อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

ทุกนาทีของชีวิตดุนยา คือการทดสอบ


-- เจ้าหนูน้อยเอ๋ย
-- ชีวิตในดุนยาเต็มไปด้วย
-- ความจริงใจและการล่อลวง
-- ความซื่อสัตย์และการตลบแตลง
-- ความสบายและความทุกข์
-- ความมั่งมีและความยากจน
-- ความงดงามและความเลวร้าย
-- เจ้าจงจำไว้ให้มั่นว่า
-- ชีวิตตรงนี้ ระยะเวลาของมันสั้นนัก
-- ดังนั้นเจ้าจงเข้มแข็งและอดทน
-- เจ้าจงมั่นคงบนจุดยืนที่ดีงาม
-- เพราะอีกไม่นานหรอก
-- ทุกๆสิ่งที่นี่ จะสิ้นสุดลง
-- แม้เจ้ายังเป็นเด็ก แต่ก็อีกไม่นานหรอก
-- เจ้าจะต้องกลับไปสู่ที่ที่ยั่งยืน
-- ซึ่งตรงนั้น เจ้าจะไม่พบกับการละเมิดใดๆอีกต่อไป
-- เพราะที่นั่น ...
-- คือที่แห่งการตอบแทน จากผู้ทรงเที่ยงธรรม
..." จงสำนึกเสมอว่า ที่นี่คือการทดสอบพฤติกรรม ดังนั้นจงอย่าได้ลุ่มหลงจนหลงทาง เพราะเราทุกคนต้องกลับไปรับการพิพากษาและการตอบแทนโดยอัลเลาะฮฺซ.บ. ผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงเที่ยงธรรม "..

อ.อับดุลเลาะห์ หนูรักษ์

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559

โต๊ะตะเกี่ย อยุธยา



ถามโดย คนอยุธยา

เนื่องจากผู้ถามได้เขียนเล่าเหตุการณ์ที่ประสบมายาวมาก ทางทีมงานจึงขออนุญาตสรุปเป็นประเด็นและตั้งเป็นคำถามได้ดังนี้

เทศกาลของทุกปี โดยเฉพาะวันอีดเล็กและอีดใหญ่ จะมีมุสลิมจำนวนมากแห่กันไปทำพิธีที่มะก่อมของโต๊ะตะเกี่ย เพื่อขอริสกี ขอให้แคล้วคลาด บ้างก็มาแก้บน ผมรู้ดีว่าการทำอย่างนั้นเป็นชิริก แต่ไม่รู้จะห้ามปรามอย่างไร ได้แต่เตือนญาติใกล้ชิด และคนที่พอจะเตือนได้เท่านั้น แต่พวกเขาจะอ้างว่า ไม่ได้ขอกับตะเกี่ย เพียงให้ท่านช่วยขอต่ออัลลอฮ์อีกทีหนึ่ง ข้ออ้างของเขาถูกต้องหรือ

คำตอบโดย อาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้

เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธว่า ยังมีพี่น้องมุสลิมของเราอีกจำนวนมาก กระทำสิ่งที่หมิ่นเหม่ต่อการตกศาสนา ด้วยการบวงสรวง, กราบไหว้, หรือวิงวอนขอต่อสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์ และเหตุการณ์ที่ว่านี้ไม่ใช่เกิดขึ้นที่เดียวตามคนอยุธยาได้ถามมา แต่มะก่อมของบรรดาผู้ที่เขาเชื่อว่าเป็นโต๊ะวะลีกะรอมัตนั้น กระจายอยู่ทั่วเมืองไทย และต่างก็มีตำนานพิสดารอันลือลั่น จนกล่าวกันว่า บุคคลเหล่านั้นตอนที่มีชีวิตอยู่เขาเป็นคนที่มีบุญญาธิการ บางคนสามารถเดินบนน้ำ บางคนเหาะเหิรเดินอากาศได้ บางคนหายตัวได้ บางคนแบ่งร่างไปปรากฏในหลายสถานที่ และฯลฯ สถานที่เหล่านี้ที่ขึ้นชื่อก็เห็นจะมี โต๊ะตะเกี่ย อยู่ที่อยุธยา, โต๊ะเกาะไร่ อยู่ที่ ฉะเชิงเทรา, โต๊ะระยองอยู่ที่ จ.ระยอง, และโต๊ะมะขามอยู่ที่ จ.ตราด เป็นต้น

เนื่องจากความหละหลวมของบรรดาผู้นำตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน ที่ไม่เอารู้เอาชี้กับเรื่องที่เป็นอันตรายต่ออะกีดะห์ของบรรดามุสลิม แต่เขาจะให้ความสำคัญกับอาหารที่จะกินลงท้อง ที่ต้องกวดขันไล่ตีตราฮาลาล แต่มุสลิมเสพอะกีดะห์ผิดๆ เช่นนี้พวกเขากลับนิ่งเฉย จนวันเวลาผ่านไปเนินนานทำให้สถานที่เหล่านี้ถูกมองว่าขลังและศักดิ์สิทธิ จนกลายเป็นที่พึ่งทางใจของผู้คน และไม่เฉพาะมุสลิมเพียงอย่างเดียว บางที่ก็มีการจัดลิเก มหรสพถวาย ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับศาลเจ้าพ่อ,เจ้าแม่ที่มีอยู่ดาษดื่น แต่ที่ไม่น่าเกิดขึ้นก็คือบริเวณที่ทำการนั้นคืออณาเขตของมัสยิด หรือบางที่ไม่ใช่เขตมัสยิดแต่ก็เป็นกุโบร์ของมุสลิม แต่การจะจัดการใดๆในปัจจุบันดูจะเป็นเรื่องยากเข้าไปทุกที เพราะบางสถานที่ก็ได้รับการจดทะเบียนเป็นโบราณสถานไปแล้ว

ที่จริงตามข้อกำหนดของศาสนานั้น หน้าที่ของคนเป็นจะต้องขอดุอาอ์ให้กับผู้ตาย ไม่ใช่ไปขอเอาจากผู้ตาย และหากผู้ตายสามารถเนรมิตสิ่งใดให้ได้ละก็ บุคคลที่ประเสริฐที่สุดที่น่าจะวิงวอนขอมิใช่นบีมูฮัมหมัดหรอกหรือ เพราะท่านก็ตายไปแล้วเช่นกัน หรือบรรดาคลลีฟะห์ บรรดาศอฮาบะห์ผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลายจะไม่ดีกว่าหรือ แต่เราก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะเราประกาศตนอยู่ทุกวัน และวันละหลายครั้งว่า

اِيَّاكَ نَعْبُدُ وَاِيَّاكَ نَسْتَعِيْنُ

“เฉพาะพระองค์อัลลอฮ์เท่านั้นที่เราจะอิบาดะห์ และเฉพาะอัลลออ์เท่านั้นที่เราจะวิงวอนขอช่วยเหลือ” ซูเราะห์อัลฟาติฮะห์ อายะห์ที่ 5

ด้วยเหตุนี้การวิงวอนขอต่อคนตายจึงเป็นชิริก (การตั้งภาคี) อย่างไม่ต้องสงสัยและไม่มีข้อขัดแย้งในหมู่ปวงปราชญ์
ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า

اِذَا مَاتَ الانْسَانُ اِنْقَطَعَ عَنْهُ عَمَلُهُ

“เมื่อมนุษย์ได้ตาย งานของเขาก็จบแล้ว” รายงานโดยอบูฮุรอยเราะห์ บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม ฮะดีษเลขที่ 3084

บุคคลที่นอนอยู่ในกุโบร์นั้น เมื่อตอนเขามีชีวิตอยู่เขาก็ต้องทำอะมัลเหมือนอย่างกับเราที่ละหมาด,บวช,ซะกาต,ฮัจญ์, ขอดุอาอ์, และอื่นๆ แต่เมื่อเขาจากดุนยาไป งานของเขาก็จบ ข้างต้นนี้คือคำยืนยันจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม แต่เราผู้อยู่เบื้องหลังยังไม่ยอมให้งานของคนตายจบด้วยการเอาเขาเป็นสื่อให้ขอดุอาอ์ให้แก่เราอีก
ส่วนคำอ้างที่ว่า “ไม่ได้ขอกับตะเกี่ย เพียงให้ท่านช่วยขอต่ออัลลอฮ์อีกทีหนึ่ง” เป็นคำที่พ้องกับคำของพวกมุชรีกีนที่ได้กล่าวอ้างไว้ ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงนำมากล่าวไว้ว่า

وَالَّذِيْنَ اتَّخَذُوا مِنْ دُوْنِهِ أوْلِيَاءَ مَا نَعْبُدُهُمْ اِلاَّ لِيُقَرَبُوْنَا الِى اللهِ زُلْفًا

“และบรรดาผู้ที่เอาสิ่งอื่นเป็นผู้คุ้มครองนอกจากอัลลอฮ์ (พวกเขากล่าวว่า) เราไม่ได้อิบาดะห์ต่อสิ่งเหล่านั้น นอกจากเพื่อทำให้เราได้ใกล้ชิดต่ออัลลอฮ์” ซูเราะห์อัชซุมัร อายะห์ที่ 3

คนที่ให้คนตายขอดุอาอ์ให้เขาไม่แตกต่างจากมุชรีกีนในอายะห์ข้างต้นนี้เลย



วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559

ความเชื่อเรื่องโต๊ะตะเกี่ย หรือ เจ้าพระคุณตะเกี่ย


ตอบคำถามโดย อ.อาลี เสือสมิง




อ.อาลี เสือสมิง : ความเชื่อเรื่องโต๊ะตะเกี่ย หรือ เจ้าพระคุณตะเกี่ยฯ ที่ตำบลคลองตะเคียน อยุธยา

อ.อาลี เสือสมิง นักวิชาการมุสลิม ได้ตอบคำถามเรื่องความเชื่อเรื่องโต๊ะตะเกี่ย หรือ เจ้าพระคุณตะเกี่ยโยคินราชมิสจินจาสยาม ที่ตำบลคลองตะเคียน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในเว็บไซต์ alisuasaming.org ต่อคำถามที่มีคนถามว่า “ความเชื่อเรื่องตะเกี่ยเป็นอย่างไร และขอรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้ได้รู้สิ่งที่แท้จริง”

“ตะเกี่ย” น่าจะเป็นคำที่มีรากศัพท์มาจาก ตะกียะฮฺ تَكِيَّةٌ มีรูปพหูพจน์ว่า تَكَا يَا (ตะกายา) เดิมหมายถึงบ้านของคนจนหรือคนขอทาน แต่ต่อมาถูกใช้เรียกถึงสถานที่พำนักของศูฟียฺ ซึ่งเป็นคนที่บำเพ็ญสมถะและสละชีวิตทางโลก เรียก ศูฟียฺ อีกอย่างว่า ฟะกีร (فَقِيْرٌ) ซึ่งหมายถึงผู้มีความต้องการใกล้ชิดพระเจ้า โดยปริยายหมายถึง คนจน คนอนาถา หากคำว่า “ตะเกี่ย” มาจากคำว่า ตะกี่ยะฮฺ ก็จะมีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า คอนกอฮฺ (خَا نْقَاه) ซึ่งเป็นคำฟารีสียฺ (ปาซียฺ) และคำว่า ซาวียะฮฺ (زَاوِيَة) ตลอดจนคำว่า ริบาฏ (رِبَاطٌ) ซึ่งทั้งหมดมีความหมายเดียวกันว่า “บ้านหรือที่พักของพวกศูฟียฺ”

และ ความหมายที่ว่านี้ก็สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ของโต๊ะตะเกี่ย หรือเจ้าพระคุณตะเกี่ยโยคินราชมิสจินจาสยาม ที่ตำบลคลองตะเคียน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพราะที่ตั้งของสุสานหรือมะก็อมของเจ้าพระคุณตะเกี่ยเดิมเป็นที่พักอาศัยของ ศูฟียฺท่านหนึ่ง มีชื่อปรากฏตามแผ่นกระดานจารึก (แกะสลักนูนต่ำ) เป็นภาษาเปอร์เซียว่าชัยคฺ ษามะฮฺ มัยมูน ชาฮฺ อัลลอฮฺย๊าร เป็นชาวฮินดูสตาน (อินเดีย) เสียชีวิตในวันจันทร์ เดือนญุมาดาอัล-เอาวัลฺ เวลาเย็น ในปี ฮ.ศ. ที่ 1,000 คือเมื่อสี่ร้อยกว่าปีมาแล้ว กล่าวกันว่า เจ้าพระคุณตะเกี่ยฯ เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2097 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และสิ้นชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2122 ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา แห่งกรุงศรีอยุธยา

มีเรื่อง เล่าขานถึงความกะรอมะฮฺของเจ้าพระคุณตะเกี่ยฯ เอาไว้หลายเรื่องด้วยกัน แต่ทั้งหมดก็เป็นการายงานแบบมุขปาฐะ คือเล่าจากปากสู่ปาก รุ่นสู่รุ่น ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบว่าจริงเท็จประการใด สิ่งที่สำคัญสำหรับเราในฐานะเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลอฮฺ (ซ.บ.) และเป็นผู้ดำเนินตามวิถีของท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ก็คือ สิ่งที่เชื่อถือได้ก็คือ ที่นั่นเป็นสุสานของผู้ศรัทธา เราสามารถซิยาเราะฮฺสุสานดังกล่าวนั้นได้ โดยปฏิบัติเช่นเดียวกับการซิยาเราะฮฺสุสานของมุสลิมทั่วไป

กล่าว คือ ให้สล่ามและขอดุอาอฺจากพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ให้ทรงประทานความเมตตา การให้อภัย และเรื่องดีๆ ที่จะเกิดขึ้นกับผู้ล่วงลับที่อยู่ในสุสานนั้นใน อาลัม บัรซัค และ อาคิเราะฮฺ ส่วนการไปวิงวอนขอโดยตรงให้ผู้ที่ล่วงลับในสุสานให้บันดาลสิ่งต่างๆ ที่ต้องการย่อมเป็นสิ่งต้องห้าม

และถือเป็นการตั้งภาคีใหญ่ดัง เช่นการกระทำของคนต่างศาสนิกที่มาจุดธูปเทียนและนั่งพนมมือขอต่อท่านเจ้าพระ คุณฯ ในเรื่องต่างๆ นั่นแหล่ะคือการตั้งภาคีใหญ่ ส่วนมุสลิมที่อ้างว่า ไม่ได้ขอต่อท่านเจ้าพระคุณฯ แต่อาศัยสถานที่ซึ่งมาบารอกะฮฺเพราะเป็นสุสานของโต๊ะวะลียฺ กะเราะมัตในการตอบรับดุอาอฺที่ขอต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) ผู้ที่อ้างเช่นนั้นก็ต้องรับผิดชอบในสภาวะทางความเชื่อ (อะกีดะฮฺ) ของตน เพราะผู้นั้นย่อมรู้ดีแก่ใจในสิ่งที่ตนกล่าวอ้าง

อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่ต้องหลีกเลี่ยงเพราะเป็นการกระทำที่หมิ่นเหม่ และอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดจากผู้ที่พบเห็น แม้ว่าเจ้าพระคุณฯ จะเป็นวะลียฺจริงมีกะเราะมัตมากมายเพียงใด นั่นก็เป็นเรื่องเฉพาะของท่านที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงประทานให้แก่ท่าน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราในเรื่องความเป็นวะลียฺและกะเราะมัติดังกล่าว และเจ้าพระคุณฯ ก็คือมัคลู๊กที่อ่อนแอเหมือนอย่างเรา คือต้องตาย

จึงให้ข้อสรุปได้ว่า การซิยาเราะฮฺสุสานที่บริเวณมัสยิดเจ้าพระคุณตะเกี่ย เป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้ แต่ต้องระวังในเรื่องความเชื่อ (อะกีดะฮฺ) ตลอดจนการกระทำบางอย่างที่มีคนต่างศาสนิกได้กระทำ ณ สถานที่แห่งนี้ ซึ่งจำเป็นที่ผู้ดูแลต้องบอกกล่าวและห้ามปราม เพราะหากเห็นดีและอำนวยความสะดวกให้คนต่างศาสนิกมากระทำชิรกฺ ณ สถานที่ของชาวมุสลิมโดยไม่มีการห้ามปราม นั่นก็เท่ากับเป็นการริฎอ (ยินดี) ต่อการกุฟรฺ ซึ่งถือเป็นกุฟรฺหรือมุรตัดได้ จึงต้องระวังให้จงหนักในเรื่องนี้

ที่มา http://alisuasaming.org/webboard/index.php?topic=2266.0

















วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2559

ความรักจากอัลลอฮ


บางครั้ง การทำสิ่งที่ถูกต้อง อาจทำให้เราสูญเสียคนรักหรือคนรอบตัว
แต่ เราจะไม่สูญเสียความรักจากอัลลอฮ เพราะพระองค์รักคนที่ทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ

....

In the past people learned Islam from the behavior of Muslims. But today we have to tell people "Don't judge Islam by the actions of the Muslims."
ในอดีต, ผุ้คนรู้จักอิสลามจากการปฏิบัติตนของมุสลิม.
แต่ปัจจุบัน เราต้องคอยบอกผู้คนว่า "อย่าตัดสินอิสลามจากการกระทำของมุสลิม (บางคน)"

...


แปลกๆ ในยุคเรา


* หนุ่มสาวหลายคน เดินเที่ยวได้ทั้งวันไม่เหนื่อย แต่พอเข้าสู่การละหมาดกลับเป็นผู้อ่อนแอ ทำลวกๆกับมัน ประหนึ่งว่าเป็นสิ่งเหน็ดเหนื่อยอย่างที่สุด

* หลายๆคนรู้สึกเพลิดเพลินและรื่นหูจนอินไปตามเสียงเพลง แต่พอได้ยินเสียงอัลกุรอานกลับรู้สึกอึดอัด จนอกแทบระเบิด

* พ่อแม่หลายคนทุ่มเทเรื่องร่างกายลูกด้วยการเลือกเฟ้นอาหารและเสื้อผ้าดีๆ แต่กลับละเลยเรื่องอาหารทางใจที่จะเสริมสร้างศรัทธาและพฤติกรรมอันงดงาม

* หลายคนไม่รู้สึกอันใดเมื่อควักแบ๊งค์ร้อยแบ๊งค์พันจ่ายค่าโทรศัพท์ ค่าเสื้อผ้า ค่ากระเป๋าแพงๆ แต่เมื่อพบตู้บริจาคกลับมองข้ามแบ๊งค์เหล่านั้นไป มุ่งค้นหาเศษสตางค์ แล้วจากนั้นกลับรู้สึกภูมิใจตัวเองยิ่งนักที่ได้หยอดเศษสตางค์นั้นลงไป

* หลายคนตั้งเวลาปลุกตัวเองเพื่อไปทำงาน เพื่อชมฟุตบอล แต่กลับหลับไหลไม่รู้สึกตัวในเวลาละหมาดซุบหฺ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันหยุด ประหนึ่งว่าที่เขาตื่นเพราะการทำงาน และประหนึ่งว่าการละหมาดนั้นหยุดพักได้ตามวันหยุดทำงาน

* หลายคนปล่อยคำพูดตัวเองในทางชั่วร้ายเป็นอาจิน ประหนึ่งว่าคนคนนั้นลืมมลาอิกะฮฺข้างกาย ที่คอยจดทุกคำพูดที่ถูกเปล่งออกมา หรือประหนึ่งว่าเขาตัดสินได้เองว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นไม่เป็นไร

...* แปลกๆแบบนี้ เกิดขึ้นจริงในยุคของเรา *...

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2559

ซาอุดิอารเบีย ประเทศเดียวในโลกที่ยืนหยัดในกิตาบุลลอฮฺ เเละ ซุนนะห์

เราขอปกป้องเเผ่นดินเเห่งเตาฮีด ซาอุดิอารเบีย
ประเทศเดียวในโลกที่ยืนหยัดในกิตาบุลลอฮฺ เเละ ซุนนะห์

.......

อะไรๆก็ซาอุดี้
การกระทำสำคัญกว่าโฆษณา
ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศซาอุดิอาระเบีย ที่มุสลิมต้องเข้าใจ(ก่อนด่า)
_______________________________
การกระทำสำคัญกว่าโฆษณา: ข้อมูลการช่วยเหลือของซาอุฯ ที่มีต่อผู้อพยพชาวซีเรีย เอาไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆได้
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
รวบรวมข้อมูลโดย: อิสลาม บิน มุหัมมัด อัล-หุซัยนียฺ
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมความเกลียดชังและความโง่เขลาที่มีต่อประเทศแห่งเตาฮีด ประเทศซาอุดิอาระเบีย (ขออัลลอฮฺทรงปกปักษ์รักษาดินแดนนี้ ทั้งจากศัตรูภายในและภายนอก) ที่ผุดขึ้นมาในช่วงหลังนี้ ที่มักชอบอ้าง(Claim แต่ไม่มี fact)ว่า ซาอุฯ ไม่ทำอะไรช่วยเหลือพี่น้องชาวซีเรียเลย ดังนั้น ข้อมูลตรงนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง ที่ถูกปกปิดจากสื่อต่างๆ และเปิดตาประชาชนให้เข้าถึงข้อมูลที่เป็น Fact มิใช่แค่ Claim ที่ถูกสำรอกจากปากไปวันๆ
ประเทศซาอุ มีโครงการ " 57 relief programs and projects" ยังๆไงก็ลองไปตามอ่านกันในเว็บกระทรวงต่างๆของเขาดู(บ้าง)
http://www.mofa.gov.sa/sites/mofaen/Pages/Default.aspx
โครงการต่างๆนี้ เกิดตั้งแต่สมัยของกษัตริย์ อับดุลลอฮฺ บิน อับดุลอะซีซ อาลิซาอูด (เราะหิมะฮุลลอฮฺ) ค่ายผู้อพยพต่างๆทั้งในจอร์แดน เลบานอน ตุรกี รวมถึงในซีเรียเอง ก็ได้รับการสนับสนุนทั้งเงิน ทั้งสิ่งของ อาหาร และคน คิดเป็นเงิน 114,362,884 ดอลลาร์ เท่ากับเงินไทยประมาณ 4,098,879,012 บาท รวมถึงจัดตั้งสำนักงานช่วยเหลือในประเทศเหล่านั้น ตั้งแต่ปี 2012 และในรูปก็จะมีรายละเอียด การช่วยเหลือต่างๆ เฉพาะในปี 2013 ปีเดียว (ที่เป็นรูปตาราง)
ข้อมูลเยอะมากจนทั้งยกทั้งแปลไม่ไหว กดดูทีละรูป
ในปี 2014 ซาอุดิอาระเบีย มีประชากรประมาณ 30.8 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.7% จากปี 2013 (ข้อมูลจาก: Kingdom’s Central Department of Statistics and Information (CDSI))
เป็นชาวซาอุฯ 20.7 ล้าน คิดเป็น 67% จากทั้งหมด(เพิ่งเกินครึ่งมาหน่อย) ในขณะที่ชาวต่างชาติมีอยู่ 10.1 ล้าน หรือคิดเป็น 33%
จำนวนของชาวต่างชาติในประเทศซาอุดิอาระเบีย มีประมาณ 10 ล้านคน โดยแบ่งเป็น
- ชาวซีเรีย 600,000 คน
- ชาวเยเมน 800,000 คน
- ชาวปาเลสไตน์ 120,000 คน
- ชาวบังกลาเทศ 500,000 คน
- ชาวฟิลิปปินส์ 500,000 คน
- ชาวโซมาเลีย 30,000 คน
- ชาวอัฟกัน 20,000 คน
- ชาวเนปาล 20,000 คน
- ชาวซูดาน 230,000 คน
- ชาวเอธิโอเปีย 30,000 คน
- ชาวเอริเทรีย 40,000 คน
- ชาวไนจีเรีย 10,000 คน
ที่เหลือคือชาวชาติอื่นที่มักพบทั่วไปในซาอุฯ เช่น ชาวอียิปต์ ชาวอินเดีย ชาวปากีฯ
จำนวนที่กล่าวมาข้างต้น ทั้งหมดไม่ใช่ Saudi born
ข้อมูลจาก UN ในปี 2013 มากกว่า 30% ของผู้อพยพอยู่ในซาอุฯ
16 พฤษภาคม 2015 ซาอุฯ ตีใบอนุญาต(อิกอมะฮฺ) หรือ Residency permits นึกไม่ออกนึกถึง Green card ของอเมริกา ให้กับชาวโรฮิงญ่ากว่า 4 ล้าน ใบ!!!
ต่อมา ผู้อ่านต้องเข้าใจด้วยว่า ประเทศซาอุฯ มีเพื่อนบ้านเป็นศัตรูทั้งนั้น จะขยับตัวทีไม่ได้ง่ายๆ เช่นมีพวก
1.ไซออนิสต์ และพวกครูเสด
2.พวกชีอะฮฺ รอฟิเฎาะฮฺ อิรานียูน
3.พวกคอวาริจญ์ พวกก่อการร้าย
4.พวกศูฟียฺ และพวกบูชากุบูรฺ
5.พวกอะหฺบาช (ตอนนี้อยู่ในเลบานอนแล้วมั้ง)
นี่ยังไม่ได้นับพวกฮูษียฺ พวกนุซอยรียฺ
สุดท้ายนี้ขอจบด้วยหะดีษของท่านรอซูลุลลอฮฺ ﷺ ได้กล่าวว่า:
من لا يشكر الناس لا يشكر الله
"ผู้ใดก็ตามที่ไม่รู้จักขอบคุณคน ก็จะไม่รู้จักขอบคุณอัลลอฮฺ" (สุนัน อบี ดาวูด 4811)
จากรูป: คนที่เข้าไปดูแลผู้อพยพซีเรีย คือเจ้าชาย อัล-วะลีด บิน ตะลัล อาลิ สะอูด (หะฟีเซาะฮุลลอฮฺ) กำลังนะศีหะฮฺผู้อพยพเรื่องการสูบบุหรี่