวนกู ดาวุด

ภายในปี 1955 พรรคมาชูมี พยายามที่จะทำการปฏิวัติยึดอำนาจอีก แต่ก็ต้องล้มเหลว และได้ถูกรัฐบาลประกาศเป็นพรรคการเมืองที่ผิดกฎหมายทันที มีพรรค นะฮฺเฏาะตุล-อุละมาอฺ และพรรคมุสลิมอื่นฯที่มีนโยบายไม่รุนแรงได้ดำเนินการรณรงค์ตามแนวทางของหลักการอิสลามที่ได้รับการปฏิรูปต่อไปจนกระทั่งบัดนี้

ฉะนั้น พอที่จะทำความเข้าใจได้แล้วว่า การปฏิรูปศาสนาอิสลามให้กลับสู่หลักการอิสลามที่แท้จริง ปราศจากราคีแห่งความเชื่ออันงมงายโดยปะปนผสมผสานกันระหว่างศาสนากับขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่าง กลายเป็นพลังมหาศาลให้แก่ชาวมุสลิมนับจำนวนร้อยล้านคนในอินโดนิเซีย ร่วมกันต่อสู้ทั้งในด้านศาสนาและทางการเมืองจนสามารถเรียกร้องเอกราช และประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐอินโดนิเซียขึ้นได้สำเร็จ



ที่มา นิตยสารอัล-ญิฮาดปีที่ 9 อันดับที่ 52