อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ประธาน สกอจ.ภูเก็ต บุกเดี่ยวต้านชิริกทั่วเมืองภูเก็ต













(เยอะ จริงๆ...ปกป้องอัลอิสลาม จ.ภูเก็ต)

ดาบตำรวจ ดร.โกมล ปธ.กอจ.ภูเก็ต ลงพื้นที่พิทักษ์อิสลาม จัดการศาลเจ้า ที่นำกุรอานและหมวกละหมาดไปบูชา

จากกรณีมีประชาชนมุสลิมในจังหวัดภูเก็ต ร้องเรียนถึงมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ ศูนย์ประสานงานจ.ภูเก็ต พบศาลเจ้าในจังหวัดภูเก็ตมีกุรอานปะปนอยู่จึงได้เข้าตรวจสอบและทำหนังสือแจ้งไปยัง คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดภูเก็ต เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบ วันนี้ 22 พฤศจิกายน 2558 ดาบตำรวจ ดร.โกมล ดุมลักษณ์ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดภูเก็ต ได้ดำเนินนำหมายตรวจความมั่นคงของเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล ลงพื้นที่เข้าตรวจสอบจุดต่าง ด้วยกัน 5 จุด

จุดที่ 1.ศาลเจ้าพ่อตาโต๊ะถ่าหมี สะปำ อ.เมือง จ.ภูเก็ต และได้ขอพบผู้ดูแลศาลเจ้า พร้อมแนะนำชี้แจงเกี่ยวกับความสำคัญของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน และขอซื้อพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านกลับ2เล่นในราคา1000บาท ผู้ดูแลศาลเจ้าให้ความร่วมมือทุกประการ

จุดที่2
สถานที่ละหมาดต้นตระกลูดุมลักษณ์ เจอผ้าสามสีผูกบูชาต้นไม้ ประธานอิสลามจังหวัดภูเก็ตถอดออกผ้าดังกล่าวออก

จุดที่3
ศาลพ่อตาโต๊ะแซะ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ประธานอิสลามจังหวัดภูเก็ตได้ขอเข้าพบผู้ดูแลศาลพ่อตาโต๊ะแซะ พร้อมแสดงหมายตรวจความมั่นคงของเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล ให้กับทางผู้ดูแลศาลได้ทราบ ผู้ดูแลศาลให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ได้พาเดินดูรอบๆและประธานอิสลามจังหวัดได้พบพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านทั้งหมด 4เล่ม ประธานอิสลามจังหวัดได้ขอซื้อพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานกลับด้วยเงิน1000บาท ผู้ดูแลศาลได้มอบหมวกละหมาดให้กับประธานอิสลามจังหวัดภูเก็ตทั้งหมด13ใบ

จุดที่ 4
พ่อตาโต๊ะแซะขาว ,แดง,ดำ (ใกล้หน้าเรือนจำจังหวัดภูเก็ต) ประธานอิสลามจังหวัดภูเก็ต ได้ขอเข้าพบผู้ดูแลศาลเจ้า แต่ปรากฏว่าไม่พบสิ่งที่ละเมิดศาสนาอิสลาม

จุดที่5
พ่อตาโต๊ะหินขาว (ทางไปเกาะสิแหร่) ต.รัษฏา อ.เมือง จ.ภูเก็ต ประธานอิสลามจังหวัดภูเก็ต ได้เข้าตรวจสอบ ปรากฏว่าไม่พบสิ่งที่ละเมิดศาสนาอิสลามแต่อย่างใด
ทั้งนี้จากการตรวจสอบ ศาลเจ้าที่ได้ละเมิดศาสนาอิสลาม รวมแล้ว พระมาคัมภีร์อัลกุรอานทั้งหมด 6 เล่ม และผู้แลได้มอบหมวกให้กับ ประธาน กอจ.ภูเก็ต 13ใบ

ดาบตำรวจ ดร.โกมล กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวทั้งหมดเพื่ออัลลอฮ์ ตนได้บอกกล่าวอธิบายคนต่างศาสนิกที่เป็นผู้สร้างศาลให้เข้าใจแล้วว่าอะไรทำได้ทำไม่ได้ ตนได้รับรายงานจากผู้ดูแลศาลเจ้าอีกว่าพบเห็นมุสลิมจากจังหวัดกระบี่มานั่งอ่านกุรอาน ตนจึงสั่งผู้ดูแลว่า หากพบเห็นอีกให้ถ่ายรูปเก็บไว้ตนจะให้ ภาพละ 500 บาท เพราะการกระทำดั่งกล่าวถือว่าไม่มีในหลักการของอิสลาม
‪#‎ขุนคมคำ‬


ที่มา White news



วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ความในใจของเด็กน้อยชาวซีเรีย

*.. ฟังแล้ว ละอายใจยิ่งนัก ..*

".. มาฟัง ความในใจของเด็กน้อยชาวซีเรียผู้นี้กันครับ .."


(ความหมายจากภาพ)

.. คุณคนขายค่ะ

.. หนูไม่มี(เงิน)ทองสักบาท ในกระเป๋าหนูเลย

.. พ่อหนู(เสียชีวิต)ซะฮีดแล้ว ที่เมืองอาเล็ปโป(จังหวัดหนึ่งของประเทศซีเรีย)

.. (ตอนนี้)นิ้วเท้าของหนู หนูไม่รู้สึกว่ามีมันแล้ว(เพราะมันด้านชา จากการไม่มีรองเท้าใส่)

.. ร่างกายน้อยๆของหนู ความเมื่อยล้าก็เข้ามาย่ำยีมันจนย่ำแย่

.. เป็นไปได้ไหมค่ะ ให้ร้องเท้าหนูได้ไหมค่ะ

.. แล้วหนูจะมอบคนอาหรับทั้งหมด เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน ???

............................................................

..." โปรดดุอาให้พี่น้องมุสลิมมากๆนะครับ "...

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ใครคือผู้จุดไฟ ? ในความหมายอายะฮ์ที่ 17 ซูเราะฮ์อัล-บะกอเราะฮ์


:
คำถามของคุณ Srun Srunlaiman
อัสลามูอาลัยกุม ตอนนี้ เรื่อง ซูเราะห์อัลบากอเราะ อายะที่ 17 กะลังมาแรง อยากให้อาจารย์ ช่วย วิเคราะห์ หน่อยคับ เพื่อปกป้อง คำพูดของอัลเลาะและศาสนาของเราคับ
@@@@@@@

คำตอบ ...

ปราโมทย์ ศรีอุทัย วะอลัยกุมุสสลาม .. ความขัดแย้งในความหมายอายะฮ์ที่ 17 ซูเราะฮ์อัล-บะกอเราะฮ์ก็คือ ใครคือผู้จุดไฟ ? .. ดังที่มีกล่าวในโองการบทนั้น ...
เป็นตัวท่านนบีย์เอง (ตามทัศนะของนักวิชาการบางท่าน) หรือเป็นพวกมุนาฟิก (ตามทัศนะของนักอรรถาธิบายอัล-กุรฺอานส่วนใหญ่ ? ..
ก็ขอเรียนตามตรงว่า ข้อคิดเห็นหรือทัศนะของผมคงไม่ใช่ข้อชี้ขาดของความขัดแย้งในเรื่องนี้หรอกครับ เพราะแม้ผมเองจะยอมรับตามทัศนะและคำอธิบายของมุฟัซซิรีนส่วนใหญ่ก็ตาม แต่ขณะเดียวกัน ก็มี "บางคำ" ในอายะฮ์นี้ที่ผมยังสะกิดใจอยู่เหมือนกัน ..
สรุปแล้ว ในทัศนะผมเห็นว่า "ผู้จุดไฟ" ในอายะฮ์นี้ยังไม่ชัดเจนเพียงพอ - ว่าจะหมายถึงพวกมุนาฟิกหรือท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ? - จนถึงขั้นจะนำไปหุก่มผู้ที่มีความเห็นต่างว่าเป็นกาเฟรฺหรือตกมุรฺตัด ..
เพราะฉะนั้น ประเด็นสำคัญก็คือ ผู้ที่ไปหุก่มกล่าวหาผู้ที่มีทัศนะขัดแย้งกับตัวเองในความหมายของอายะฮ์นี้ว่า เป็นกาเฟรฺหรือตกมุรฺตัด อะไรทำนองนี้ ท่านเคยเฉลียวคิดบ้างไหมครับว่า ท่านยึดอัตตาและมั่นใจตัวเองเกินไป! .. จนกล้านำตัวเองไปเสี่ยงกับการตกเป็นกาเฟรฺเสียเองดังคำกล่าวของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ? ...
Srun Srunlaiman แล้ว อิบนุกะษีร ไม่ชัดเจนหรือคับ
ปราโมทย์ ศรีอุทัย ผมบอกแล้วว่า ผมเองก็ยอมรับในทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ซึ่งรวมถึงท่านอิบนุกะษีรฺด้วย แต่ผมไม่เคยเจอนักวิชาการเหล่านี้ท่านใดกล่าวเลยว่า นี่เป็นทัศนะที่เป็น "อิจญมะอฺ" หรือมติเอกฉันท์ของนักวิชาการทั้งหมด! .. ผู้ใดมีความเห็นต่างไปจากนี้ ถือว่าผู้นั้นตกมุรฺตัดออกจากศาสนาอิสลาม ...
เพราะฉะนั้น ผมจึงสงสัยว่า ผู้ที่หุก่มผู้เห็นต่างว่าตกมุรฺตัดในเรื่องนี้ ท่านเอาหุก่มข้อนี้มาจากนักวิชาการท่านใด ? หรือเป็นเพียงความเข้าใจส่วนตัวของท่านเอง ???
Srun Srunlaiman คับ อาจารย์ ตกลงว่า .......ถ้ามีใครบิดเบือนความหมายกุรอ่านนี้ เขาทำได้ไช่ไหมคับ.......เพราะไม่มีคำสั่งห้ามหรือป่าคับ............ และไม่ต้องไปต่อต้านเขา ไช่ไหมคับ ข้อที่2 หรือว่า ต่อต้านได้ แต่ ห้ามไปบอกว่าเขาตกมุรตัร ขอข้อมูลที่ชัดเจน นิดนุงคับ ข้อที่3.. มีนักวิชาการท่านไหนบ้างคับที่บอกว่า(แปลว่านบีมูฮัมหมัดได้) เอาที่เป็นซุนนะไม่เอาพวกหลงนะคับเช่นก๊อดยานี ที่แปลเป้นภาษาอุรดู แล้วอิควาน(อัลเมาดูดี้) ไปแปลมาอีกที่ ญาซากัลเลาะ...?
ปราโมทย์ ศรีอุทัย บิดเบือนความหมายกุรฺอานทำไม่ได้โดยมติเอกฉันท์ของนักวิชาการครับ แต่ขณะนี้เรากำลังพูดกันถึง "อายะฮ์ที่ 17" ของซูเราะฮ์อัล-บะกอเราะฮ์โดยเฉพาะ ไม่ได้เกี่ยวกับโองการอื่นๆ ...
สิ่งที่ผมยอมรับว่าอึดอัดใจสำหรับนักวิชาการของเราในปัจจุบันก็คือ มักจะ "ฟันธง" ว่าความเข้าใจของเราเท่านั้นที่ถูกต้องในปัญหาขัดแย้งหรือปัญหาที่มีมุมมองต่างกัน ...
ผมขอย้ำอีกครั้งว่า ผมเห็นด้วยกับทัศนะของนักมุฟัซซิรีนส่วนใหญ่ในอายะฮ์นี้ แต่ผมไม่เห็นด้วยกับผู้ที่ไปหุก่มผู้เห็นต่างกับตัวเองในอายะฮ์นี้ว่าตกมุรฺตัด เพราะบอกแล้วว่า มี "บางอย่าง" ในโองการนี้ที่เป็นช่องทางให้เข้าใจต่างกันได้ ...
เพราะฉะนั้น ในกรณีนี้ หากเรา (ซึ่งรวมทั้งผมด้วย) ไม่เห็นด้วยกับเขา ก็ควรชี้แจงตามหลักวิชาการว่า มุมมองของเขาผิดอย่างไร แต่การหุก่มถึงขั้นตกมุรฺตัดนี่ผมไม่เอาด้วยหรอก เพราะผมไม่มีหลักฐานที่จะไปหุก่มเขาอย่างนั้น และผู้ที่ไปหุก่มเขา ก็ให้นำหลักฐานมาตีแผ่ดีกว่าครับ ว่า หลักฐานอยู่ในตำราเล่มใด หรืออยู่ในกฎเกณฑ์ข้อไหนของวิชาการอิสลาม เพราะผมก็อยากจะทราบเหมือนกัน ...
ปราโมทย์ ศรีอุทัย ขอเรียนชี้แจงเพิ่มเติมอีกนิดว่า ทุกท่านรู้ดีอยู่แล้วว่า ผมเป็นซุนนะฮ์ ไม่ใช่เป็นอิควาน แต่ผมเป็นซุนนะฮ์ที่เป็นตัวของตัวเองในด้านวิชาการ มิใช่เป็นซุนนะฮ์ประเภทพวกมากลากไปครับ ...
Srun Srunlaiman อ. จารย์ตอบได้ ชัดเจนคับ แต่มีอยู่อีกข้อคับที่ท่านยังไม่ตอบผมคับ ..............(." ก็มี "บางคำ" ในอายะฮ์นี้ที่ผมยังสะกิดใจอยู่เหมือนกัน .. สรุปแล้ว ในทัศนะผมเห็นว่า "ผู้จุดไฟ" ในอายะฮ์นี้ยังไม่ชัดเจนเพียงพอ - ว่าจะหมายถึงพวกมุนาฟิกหรือท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ? ") ..........คือข้อที่3 คับ .................... "ข้อที่3.. มีนักวิชาการท่านไหนบ้างคับที่บอกว่า(แปลว่านบีมูฮัมหมัดได้) เอาที่เป็นซุนนะไม่เอาพวกหลงนะคับเช่นก๊อดยานี ที่แปลเป้นภาษาอุรดู แล้วอิควาน(อัลเมาดูดี้) ไปแปลมาอีกที่ ญาซากัลเลาะ...?"............ที่ยังสะกิดใจของ อาจารย์อยู่คับ ..?
ปราโมทย์ ศรีอุทัย คุณ SRUN ครับ ทั้งๆที่ผมอธิบายออกชัดเจนอย่างนี้แล้วคุณก็ยังไม่เข้าใจ, ยังพยายามจะให้ผมหุก่ม - เหมือนนักวิชาการของเราบางคนหุก่ม - ต่อผู้ที่มีทัศนะว่า "ผู้ที่จุดไฟคือท่านนบีย์" ว่า เป็นกาเฟรฺ ตกมุรฺตัด.. ซึ่งผมก็บอกแล้วว่าผมทำไม่ได้
ปราโมทย์ ศรีอุทัย ใช่ครับ ผมไม่ปฏิเสธว่า ผมไม่เคยเจอมุฟัซซิรีนท่านใดในอดีตที่อธิบายโองการนี้ว่า ผู้จุดไฟคือท่านนบีย์ .. เท่าๆกับคุณก็ไม่เคยเจอเช่นกันว่า จะมีนักวิชาการท่านใดในอดีตที่หุก่มว่า ใครที่เข้าใจแตกต่างไปจากความเข้าใจของนักวิชาการส่วนใหญ่ เช่นผู้ที่เข้าใจว่าท่านนบีย์เป็นผู้จุดไฟ จะต้องตกมุรฺตัดและจะต้องลงนรก
ปราโมทย์ ศรีอุทัย เพื่อรายละเอียด ผมขออธิบายเพิ่มเติมดังนี้ ...
ปราโมทย์ ศรีอุทัย (1). เนื้อหาของโองการบทนี้ เป็นเพียงการอุปมา - อุปมัยเท่านั้น มิใช่เป็นเรื่องอะกีดะฮ์และไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับอะกีดะฮ์แม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้น ความเข้าใจต่างกันใน "บางจุด" ของเนื้อหา เช่น ความเข้าใจจากคำว่า إستوقد نارا ว่าหมายถึง "จุดไฟเอง" หรือ "ขอร้องให้จุดไฟ" จึงไม่ส่งผลให้ฝ่ายใดที่เห็นต่างกัน ต้องถูกตราหน้าว่า เป็นผู้บิดเบือนอัล-กุรฺอาน หรือตกมุรฺตัดหรอกครับ ...
ปราโมทย์ ศรีอุทัย (2). ผมบอกแล้วว่า มี "บางคำ" ในโองการบทนี้ที่อาจเข้าใจได้ว่า ผู้จุดไฟคือท่านนบีย์ (ดังที่ผมกำลังจะอธิบายต่อไป) เพราะฉะนั้น จึงมีนักวิชาการหลายท่านในประเทศไทยที่มิใช่เป็นพวกอิควาน, มิใช่กอดยานีย์ ได้อธิบายโองการบทนี้ในลักษณะ "แบ่งรับแบ่งสู้" ซึ่งทำให้เข้าใจว่า ผู้จุดไฟในที่นี้ อาจหมายถึงพวกมุนาฟิกก็ได้ หรืออาจหมายถึงท่านนบีย์ก็ได้ .. (ดูตัวอย่างคำอธิบายโองการบทนี้จากหนังสือ "ความหมายอัล-กุรฺอานเป็นภาษาไทย" ของสมาคมนักเรียนเก่าอาหรับ หรือหนังสือ "กุรฺอานุลกะรีม" ของ อ.ซากิรีน บุญมาเลิศ ..
แล้วเราจะกล่าวไหมครับว่า บรรดาอาจารย์เหล่านี้ ตกมุรฺตัดด้วยหรือ ?? ...
ปราโมทย์ ศรีอุทัย (3) ผู้ที่มีทัศนะว่า ผู้จุดไฟคือท่านนบีย์ คงจะมองในแง่ที่ว่า "ไฟ" ในโองการนี้ หมายถึง "แสงสว่างหรือทางนำแห่งอิสลาม" ซึ่งไม่มีความขัดแย้งใดๆของนักวิชาการในความหมายนี้ ...
เพราะฉะนั้น ปัญหาจึงมีว่า แล้วผู้ที่จุดไฟหรือให้แสงสว่างแห่งทางนำของอิสลามแก่ชาวโลกและแก่มุนาฟิกเหล่านั้นควรจะเป็นใคร ? .. ท่านนบีย์หรือพวกมุนาฟิก ? ...
ปราโมทย์ ศรีอุทัย (4) อีกจุดหนึ่งที่เขาคงจะเห็นว่า เป็นเรื่องน่าคิดก็คือ "คำสรรพนาม" สองลักษณะที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงใช้ในโองการนี้ 4 ตำแหน่ง ซึ่งผมขอแปลความหมายเป็นภาษาไทยตรงๆ และจะเน้นจุดสำคัญอันเป็นตำแหน่งของคำสรรพนาม(ตามความเข้าใจข้างต้น ขอย้ำอีกครั้งว่า ตามความเข้าใจข้างต้น) ก็คือ ...
อุปมา "พวกเขา" ก็อุปมัย "ผู้หนึ่ง" ซึ่งจุดไฟขึ้น ครั้นเมื่อไฟนั้นให้แสงสว่างรอบตัว "เขา" แล้ว อัลลอฮ์ก็ได้พรากแสงของ "พวกเขา" ไป ..
เพราะฉะนั้น ถ้าจะอธิบายและเข้าใจความหมายตามรูปคำประโยคโดยไม่มีการ "ตะอ์วีล" หรือเปลี่ยนแปลงใดๆเลยก็จะมีความหมายว่า ... "พระองค์อัลลอฮ์ได้อุปมาพวกเขา (คือพวกมุนาฟิก ) ว่า อุปมัยเหมือนผู้หนึ่ง (?) ซึ่งจุดไฟขึ้นเพื่อให้แสงสว่าง ครั้นเมื่อไฟที่เขาจุดขึ้นให้แสงสว่างรอบๆตัวเขา (?) แล้ว พระองค์อัลลอฮ์ก็ได้พรากแสงสว่างนั้นของพวกเขา (?) ไป และทิ้งให้พวกเขา (?) ตกอยู่ในความมืด, มองไม่เห็น" ....
ปราโมทย์ ศรีอุทัย เพราะฉะนั้น ตามความหมาย "ตรงๆ" ดังที่อธิบายมานี้ ลองพิจารณาดูซิครับว่า คำว่า "พวกเขา" ซึ่งเป็นนามพหูพจน์ และคำว่า "เขา" ซึ่งเป็นนามเอกพจน์ที่ผมใส่เครื่องหมายคำถามไว้ข้างหลังทุกคำควรจะเป็นใคร ? ...
เป็นมุนาฟิกทั้งหมด ? หรือควรจะเป็นท่านนบีย์ด้วย ? ...
ผมขอมอบให้ท่านให้คำตอบด้วยตัวของพวกท่านเองครับ ...
ปราโมทย์ ศรีอุทัย (5). สำหรับความเข้าใจของมุฟัซซิรีนส่วนใหญ่ที่อธิบายว่า สรรพนามทั้ง 4 ตำแหน่งนั้นหมายถึงมุนาฟิกทั้งสิ้น ก็ดูจะขัดแย้งกับข้อเท็จจริงดังที่เห็น จึงต้องอาศัยการ "ตะอ์วีล" เข้ามาช่วยโดยอธิบายว่า อัลลอฮ์ใช้สรรพนามเป็นเอกพจน์ (คนเดียว) ใน 2 ตำแหน่ง แต่ความหมายของมันเป็นพหูพจน์ (หลายคน) คือ "พวกมุนาฟิก" ซึ่งกฎเกณฑ์ภาษาอาหรับก็อนุญาตให้ทำได้ในกรณีดังกล่าวนี้ ...
ในทัศนะของมุฟัซซิรีนส่วนใหญ่จึงได้ความหมาย (หลังจากอธิบายเพิ่มเติมแล้ว) ว่า ... อัลลอฮ์ทรงเปรียบเทียบสภาพของพวกมุนาฟิกว่า ตอนแรกพวกเขายอมรับอิสลามอยู่บ้าง แต่ต่อมาพวกเขาเกิดความสงสัยและแคลงใจ จึงปฎิเสธการศรัทธาเดิมของพวกเขาเสียเพราะไม่เข้าใจคุณค่าและทางนำแห่งอิสลาม แสงสว่างแห่งอีหม่านในหัวใจพวกเขาจึงดับวูบลง และหัวใจของพวกเขาก็กลับคืนสู่ความมืดเช่นเดิม
Srun Srunlaiman อาจารย์คับ ที่บังคนนั้นเอามาอ้าง แล้วตัดต่อคือของอิบนูกาษีร นะคับ .................เขาไม่ได้อ้าง สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับ..................
ปราโมทย์ ศรีอุทัย ผมไม่สนใจและไม่รับผิดชอบต่อข้ออ้างหรือการบิดเบือนใดๆของนักวิชาการท่านใด แต่ผมอธิบายโองการนี้ไปตามความเป็นจริงในมุมมองของผมครับ
สรุปแล้ว เท่าที่ผมอธิบายมายืดยาวนี้ มิใช่เพื่อยืนยันทัศนะที่เห็นต่างกับทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ว่าจะผิดหรือถูก เพราะผมก็บอกมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า ผมเห็นด้วยกับทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ ...
แต่ผมต้องการชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่เข้าใจว่า "ผู้จุดไฟ" ในโองการนี้คือท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ด้วยเหตุผลดังที่ผมอธิบายมาในข้อที่ (3) และข้อที่ (4) (เปิดย้อนกลับไปอ่านดูอีกทีก็ได้ครับ) ...
เราจะถือว่า เขามีความผิดฉกรรจ์, และเสียอะกีดะฮ์จนถึงขั้นตกมุรฺตัด, เป็นกาเฟรฺ และตกนรก เชียวหรือครับ ??? ...
Srun Srunlaiman ชัดเจนคับญาซากัลเลาะ
Srun Srunlaiman ผมหมดข้อสงสัยคับ



การเช็ดผมและใบหูในการอาบน้ำละหมาด


‪#‎เช็ดผมและใบหูครั้งเดียว‬

ไม่ใช่ เอามาแตะๆ

จากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุเซด ว่า

. ثُمَّ مَسَحَ رَأْسَهُ بِيَدَيْهِ فَأَقْبَلَ بِهِمَاوَأَدْبَرَ ، بَدَأَ بِمُقَدَّمِ رَأْسِهِ حَتَّى ذَهَبَ بِهِمَا إِلَى قَفَاهُ ، ثُمَّ رَدَّهُمَا إِلَى الْمَكَانِ الَّذِي بَدَأَ مِنْهُ

......... หลังจากนั้นท่านนบี ศ็อลฯ ได้เช็ดศีรษะของท่านด้วยมือทั้งสองโดยลูบไปมา ท่านเริ่มด้านหน้าศีรษะแล้วไปยังท้ายทอยและท่านก็ลูบย้อนกลับมา ที่เดิม ซึ่งท่านได้เริ่มต้นจากมัน –รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม
อัลมิกดาม อิบนุ มะฮดี ยักริบ ว่า

أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَسَحَ فِي وُضُوئِهِ رَأْسَهُ وَأُذُنَيْهِ ظَاهِرَهُمَا وَبَاطِنَهُمَا وَأَدْخَلَ أُصْبُعَيْهِ فِي صِمَاخَيْ أُذُنَيْهِ } قَالَ الْحَافِظُ : وَإِسْنَادُهُ حَسَنٌ

แท้จริง รซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ลูบศีรษะของท่านและใบหูของท่านในการอาบน้ำละหมาดของท่าน โดย ทั้งภายนอกและภายในและเอาเอานิ้วมือของท่านสอดเข้าในรูหูของท่านทั้งสอง – อัลหาฟิซกล่าวว่า “สายรายงานของมันอยู่ในระดับหะซัน(ดี) – ดู อัลมุวัฏเฏาะอฺ เล่ม 1 หะดิษหมายเลข 194 เรืองการลูบภายนอกและภายในของหู

เวลาลูบหรือเช็ดใบหูนั้น ท่านนบี ศอ็ลฯทำแบบอย่างไว้ดังนี้

مَسَحَ بِرَأْسِهِ وَأُذُنَيْهِ بَاطِنَهُمَا بِالْمُسْبَحَتَيْنِ وَظَاهِرَهُمَا بِإِبْهَامَيْهِ

ท่านนบีลูบศีรษะและหูทั้งสองของท่าน ภายในมันทั้งสองด้วยนิ้วชี้ทั้งสอง และภายนอกของมันทั้งสองด้วยหัวแม่มือของท่าน ทั้งสอง – ดูจากหนังสือที่อ้างแล้ว

และท่านนบี ศอ็ลฯ ได้ลูบศีรษะเพียงครั้งเดียวเท่านนั้นดังหะดิษ

وَعَنْ ابْنِ عَبَّاسٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ { أَنَّهُ رَأَى رَسُولَ اللَّه صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَتَوَضَّأُ فَذَكَر الْحَدِيثَ كُلَّهُ ثَلَاثًا ثَلَاثًا وَمَسَحَ بِرَأْسِهِ وَأُذُنَيْهِ مَسْحَةً وَاحِدَةً . } رَوَاهُ أَحْمَدُ وَأَبُو دَاوُد
รายงานจากอิบนุอับบาส (ร.ฎ)ว่า เขาเห็นรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อาบน้ำละหมาด แล้วเขาได้ระบุหะดิษ ว่า ทั้งหมด ทำสามครั้ง สามครั้ง และท่านได้ลูบศีรษะ และใบหูทั้งสองของท่าน เพียงครั้งเดียว- รายงานโดย อะหมัดและอบูดาวูด - นัยลุลเอาฏอร เล่ม 1 หน้า 201
.........
.
สรุปวิธีอาบนี้ละหมาดของท่านนบี ศอ็ล ซึ่งเป็นผู้ที่เข้าใจคำว่า “

وَامْسَحُواْ بِرُؤُوسِكُمْ

และจงลูบศีรษะของพวกเจ้า
ดังนั้น ใครบอกว่า สุนนะฮนบี ตามก็ได้ ไม่ตามก็ได้เป็นสุนัต ก็ตามแต่จะคิดครับ ไม่มีใครบังคับได้ แต่ผมถือว่า สุนนะฮนบีต้องมาก่อนมัซฮับ
وَامْسَحُواْ بِرُؤُوسِكُمْ
และจงลูบศีรษะของพวกเจ้า

มีคนบอกว่า อักษร “บา” ในข้อความข้างต้น คือ บาอฺลิตตับอีฎ ซึ่งหมายถึง ลูบหรือเช็ดบางส่วนก็ได้ ที่นี้มาดูความชัดเจนในเรื่องนี้

ท่านอิบนุกะษีร (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวอธิบายว่า

وَقَوْلُهُ : ( وَامْسَحُوا بِرُءُوسِكُمْ ) اخْتَلَفُوا فِي هَذِهِ " الْبَاءِ " هَلْ هِيَ لِلْإِلْصَاقِ ، وَهُوَ الْأَظْهَرُ أَوْ لِلتَّبْعِيضِ؟ وَفِيهِ نَظَرٌ عَلَى قَوْلَيْنِ . وَمِنَ الْأُصُولِيِّينَ مَنْ قَالَ : هَذَا مُجْمَلٌ فَلْيُرْجَعْ فِي بَيَانِهِ إِلَى السُّنَّةِ ،

และคำตรัสของพระองค์ (และจงลูบศีรษะของพวกเจ้า) พวกเขามีความเห็นขัดแย้งกันใน กรณีนี้ คือ “อักษรบาอฺ” ว่า มันเป็นบาอฺลิลอิลศอก และมันคือความชัดเจนที่สุด หรือ บาอฺลิตตับอีฎ ?
และในมัน(ในประเด็นอักษรบาอฺ) พิจารณา บนสองทัศนะ และ ส่วนหนึ่งจากนักวิชาการด้านหลักนิติศาสตร์อิสลาม คือผู้ที่กล่าวว่า “กรณีนี้เป็น มุจญมัล (เป็นความหมายโดยรวม) ดังนั้น จงกลับไปดูคำอธิบายมันในอัสสุนนะฮ.......

แล้วท่านอิบนุกะษีรได้นำตัวอย่างหะดิษเกี่ยวการลูบศีรษะ เช่น

หะดิษอับดุลลอฮฺ อิบนุเซด ว่า

. ثُمَّ مَسَحَ رَأْسَهُ بِيَدَيْهِ فَأَقْبَلَ بِهِمَاوَأَدْبَرَ ، بَدَأَ بِمُقَدَّمِ رَأْسِهِ حَتَّى ذَهَبَ بِهِمَا إِلَى قَفَاهُ ، ثُمَّ رَدَّهُمَا إِلَى الْمَكَانِ الَّذِي بَدَأَ مِنْهُ

......... หลังจากนั้นท่านนบี ศ็อลฯ ได้เช็ดศีรษะของท่านด้วยมือทั้งสองโดยลูบไปมา ท่านเริ่มด้านหน้าศีรษะแล้วไปยังท้ายทอยและท่านก็ลูบย้อนกลับมา ที่เดิม ซึ่งท่านได้เริ่มต้นจากมัน

และอิบนุกะษีร ได้กล่าวถึง อัลมิกดาม อิบนุ มะฮดี ยักริบ - ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 3 หน้า 43 อธิบาย ซูเราะฮอัลมาอิดะฮอายะฮที่ 6

หะดิษอัลมิกดาม มะฮดิยักรอบดังกล่าวคือ คือ

أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَسَحَ فِي وُضُوئِهِ رَأْسَهُ وَأُذُنَيْهِ ظَاهِرَهُمَا وَبَاطِنَهُمَا وَأَدْخَلَ أُصْبُعَيْهِ فِي صِمَاخَيْ أُذُنَيْهِ

แท้จริง รซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ลูบศีรษะของท่านและใบหูของท่านในการอาบน้ำละหมาดของท่าน โดย ทั้งภายนอกและภายในและเอาเอานิ้วมือของท่านสอดเข้าในรูหูของท่านทั้งสอง...
...........

ท่านอิบนุกะษีรยืนยันว่า อักษรบฺ ในคำว่า “بِرُءُوسِكُمْ ที่ชัดเจนที่สุดคือ บาอฺ อิลอัลศอก ซึ่งหมายถึงลูบทั้งหมด ไม่ใช่บางส่วน นี้ คือ ความชัดเจน ที่ผู้ต้องการเอารซูลุลลอฮ ศอ็ลฯเป็นแบบอย่างควรจะนำมาปฏิบัติ

หมายเหตุ 

1.บาอฺลิลอิลศอก คือ อักษรบาอฺที่เป็นคำบุพบทที่แสดงบอกว่ารวมกันหรือครอบคลุมทั้งหมด
2. บาอฺลิตตับอีฎ หมายถึง อักษรบาที่เป็นคำบุพบทที่แสดงบอกว่า เป็นส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด



วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คำตอบของดร.ซากิร ไนค์ทำให้หญิงสาวฮินดูขอเข้ารับอิสลาม


จากคำถามของเธอเอง
"ทำไมอิสลามไม่มีวรรณะ?"
"ทำไมการแต่งงานในอิสลามถึงไม่ดูดวง(ดูฤกษ์ยาม)?"
‪#‎สาวฮินดู‬ : "สวัดีค่ะฉันชื่อ อมุตา ฉันทำงานที่สถานทูตอินเดีย"
"ฉันมีคำถามหลายคำถาม,แต่วันนี้จะถามเพียงไม่กี่คำถาม
ทำไมในอิสลามถึงไม่มีระบบชนชั้นวรรณะ และ คำถามที่สองคือ
‪#‎ดร‬.ซากิร ไนค์ : "รบกวนถามทีละคำถามนะครับ..หลังจากผมตอบให้แล้วคุณก็สามารถ ถามคำถามที่สองได้"
สาวฮินดู : "โอเคค่ะ"
ดร.ซากิร ไนค์ : "เธอถามว่าทำไมอิสลามถึงไม่มีระบบชนชั้นวรรณะ เพราะว่าในอิสลามเราเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียม ซึ่งผิดกับในศาสนาฮินดู"
"อัลกรุอาน ซูเราะห์ ฮุจญ์รอต :13 กล่าวว่า "โอ้มนุษย์ชาติทั้งหลาย แท้จริงเราได้ สร้างพวกเจ้าจากเพศชายและเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่าและตระกูลเพื่อจะได้รู้จักกัน
แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่ง ในหมู่พวกเจ้าณ.อัลลอฮฺนั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่ง ในหมู่พวเจ้า"
"หลักเกณฑ์ในการตัดสินของอัลลอฮฺ ว่ามนุษย์คนใดมีความดีกว่ามนุษย์คนอื่น ไม่ใช่เพศ,ไม่ใช่ชนชั้น,ไม่ใช่สีผิว,ไม่ใช่ฐานะ,ไม่ใช่อายุ แต่เป็นความยำเกรง เป็นจิตสำนึกต่อพระเจ้า เป็นความเคร่งครัด เป็นความถูกต้อง"
"หนทางเดียวที่คนฯหนึ่งจะดีกว่าอีกคน ไม่ใช่โดยทรัพย์สิน ไม่ใช่อายุ ไม่ใช่เพศ แต่เป็นความเคร่งครัด เป็นจิตสำนึกต่อพระเจ้า
เป็นความถูกต้อง"
"ซึ่งผิดกับศาสนาฮินดู...ถ้าเราอ่านคัมภีร์พระเวท สุกตะ 1 มันตระ 31
วรรณะพราหมณ์ เกิดจากพระโอษฐ์(ศรีษระ) นั่นคือชนชั้นสูงสุด
วรรณะกษัตริย์เกิดจากทรวงอก
วรรณะแพศย์หรือไวศยะเกิดจากส่วนท้อง
วรรณะศูทร(จันฑาล)เกิดจากเท้า"
" วรรณะกษัตริย์เกิดจากทรวงอก
วรรณะแพศย์หรือไวศยะเกิดจากส่วนท้อง
และ วรรณะศูทร(จันฑาล)เกิดจากเท้าซึ่งวรรณะอื่นแตะต้องไม่ได้เพราะเป็นชนชั้นต่ำ นี่คือสิ่งที่คัมภีร์พระเวทกล่าวไว้"
"ในอิสลามเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน เราไม่เชื่อว่ามนุษย์คนหนึ่งพิเศษกว่าอีกคนเนื่องจากการเกิดหรืออาชีพ หรือทรัพย์สิน หรือสีผิว หรือชนชั้น"
"อิสลามเป็นศาสนาแห่งมวลมนุษยชาติ ซึ่งไม่เหมือนในพระเวท ที่บอกว่าคุณต้องยึดติดกับวรรณะและการงานของคุณ"
"คุณรู้ไหม?..ว่าระบบวรรณะมันถูกควบคุมโดย วรรณะพรามหณ์ ซึ่งมีจำนวนน้อยนิด พวกเขาบอกว่า ถ้าคุณเกิดในวรรณะศูทร คุณต้องรับใช้พวกพรามหณ์ ชาติหน้าคุณอาจจะได้อยู่ในวรรณะที่ดีขึ้น เหล่านี้เป็นความเชื่อ"
"พวกเขาทำให้ชนชั้นต่ำนั้นต่ำลงและชนชั้นสูงนั้นสูงขึ้น"
"อิสลามเชื่อว่าในความเท่าเทียม และอิสลามเป็นศาสนาแห่งมวลมนุษยชาติ นั่นคือเหตุผลที่อิสลามต่อต้านระบบชนชั้นวรรณะ"
"หวังว่านั่นคงตอบคำถามของคุณครับ"
#สาวฮินดู : "โอเคค่ะ..ฉันมีข้อสงสัยอีกอย่างว่า เวลาคุณพูดว่า ซัยยิดมุสลิม ซุนหนี่ หรือชีอะห์ มันหมายความว่ายังไง"
#ดร.ซากิร ไนค์ : " คุณบอกว่าผมพูดว่า ซัยยิดมุสลิม หรือซุนหนี่ หรือชีอะห์..ผมไม่เคยพูดซัยยิดมุสลิมเลยครับ"
"มุสลิมคือผู้ที่ยอมจำนนต่อพระเจ้า ในอิสลามไม่มีนิกาย"
"อัลลอฮฺกล่าวไว้ในอัลดรุอาน ซูเราะห์ อัลฺอิมรอน:103 ว่า
"พวกเจ้าจงยึดสายเชือกของอัลลอฮฺโดยพร้อมกันทั้งหมด และจงอย่าแตกแยกกัน"
"ไม่มีซัยยิดมุสลิม ซุนหนี่หรืออื่นฯ แต่ว่าเรื่องตระกูลแต่ละคนมาจากตระกูลที่แตกต่างกัน
บางคนมาจากตระกูลเชค(ชัยคฺหรือชี๊ค) บางคนมาจากตระกูลซัยยิด(เชื้อสายท่านศาสดา) เพื่อให้รู้รากฐานที่มา
แต่ไม่ได้บ่งบอกว่าตระกูลหนึ่งดีกวาตระกูลหนึ่ง"
"ตระกูลคานดีกว่าตระกูลเชค หรือซัยยิด... "ไม่เลย"
"เพื่อแค่ให้รู้รากฐาน เช่นตระกูลนี้เดิมมาจากดินแดนไหน หรือพื้นที่ไหน เป็นแค่พื้นเพของตระกูลนั้นฯ ไม่ได้หมายความว่า ตระกูลนั้นฯ จะสูงส่งกว่าตระกูลอื่นฯ"
"หนทางเดียวที่มนุษย์คนหนึ่งจะสูงส่งกว่าคนอื่นก็คือ ความเคร่งครัด,ความถูกต้องและจิตสำนึกต่อพระเจ้า"
"หวังว่านั่นคงตอบคำถามคุณ"
#สาวฮินดู :"โอเคค่ะ..คำถามต่อไป ทำไมการแต่งงานในอิสลามถึงไม่มีการดูฤกษ์ยาม(ดูดวง)"
#ดร.ซากิร ไนค์ :" เธอถามว่าทำไมการแต่งงานถึงไม่มี การดูฤกษ์ยาม(ดูดวง) เพราะเราไม่ได้เชื่อการดูฤกษ์ยาม(ดูดวง)"
#สาวฮินดู:"ไม่ว่าเรื่องใดฯ..พวกคุณไม่ดูฤกษ์ยาม(ดูดวง)กันเลยหรือค่ะ"
#ดร.ซากิร ไนค์ : "ครับ..ผมจะตอบให้ ผมจะบอกในสิ่งที่ศาสนาฮินดูสอน เพราะผมก็เรียนเกี่ยวกับศาสนาฮินดูมาเหมือนกัน"
"ศาสนาฮินดูเชื่อเรื่องดวงชะตาหรือที่เรียกว่า กุณฑลี(เครื่องดูดวงชะตา)..คุณรู้จักไหมครับ?"
#สาวฮินดู :"รู้จักค่ะ...มันเรียกว่า กุณฑลี"
#ดร.ซากิร ไนค์ : "กุณฑลี บอกว่าคุณเกิดวันนั้น ดวงอาทิตย์อยู่ตรงนั้น,ดาวนั้นอยู่นี้,ดาวนี้อยู่นั่น มันบอกว่ามันเป็นลางแต่ลางนี้ไม่ใช่,ลางที่มีมาแต่แรกเริ่ม มันเป็นเพียงการสมมุติ..มันบอกว่าถ้าคุณเกิดวันนี้,ถ้าดาวนั้นมานี้ ดาวนี้ไปนั่น มันจะเป็นลาง แต่ไม่ใช่ลางที่มีมาแต่แรกเริ่ม ไม่ใช่ลางบอกเหตุที่ชัดเจน"
"ไม่เหมือนที่เราอ่านในหนังสือเรียนชีววิทยา หรือกุมารวิทยา
ความเชื่อของพวกเขา มันเป็นเพียงการสมมุติและพวกเขาก็พูดเรื่องอนาคต ทุกสิ่งที่กุณฑลีบอกมา มันจะไม่เป็นจริง"
"ในอิสลามการทำนายอนาคตเป็นเรื่องต้องห้าม"
"อัลกรุอาน ซูเราะห์ มาอิดะห์ :90 กล่าวว่า "ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! ที่จริงสุราและการพนันและแท่นหินสำหรับเชือดสัตว์บูชายันต์และการเสี่ยงติ่ว(การดูดวงหรือเสี่ยงทาย) นั้นเป็นสิ่งโสมม
อันเกิดจากการกระทำของชัยฏอน(มารร้าย) ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลจากมันเสีย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ"
"อัลกรุอานบอกว่าการทำนายอนาคต นั้นเป็นสิ่งโสมม อันเกิดจากการกระทำของชัยฏอน ดังนั้นเจ้าจงห่างไกลออกจากมัน"
"ในอิสลามเราไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ สมมุติว่า คุณไปที่เครื่องดูดวง คุณใส่วันที่เกิดแล้วเครื่องมันก็บอกว่า จะมีเรื่องดีเกิดขึ้นกับคุณในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า อาจจะเกิดเรื่องไม่ดีร้อยเรื่องแต่เกิด่รื่องดีสักเรื่อง ก็ต้องมีเกิดขึ้นบ้างนั่นแหละ อีกคนมาดูดวงบ้าง เครื่องบอกว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในหนึ่งเดือนข้างหน้า อาจจะเกิดเรื่องดีร้อยเรื่องแต่เกิดเ่รื่องไม่ดีสักเรื่อง เรื่องพวกนี้เป็นแค่สิ่งที่คลุมเครือ"
"และวิธีการของมันก็แค่หยิบไพ่ขึ้นมา แล้วก็รู้อนาคตเลย"
"ในอิสลามเราไม่เชื่อในการหยิบไพ่ขึ้นมาแล้วทำนายอนาคต หรือโดยการแตะฝ่ามือหรือโดยการดูจากดวงดาว อิสลามต่อต้านเรื่องพวกนี้"
"และหลายต่อหลายครั้งที่คุณเชื่อเรื่องพวกนี้แบบหลับหูหลับตา"
"มีการทดลองสถานการณ์ว่า มีอาจารย์จิตวิทยาท่านหนึ่งกำลังสอนนักเรียนเป็นร้อย หลังจากนั้นผ่านไปหนึ่งสัปดาห์เขาพูดว่า "ตอนนี้ผมรู้พื้นเพของพวกคุณทุกคน ผมจะเขียนเรื่องราวที่พวกคุณแต่ละคนเคยประสบมา"
"แต่อย่าพึ่งเปิดกระดาษที่ผมเขียนจนกระทั่งผมบอกให้เปิด "
เขาก็เขียนให้นักเรียนทุกคน ว่าประสบอะไรมาบ้าง
"ทีนี้เปิดกระดาษและบอกผมมาว่า ผมเขียนตรงมากี่คน"
"มากกว่า 95% ของนักเรียนตรงตามความจริง 90%"
"ความลับก็คือ อาจารย์ท่านนี้เขียนเรื่องเดียวกันลงในกระดาษทุกแผ่น"
"เรื่องเหล่านี้เป็นแค่สิ่งที่คลุมเครือ อิสลามจึงห้ามการทำนายอนาคต
นั่นคือเหตุผลที่ไม่มีการดูดวงในอิสลาม"
"ถ้าการดูดวงก่อนแต่งงานบอกอนาคตได้ แล้วทำไมในครอบครัวฮินดูถึงยังมีการหย่าร้าง"
"ศาสดามุฮัมมัด(ซล.)บอกว่า เมื่อท่านเลือกคู่ครองให้ดูสี่อย่าง
หน้าตา,ฐานะ,เกียรติ,คุณธรรม สิ่งที่ดีที่สุด คือคุณธรรม"
"สิ่งที่ดีที่สุดในการเลือกคู่ครองคือคุณธรรม ไม่ใช่ไปดูดวง"
"ไม่ว่าจะเกิดเดือนกันยา,ตุลาหรือเดือนไหนฯ ก็ไม่มีผลอะไรทั้งนั้น
คุณธรรมต่างหากที่ควรดู นั่นคือเหตุผลว่าผู้หญิงถูกเรียกว่า มุฮัซซินะห์ แปลว่า ปกป้องคุ้มครองจากมารร้าย"
"ในศาสนาอื่นฯรวมทั้งฮินดู ผู้หญิงถูกแทนให้เป็นเครื่องมือของมารร้าย ในอัลกรุอานผู้หญิงในอิสลามถูกเรียกว่า มุฮัซซินะห์ แปลว่า ปกป้องคุ้มครองจากมารร้าย"
"ถ้าเราแต่งงานกับผู้หญิงที่มีคุณธรรม..อินชาอัลลอฮฺ(อัลลอฮฺทรงประสงค์) เธอจะขอพรให้สามีของเธอเดินในหนทางที่ถูกต้อง"
"หวังว่านั่นคงตอบคำถามคุณครับ"
#สาวฮินดู : "ฉันต้องการเข้ารับอิสลาม"(เสียงปรบมือก้องห้องถ่ายทอดของสถานี)
#ดร.ซากิร ไนค์ :"มาชาอัลลอฮฺ(อัลลอฮฺทรงประสงค์)...น้องสาวผู้ซึ่งถามคำถามเมื่อสักครู่..ผมเชื่อว่าคุณเป็นฮินดู "
#สาวฮินดู :"ใช่ค่ะ..ฉันเป็นฮินดู"
#ดร.ซากิร ไนค์ :"
น้องสาว...มาชาอัลลอฮฺ....อัลลอฮฺได้ชี้นำทาง(ฮิดายะห์) และเธอต้องการเข้ารับอิสลาม ผมขอถามคุณครับว่า"
"คุณเชื่อว่าพระเจ้ามีองค์เดียวหรือเปล่า"
#สาวฮินดู :"ฉันเชื่อค่ะ"
#ดร.ซากิร ไนค์ :""คุณเชื่อว่าพระเจ้าไม่ใช่รูปปั้นหรือเปล่า"
#สาวฮินดู :"ฉันเชื่อค่ะ"
#ดร.ซากิรไนค์:"คุณเชื่อว่าไม่มีใครสมควรได้รับการสักการะร่วมกับอัลลอฮฺหรือเปล่า"
#สาวฮินดู :"ฉันเชื่อค่ะ"
#ดร.ซากิร ไนค์ :"คุณเชื่อว่าศาสดามุฮัมมัดเป็นศาสดาสุดท้ายของพระเจ้าหรือเปล่า"#สาวฮินดู :"ฉันเชื่อค่ะ"
#ดร.ซากิร ไนค์ :"อินชาอัลลอฮฺ...ผมจะอ่านคำปฏิญานตนเป็นภาษาอหรับและให้คุณอ่านตามช้าฯ..นะครับ"
"อัชฮะดุ อัลลา อิลาหะ อินลัล ลอหฺ วะอัชฮะดุ อันนะ มุฮัมมะดัร รอซูลุลลอหฺ" ...
#ดร.ซากิร ไนค์ : "ทีนี้ผมจะอ่านความหมายที่กล่าวมาเมื่อกี้และให้คุณกล่าวตามซึ่งเข้าใจง่ายกว่า
"ฉันขอปฏิญาณตนว่าไม่พระเจ้าอื่นใด (ที่ต้องเคารพภักดี) นอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั้น และฉันขอปฏิญาณตนว่ามูฮัมมัดคือศาสนาทูตของพระองค์"
"มาชาอัลลอฮฺ..คุณเป็นมุสลิมแล้ว ขอให้อัลลอฮฺตอบแทนคุณและขอให้คุณได้เข้าสวรรค์"
(เสียงปรบมือดังทั่วห้องส่งสถานี)
รับชมบรรยากาศที่เหลือได้ทางยูทูปตามลิงค์ด้านล่าง

https://m.youtube.com/watch?v=udL_Y9ILoWQ

ถอดความจากยูทูป : Ghani Pasha แปล

ดาบแห่งอัลเลาะห์ แอนตี้ไซออนิสต์ 

ทำไมอิสลามอนุญาติให้แต่งงานได้สี่คน‬


สาวฮินดููถาม : ดร.ซากิร ไนค์ ตอบ
‪#‎สาวฮินดู‬ : "ทำไมผู้ชายมุสลิมสามารถแต่งงานได้สี่คน..
ฉันคิดว่าน่ะ...ไม่เห็นว่ามันจะสมเหตุสมผลเลย เพราะฉันเชื่อว่า ผู้ชาย1คนต่อผู้หญิง 1คน นั่นคือหลักพื้นฐานของการแต่งงาน
ช่วยตอบด้วยค่ะ..ขอบคุณ
‪#‎ดร‬.ซากิร : "ในประเด็นเรื่องการแต่งงานมากกว่าหนึ่ง อิสลามเป็นศาสนาเดียว และอัล-กรุอานเป็นคัมภีร์เล่มเดียวบนโลกนี้ ที่บอกว่าให้แต่งงานแค่คนเดียว"
"ไม่มีคัมภีร์ไหนนอกจากอัล-กรุอานเลย ที่บอกว่าให้แต่งงานเพียงแค่คนเดียว
ไม่มีสักคำในไบเบิล
ไม่มีสักคำในภัควคีตา
ไม่มีสักคำในพระเวท
ที่บอกว่าให้แต่งงานเพียงแค่คนเดียว นอกจากอัล-กรุอาน"
"ถ้าคุณอ่านคัมภีร์ของศาสนาฮินดู พ่อของพระรามเขามีเมียกี่คน
"เขามีเมียกี่คนครับ ?"(ดร.ซากิร ถามสาวฮินดู )
สาวฮินดู(ตอบ) : "มีมากกว่าหนึ่งคนค่ะ "
ดร.ซากิร : "ใช่..มากกว่าหนึ่ง...เขามี 3คน พระกฤษณะจากเรื่องมหาภารตะ...เขามีเมียกี่คน?
สาวฮินดู : "นับไม่ถ้วนค่ะ "
ดร.ซากิร : "ไม่ใช่นับไม่ถ้วน...คุณรู้เรื่องคัมภีร์ของคุณดีรึเปล่า"
สาวฮินดู : "ไม่ค่ะ"
ดร.ซากิร :"เขามีเมียสี่คนใช่ไหม?"
สาวฮินดู : "ฉันเองก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ"
ดร.ซากิร :"ไม่ใช่สี่คน,ไม่ใช่ร้อยคน,ไม่ใช่พันคน..แต่ 16,108 คน"
"เขามีเมียกี่คนนะ ...16,108 คน
แล้วทำไมมุสลิมถึงจะมีเมียสี่คนไม่ได้ ในเมื่อพระกฤษณะ ยังมีได้ถึง 16,108 คนเลย"
"แล้วทำไมมุสลิมถึงมีเมียสี่ไม่ได้"
"ถ้าคุณอ่านคัมภีร์ วิษณุปุราณะ 24:1"พราห์มสามารถมีเมียได้สี่คน"
"ถ้าคุณอ่านคัมภีร์ของชาวยิว คัมภีร์อนุญาติให้ผู้ชายแต่งงานกี่คนก็ได้ตามที่ต้องการ "
"ถ้าคุณอ่านคัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์อนุญาติให้ผู้ชายแต่งงานกี่คนก็ได้ตามที่ต้องการ"
"ถ้าคุณอ่านคัมภีร์ไบเบิล อับราฮัม(อิบรอฮีม)มีเมียสามคน โซโลมอน(สุลัยมาน)เขามีเมียกี่คนรู้ไหม?..เขามีเมีย 700 คน"
"มันเป็นเพียงแค่คำสอนของบาทหลวงเท่านั้นที่ห้ามเรื่องนี้ไว้ ถ้าคริสเตียนต้องแต่งงานเพียงแค่คนเดียว..ไม่ใช่เพราะไบเบิล"
"สังคมชาวยิวก็เคยแต่งงานมากกว่าหนึ่งมาตลอด แต่เมื่อปี ค.ศ.1915
หัวหน้านักบวชเขียนกฏหมายมาว่าคนยิวต้องแต่งงานเพียงแค่หนึ่งคน..นั่นเพราะนักบวชยิว ไม่ใช่คัมภีร์ยิว"
"และถ้าตามคัมภีร์ฮินดู คุณสามารถมีเมียกี่คนก็ได้ตามต้องการ
แต่ปี คศ.1945 รัฐบาลอินเดียร่างกฏหมายใหม่ขึ้นมา ว่าด้วย เรื่องการแต่งงานของชาวฮินดู ที่กล่าวไว้ว่า คนฮินดูต้องแต่งงานเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นไม่ใช่คัมภีร์เลย..ไม่ใช่ภัควัตคีตา..ไม่ใช่พระราม..ไม่ใช่มหาภารตะ..ไม่ใช่พระเวท....แต่เป็นกฏหมายอินเดีย"
"ทีนี้เรามาวิเคราะห์สิ่งที่อัลกรุอานบอกไว้ ซูเราะห์ อันนิสาอฺ 3 "จงแต่งงานกับผู้ที่ดีแก่พวกเจ้าในหมู่สตรีสองคน สามคนหรือสี่คน
แต่ถ้าพวกเจ้าจะให้ความยุติธรรมไม่ได้ ก็จงมีแต่หญิงเดียว"
"คำนี้ที่ว่า จงมีแต่หญิงเดียว มีเฉพาะแต่ในอัลกรุอานและไม่มีในคัมภีร์ของศาสนาอื่นเลย "
"จงแต่งงานกับผู้ที่ดีแก่พวกเจ้าในหมู่สตรีสองคน สามคน หรือสี่คน
แต่ถ้าพวกเจ้าจะให้ความยุติธรรมไม่ได้ ก็จงมีแต่หญิงเดียว"
"ถ้าคุณต้องการแต่งงานมากกว่าหนึ่งตามที่อัลกรุอานบอกไว้ คุณต้องให้ความเท่าเทียมแก่เมียทุกคน ถ้าให้ความเท่าเทียมไม่ได้ จงแต่งงานเพียงคนเดียว"
"ทีนี้มันมีเหตุผลอะไรที่ศาสนาอิสลาม ถึงอนุญาติให้แต่งงานได้มากกว่าหนึ่งคน"
"ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมหลายต่อหลายคนนั้นคิดว่า มันเป็นกฏบังคับสำหรับผู้ชาย ผู้ชายมุสลิมต้องแต่งงานมากกว่าหนึ่งคน มันไม่ใช่เรื่องบังคับ แต่เป็นการส่งเสริม..ย้ำไม่ใช่เรื่องบังคับ"
"คุณรู้จัก ธรรเมนทระ ดาราอินเดียไหม?..เขามีเมียกี่คน?"
สาวฮินดู : "มีเมียสองคนค่ะ"
ดร.ซากิร : "เขาเป็นมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิม?"
สาวฮินดู : "ไม่ใช่มุสลิมค่ะ "
ดร.ซากิร : "นายกอินเดียคนก่อนชื่ออะไร"
สาวฮินดู : " จายาลลิตาค่ะ"
ดร.ซากิร : "เขาเป็นฮินดูหรือมุสลิม ?"
สาวฮินดู : "ฮินดูค่ะ"
ดร.ซากิร : "ที่กล่าวชื่อมาทั้งหมด..นี่คือคนดังน่ะ
คุณรู้จักคนดังอีกกี่คนที่มีเมียมากกว่าหนึ่งคน"
"คราวนี้มาวิเคราะห์ด้วยเหตุผลและตรรกะ"
"ถ้าคุณไปถามหมอน่ะ..โดยธรรมชาติแล้วผู้ชายกับผู้หญิงเกิดมาในสัดส่วนที่เท่ากัน แต่หมอทุกคน กุมารแพทย์ทุกคนจะบอกคุณว่า เด็กทารกเพศหญิงจะแข็งแรงกว่าเด็กทารกเพศชาย "
"นั่นคือเหตุผลที่เราจะพบว่ามีเด็กทารกผู้ชายตายมากกว่าทารกเพศหญิง"
"เฉพาะในวัยทารกอย่างเดียว เพศหญิงจะมีมากกว่าเพศชาย เมื่อโตขึ้น ก็จะมีคนตายเพราะอุบัติเหตุ ตายเพราะเหล้า ตายเพราะสงครามบ้าง มันจะมีผู้ชายตายมากกว่าผู้หญิง"
"ทุกวันนี้ถ้าคุณศึกษาตัวเลขประชากร มันจะมีประชากรผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย"
"อาจจะมีไม่กี่ประเทศ อย่างเช่นอินเดียที่จำนวนผู้ชายมีมากกว่าผู้หญิง คุณรู้ไหมว่าทำไม?"
"เหตุผลเพราะว่าประเทศเรามีการทำแท้งและฆ่าทารก"
"มีบทความจากรายงานของ BBC ในเรื่อง Let her die (ปล่อยให้เธอตาย) นักสารคดีชาวอังกฤษมาทำวารคดีที่อินเดีย
เธอบอกว่าทุกฯปีในอินเดียจะมีการทำแท้งมากกว่าล้านคน หลังจากรู้ว่าได้ลูกสาว"
"เธอบอกว่า มีการทำแท้งมากกว่า 3,000 คนต่อวัน เมื่อลองคูณดูแล้ว มีมากกว่าล้านคนในทุกฯปี"
"จากรายงานของ โรงพยาบาลรัฐทมิฬนาฑู เธอพูดถึงสถิติว่า ถ้ามีเด็กผูัหญิงเกิดมา 10 คน คุณรู้รึเปล่าว่าจะโดนฆ่ากี่คน....4คน "
"คุณรู้รึเปล่า ทมิฬนาฑู รัฐอันเป็นที่รักของคุณ ถ้ามีถ้ามีเด็กผู้หญิงเกิดมา 10 คน จะต้องโดนฆ่าตาย 4 คน"
"มีป้ายข้อความในเมืองราชสถานที่เขียนว่า "จ่าย 500รูปี และเก็บไว้ 500,000รูปี "
"คุณรู้ไหมมันหมายถึงอะไร?...ใช้500รูปี เพื่อทำอุลตร้าซาวน์ และถ้ารู้ผลว่าเป็นเด็กหญิง ก็ทำแท้งซะ!! และสามรถเก็บไว้ 500,000รูปี"
"200,000รูปี อาจเป็นค่าทำคลอด และ 300,000รูปี อาจเป็นค่าเลี้ยงดู"
"ถ้าเราสามารถหยุดพฤติกรรม ชั่วช้าอันนี้ในประเทศอินเดีย อันเป็นที่รักของเราได้ หยุดทำแท้งทารกหญิง ,หยุดฆ่าทารกหญิง จำนวนผู้หญิงในอินเดีย ก็อาจจะมากกว่าผู้ชาย"
"ถ้ามาดูจำนวนประชากรบนโลก เฉพาะในนิวยอร์ค มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 1 ล้านคน"
"เฉพาะในสหรัฐอเมริกา มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 7.8 ล้านคน "
"เฉพาะในสหราชอณาจักร มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 4 ล้านคน"
"เฉพาะในเยอรมัน มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 5 ล้านคน"
"เฉพาะในรัสเซีย มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 9 ล้านคน"
"และพระเจ้ารู้ดีว่าทั้งโลกมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเท่าไหร่"
"ถ้าผมเห็นด้วยกับคุณ..ที่บอกว่า ผู้ชายหนึ่งคนต่อผู้หญิงหนึ่งคน และสมมุติว่าน้องสาวผมหรือน้องสาวคุณไปอยู่ที่อเมริกา
และสมมุติว่าเศรษฐกิจ อยู่ในช่วงขาขึ้น ชาย 1 คนต่อหญิง 1 คน"
"จะทำให้มีผู้หญิง 7.8 ล้านคน ที่ไม่สามารถหาสามีได้"
" ชาย 1 คนต่อหญิง 1 คน"
"ดังนั้น..ทางเลือกสำหรับผู้หญิง 7.8 ล้านคนที่ว่าก็คือ แต่งงานกับคนที่มีภรรยาอยู่แล้ว หรือกลายเป็นผู้หญิงสาธารณะ"
"คุณอาจจะบอกว่า"ดร.ซากิร ไนค์ ผู้หญิงสาธารณะ คำนี้โครตแรงเลย"
"นี่เป็นคำที่สุภาพที่สุดแล้วเท่าที่ผมจะหาได้ มันยังมีคำที่แรงกว่านี้อีก ผมไม่อยากใช้คำพูดพวกนั้น"
"จากสถิติของอเมริกา โดยเฉลี่ยแล้ว ก่อนผู้ชายจะแต่งงานเป็นหลักแหล่ง เขาเคยนอนกับผู้หญิงอื่นมาแล้ว 8 คนโดยเฉลี่ย"
"บางคนเคยมีคู่นอน 1 คน,บางคน 10 คน,บางคน 20 คน,แต่โดยเฉลี่ยแล้ว 8 คน"
"ดังนั้นถ้าน้องสาวผมหรือน้องสาวคุณอยู่ที่อเมริกา และเป็นช่วงที่เศรษฐกิจดี ผู้ชายทุกคนจะหาภรรยา
และสมมุติว่าน้องสาวผมหรือน้องสาวคุณอยู่ในกลุ่มที่ยังหาสามีไม่ได้ "
"ทางเลือกของเขาก็คือ แต่งงานกับคนที่มีภรรยาอยู่แล้ว หรือกลายเป็นผู้หญิงสาธารณะ(นางบำเรอ) ?"(ดร.ซากิร ไนค์ถามสาวฮินดู)
สาวฮินดู: "น้องสาวฉันยังเด็กสำหรับเรื่องแต่งาน"
ดร.ซากิร :"เมื่อเธอโตขึ้นและอยู่ที่อเมริกา...เธอจะเลือกเอง"
"ในอเมริกา...ผู้หญิงสาธารณะไม่มีสิทธิ พวกเธอเสื่อมทราม พวกเธอไม่ได้รับเกียรติ"
"ในอิสลามภรรยาคนที่สองจะได้รับความเสมอภาค มีเกียรติ"
"คุณจะเลือกอันไหนให้น้องคุณเมื่อเธอโตขึ้น"
"บางทีการพูดความจริงมันยากน่ะ"
"ยิ่งพูดต่อหน้าคนจำนวนมากอย่างนี้ อย่างไรก็ตามคิดว่าคุณได้รับคำตอบแล้วครับ แต่คุณไม่กล้าพูด"
"นั่นคือเหตุผลที่อิสลามอนุญาติให้ผู้ชายมีมากกว่าหนึ่งคนได้"
สาวฮินดู :"ขอบคุณค่ะ..สำหรับคำตอบ"
‪#‎เพิ่มเติม‬#
ถาม "ถ้าจะมีภรนยาคนที่สอง ต้องขออนุญาติจากภรรยาคนแรกก่อนรึเปล่า?"
ดร.ซากิร ไนค์:ตอบ
"อัลกรุอานบอกไว้ว่า ผู้ชายแต่งงานได้มากกว่าหนึ่งคนได้ ไม่จำเป็นต้องขออนุญาติภรรยาคนแรก แต่อย่างน้อยช่วยบอกให้ภรรยารู้"
"เว้นแต่จะมีการกล่าวคำสัญญาระหว่างกันในตอนแต่งงาน สามีภรรยาสามารถให้คำสัญญาตอนแต่งงานได้
ถ้าหากภรรยาได้ให้คำสัญญาในตอนแต่งงานว่า
"สามีฉันไม่สามรถแต่งงานกับคนที่สองได้ ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่"
"ถ้าหากภรรยาได้กล่าวไว้อย่างที่บอกมา มันจะกลายเป็นวายิบ(ข้อบังคับ)ทันที สามีต้องขออนุญาติก่อน
ถ้าไม่อย่างนั้นก็แต่งงานเพิ่มไม่ได้"
"ถ้าหากไม่ได้มีสัญญาตอนแต่งงาน มันไม่ได้เป็นเรื่องบังคับ ว่าต้องขออนุญาติ"
"นี่คือคำตอบที่คุณถามมา "

ถอดความจากยูทูป : Ghani Pasha แปล

ชมคลิป : https://m.youtube.com/watch?v=3NInXZI6W6Y

ดาบแห่งอัลเลาะห์ แอนตี้ไซออนิสต์ เรียบเรียง


วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ประวัติ ซากิร ไนค์


แพทย์อัจฉริยะ นักเผยแผ่อิสลามแก่คนมิใช่มุสลิม

อบู ริญาล เรียบเรียง

ดร.ซากิร อับดุลการีม ไนค์ เกิดวันที่ 18 ตุลาคม 1965 ในเมืองมุมไบประเทศอินเดีย ท่านเป็นแพทย์อัจฉริยะ ที่รู้จักกันดีในนามของนักบรรยายอิสลามและศาสนาเปรียบเทียบระดับโลก
ใครก็ตามที่ได้มีโอกาสรับฟังการถาม-ตอบปัญหาของท่านจะต้องตกตะลึงและประหลาดใจในการอธิบายอิสลามจากมุมมองที่สามารถเข้าใจง่ายและสร้างความกระจ่างต่อความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอิสลาม ด้วยกับการยกตัวบทจากอัลกุรอานและฮาดิษโดยความจำของท่าน และนอกจากนี้ท่านยังสามารถจดจำตัวบทต่างๆและสามารถอ้างอิงหลักฐานจาก คัมภีร์ ไบเบิล ตัลมูด เตารอต และมหาภารตะ และ ภควัท คีตา รวมทั้งพระไตรปิฎก และคัมภีร์อื่นๆอีกจำนวนมาก พร้อมทั้งสามารถให้คำตอบที่กระจ่างชัดด้วยกับเหตุผล ตรรกะ และข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งท่านได้อ่านหนังสือเป็นจำนวนมากจนมีความลึกซึ้งในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะในเริ่องของ วิทยาศาสตร์ ข้อเท็จจริงทางคณิตศาสตร์และทฤษฏีต่างๆ
ดร.ซากิร ไนค์ มีชื่อเสียงในเรื่องของการเป็นนักวิเคราะห์ วิจารณ์ และให้คำตอบที่ชัดเจนต่อปัญหาอันท้าทายและค้างคาใจโดยเฉพาะจากผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม ยิ่งกว่านั้นท่านสามารถตอบด้วยความจำในการปราศรัยต่างๆอย่างแม่นยำ ท่านได้บรรยายและปราศรัยต่อสาธารณชนให้แก่มุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมใน 7 ปีที่ผ่านมามากกว่า 700 ครั้ง โดยบรรยายในสหรัฐอเมริกาา แคนนาดา อังกฤษ ซาอุดิอาราเบีย คูเวต กาตาร์ บาห์เรน แอฟริกาใต้ ออสเตเรีย มาเลเซีย สิงค์โปร ฮ่องกง รวมประเทศประเทศไทย และประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในอินเดียบ้านเกิดของท่าน
ท่านได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการเข้าร่วมการอภิปรายปัญหา และ การสนทนากับกับบุคคลที่มีชื่อเสียงของศาสนาอื่นๆ ท่านเคยสนทนาในเวทีสาธารณะกับ ดร. เดวิด แคมเบลล์ จากสหรัฐอเมริกา ในหัวข้อ “อัลกุรอานและไบเบิลศาสตร์แห่งทางนำ” ซึ่งจัดขี้น ที่เมือง ชิคาโก ประเทศ สหรัฐอเมริกา ในเดือน มิถุนายน ปี 2000
ท่านเป็นผู้ก่อตั่งและเป็นผู้อำนวยการของ สถาบันวิจัยอิสลาม Islamic Research Foundation (IRF) ซึ่งเป็นหน่วยงานการกุศล ตั่งอยู่ที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย โดยทำงานดะวะฮฺ ให้ความเข้าใจและความลึกซึ้งในคำสอนอิสลาม พร้อมกับขจัดความเข้าใจอิสลามผิดๆ ให้แก่ผู้ไม่ใช่มุสลิมและมุสลิมที่ยังไม่เข้าใจ
IRF ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น ดาวเทียว ทีวี เคเบิลทีวี อิเตอร์เน็ต ในการนำเสนออิสลามอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก และให้ความอำนวยสะดวกแก่ผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจสัจธรรมและคำสอนของอิสลาม โดยนำมาจากตัวบทของอัลกุรอานละฮาดิษ รวมทั้งใช้เหตุผลและ ตรรกะ และข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
ดร.ซากิร ไนค์ ได้ออกทีวีที่มีเครือข่ายเชื่อมโยง 100 กว่าประเทศทั่วโลก และท่านมักได้รับเชิญให้ออกอากาศทางทีวีและวิทยุต่างๆเสมอๆ โดยมีเทปบันทึกการสนทนา และการโต้วาที และการประชุมอภิปรายปัญหาต่างๆ เป็น เทป วิดีโอ และ ซีดี เป็นจำนวนมาก ในเวปไซต์ http://www.irf.net/ นอกจากนี้ท่านยังมีผลงานเขียนเกี่ยวกับอิสลามและศาสนาเปรียบเทียบอีกเป็นจำนวนมาก
มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งในช่วงที่มีเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ตึกเวิลด์เทรดถล่ม ท่านได้เดินทางไปประเทศ สหรัฐอเมริกาและได้ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพาตัวท่านไปสอบสวนและได้ถามคำถามเกี่ยวกับทัศนะของท่านกับ เหตุการณ์ณ์ 11ก.ย.และคำถามต่างๆจำนวนมากเกี่ยวกับอิสลาม เช่นการญิฮาด
ท่านได้ชี้แจ้งด้วยกับการใช้วิทยปัญญา จากความรู้ที่ท่านได้จดจำ โดยสร้างความประหลาดใจให้แก่พวกเขา ท่านสามารถที่จะอธิบาย คำสอนของศาสนาต่างๆและชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงของอิสลามได้ ทำให้มีคนจำนวนมากรุมล้อมท่านเพื่อต้องการถามเกี่ยวกับอิสลามและแม้แต่ศาสนาของพวกเขาเอง
ชัยคฺ อะห์มัด ดีดาตนักบรรยายอิสลามและศาสนาเปรียบเทียบ ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ได้เรียกดร.ซากิร ไนค์ ว่า “ดีดาต พลัส ”(ยิ่งกว่าดีดาต) ซึ่งในเดือนพฤษภาคม ปี 2000 เขาได้มอบเหรียญรางวัลให้แก่ท่าน ในเรื่องความประสบความสำเร็จทางด้านการดะวะฮฺและการศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ และได้กล่าวกับท่านว่า. . “ลูกชาย ! สิ่งที่คุณทำในสี่ปี ฉันต้องใช่เวลาสี่สิบปีจึงจะทำสำเร็จ อัลฮัมดูลิลลาฮฺ ”
ดร.ซากิร ไนค์ เป็นบุคคลที่มหัศจรรย์ ด้วยความอัจฉริยะของท่าน รวมทั้งการเดินทางทั่วโลกอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรยาย และจัดโปรแกรมอบรมการดะวะฮฺ ซึ่งประกอบด้วยการหลักสูตรการฝึกอบรมระหว่างประเทศ สำหรับอบรมนักดาอีย์ให้มีประสิทธิภาพในการเผยแพร่อิสลาม

หนังสือส่วนหนึ่งของดร.ซากิร ไนค์
1. REPLIES TO THE MOST COMMON QUESTIONS ASKED BY NON-MUSLIMS
2. QUR'ÂN AND MODERN SCIENCE - Compatible Or Incompatible
3. CONCEPT OF GOD IN MAJOR RELIGIONS
4. ISLAM AND TERRORISM
5. WOMEN'S RIGHTS IN ISLAM - Protected Or Subjugated?
6. AL-QUR'ÂN - Should it be Read with Understanding?
7. IS THE QUR'ÂN GOD'S WORD?

credit http://www.fityah.com


การแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องมีโอกาสสูงมากที่เด็กเกิดมาจะพิการ ทำไม?..ถีงเป็นที่อนุญาติในศาสนาอิสลาม



หนุ่มวิศวกร..ถาม/ดร.ซากิร ไนค์..ตอบ
# หนุ่มวิศวกร : "ผมชื่อราหุล.ผมเป็นวิศวกรโทรคมนาคม ทำงานอยู่ที่ประเทศดูไบตั้งแต่ปี 2002 ผมมีคำถามสองสามคำ"
"ในความคิดของผมฯว่าการนับถือศาสนาเนี่ย เรานับถือเนื่องจากเป็นการป้องกัน การประสบปัญหาในชีวิต"
"คำถามแรกก็คือ ผมได้อ่านบทความที่เขียนโดยหมอว่า ด้วยการแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้อง มีโอกาสสูงมากที่เด็กจะเกิดมาพิการ มันจะมีโอกาสสูงที่จะทำให้เด็ก เกิดมาไม่มีแขนมีขาบ้าง"
"ถ้าสิ่งนี้เรียกได้ว่าเป็นอันตราย มันด็ไม่ควรเป็นที่อนุมัติในอิสลาม"
"อีกอย่างนึง คือผมได้ประสบกับโรคความดันโลหิตสูง แล้วผมไปหาหมอ สิ่งแรกที่หมอบอกก็คือ ให้หยุดรับประทานเนื้อ สิ่งนี้ก็เป็นที่อนุญาติในศาสนาอิสลามอีกเหมือนกัน"
"ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นอันตรายต่อร่างกานมนุษย์ มันไม่ควรเป็นที่อนุมัติจากผู้ที่สร้างเรามา"
"ช่วยตอบคำถามผมหน่อยนะครับ"
‪#‎ดร‬.ซากิร ไนค์ : "คุณถามมาสองคำถาม คำถามแรกคือการแต่งงานในเครือญาติ"
"การแต่งงานในเครือญาติ หมายถึงการแต่งงานระหว่างญาติที่ ใกล้ชิดกัน ในภาษาอังกฤษเรียกว่า tradition of cousin marriages"
"และการแต่งงานในเครือญาติเนี่ย ในวงการแพทย์บอกเราว่า มันจะมีโอกาสสูง ที่จะเกิดปัญหาทางพันธุกรรม..ผมเห็นด้วยกับคุณ"
"แล้วทำไมอิสลามจึงอนุญาติล่ะ"
"อัลกรุอานกล่าวไว้ใน ซูเราะห์ อันนิสาอฺ 22-24 ว่า" ผู้หญิงที่เราแต่งงานได้และผู้หญิงที่เราแต่งงานไม่ได้มีใครบ้าง"
"คุณไม่สามารถแต่งงานกับพี่สาว,น้องสาว,และผู้หญิงก็ไม่สารถแต่งงานกับพี่ชาย,น้องชาย ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่หรือลุง,ป้า,น้า,อา"
นั่นคืออัลกรุอานได้บอกว่า ญาติสนิทที่ใกล้มากฯมีใครบ้าง"
"พี่น้องแต่งงานไม่ได้ ลูกชายกับแม่,ลูกสาวกับพ่อ,หลานชายกับป้า,น้าสาว,อาสาว,และหลานสาวกับลุง,อา,น้าชาย แต่งงานกันไม่ได้"
"ฉนั้น..การแต่งงานในเครือญาติ ปัญหาทางพันธุกรรมจะตามมาเมื่อคุณแต่งงานกับพี่น้องแท้ฯ หรือแม้กระทั่ง พ่อแต่งกับลูกสาวหรือแม่แต่งกับลูกชาย หรือ ลุง ป้า น้า อา โอกาสมันก็ยังมีอยู่"
"แต่ถ่าคุณแต่งกับลูกพี่ลูกน้อง โอกาสมันยังมีน้อย"
‪#‎หนุ่มวิศวกร‬ : "นั่นไม่ใช่ตามที่บทความบอกไว้ บทความบอกว่าแต่งกับลูกพี่ลูกน้อง ไม่ใช่แต่งกับพี่น้อง"
#ดร.ซากิร ไนค์ : ให้ผมตอบให้จบก่อนนะครับ!! ผมเองก็เป็นหมอแล้วผมก็เป็นด็อกเตอร์ด้วย นั่นหมายถึงเป็นด็อกเตอร์ทางการแพทย์
"ถ้าพี่น้องร่วมพ่อ ร่วมแม่แต่งงานกัน โอกาสมันก็มีสูง พ่อกับลูกแต่งงานกัน มีโอกาสสูง"
"คุณอ่านมาแค่บทความเดียว หรือได้อ่านบทความอื่นมาบ้างด้วย"
"คุณอ่านแต่บทความหนังสือพิมพ์ ผมอ่านตำราทางการแพทย์"
"บทความในหนังสือพิมพ์ น่าเชื่อถือกว่า ตำราทางการแพทย์รึเปล่าครับ?"
#หนุ่มวิศวกร: "ที่คุณจะบอกก็คือ การแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้อง โอกาสเกิดโรคทางพันธุกรรมมีน้อยใช่ไหมขึ้นอยู่กับพ่อแม่เจ้าบ่าว เจ้าสาว"
#ดร.ซากิร ไนค์ : คุณให้ผมตอบให้จบก่อนไม่ได้เหรอ"
#หนุ่มวิศวกร : "ครับฯ..ผมขอโทษ"
ดร.ซากิร ไนค์ : "คุณคงเชื่อในบทความที่อ่านซิน่ะ"
#หนุ่มวิศวกร : "ไม่..ผมแค่อยากหาว่าความจริงเป็นยังไง"
#ดร.ซากิร ไนค์ : "ถ้าคุณบอกว่าการแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องมีโอกาสเกิด..ผมเห็นด้วย ไม่ได้บอกว่าไม่มีโอกาส แต่เมื่อมาเทียบกับการแต่งงานกับพี่น้องกันเองมันมีโอกาสเกิดน้อยกว่า "
"ทีนี้...ผมเห็นด้วยกับคุณ ที่ว่ามันจะเกิดโรคทางพันธุกรรมหลายฯโรค..แต่บทความที่คุณอ่าน มันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ ได้มีการแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องแล้วรุ่นหนึ่ง"
"และท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล.) ได้บอกไว้ว่า"อย่าแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องหลังจากที่มีการแต่งแบบนี้มาแล้วรุ่นหนึ่ง"
"ถ้าผ่านไปแล้วสองรุ่นไม่มีปัญหา และถึงแม้ว่าคุณไม่ได้แต่งกับญาติ โอกาสทางการเกิดโรคพันธุกรรม(ด้วยสาเหตุอื่น)มันก๊มีคุณรู้รึเปล่า"
"นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องไม่ได้"
#หนุ่มวิศวกร : มีหะดีษที่พูดถึงเนื่องนี้ใช่ไหมครับ"
#ดร.ซากิร ไนค์ : "ใช่ถ้าเป็นรุ่นแรกไม่มีปัญหา"
"ทีนี้มาสู่คำถามที่สอง คุณไปหาหมอมาเพราะความดันขึ้นสูง หมอบอกว่าคุณได้กินเนื้อมา แล้วทำไมอิสลามจึงอนุญาติให้กินเนื้อ"
"เพื่อนผมแกไปหาหมอมา แล้วหมอบอกว่าแกเป็นเบาหวาน ให้หยุดกินน้ำตาล ทำไมคุณถึงยังกินน้ำตาล"
"ทำไมยังกิน.....หยุดกินน้ำตาลซิ"
"คุณกินน้ำตาลรึเปล่า?(ดร.ซากิร ถามหนุ่มวิศวกร)
#หนุ่มวิศวกร : "กินครับ"
ดร.ซากิร ไนค์ : "ทำไมยังกินอยู่ล่ะ...หยุดกินซิ"
#หนุ่มวิศวกร : "มันอาจมีประโยชน์ในหลายฯทาง"
#ดร.ซากิร ไนค์ : "คุณอยู่ได้โดยไม่มีน้ำตาลเหรอ
ขนาดมังสิวิรัตยังมีน้ำตาลเลย คุณได้อ่านเรื่องนี้บ้างไหม"
"มาชาอัลลอฮ...เพื่อนผมคนนั้นมีปัญหาเกี่ยวกับระบบอาหาร ในระบบอาหารมันมีต่อมหนึ่งที่คอยกำจัดน้ำตาลอยู่
เนื่องจากเพื่อนผมแกมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เขาจึงกำจัดน้ำตาลในเลือดไม่ได้ หมอจึงให้เขาหยุดกินน้ำตาล"
"คุณมีปัญหากับการกินเนื้อ คุณก็ไม่ต้องกินเนื้อ คนอื่นก็กินได้ตามปกติ"
"อัลกรุอานบอกไว้ในซูเราะห์ อัลมาอิดะหฺ 88 ว่า " จงบริโภคสิ่งที่อนุมัติและดีต่อเจ้า"
"ดังนั้นถ้าอิงจากอัลกรุอาน สำหรับคนที่เป็นเบาหวานแล้ว น้ำตาลจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีแก่เขา "
"อัลกรุอานบอกไว้ในซูเราะห์ อัลมาอิดะหฺ 88 ว่า " จงบริโภคสิ่งที่อนุมัติและดีต่อเจ้า"
"นั่นแสดงว่ามันต่องมีทั้งสิ่งที่ดีต่อคุณและไม่ดีต่อตัวคุณ
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ดีต่อทุกคน....เหล้า
เหล้าเป็นอันตรายต่อทุกคน เหล้าจึงเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับทุกคน "
"เนื้อหมูเป็นอันตรายต่อทุกคน เนื้อหมูจึงเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับทุกคน "
"อาหารที่กินไปของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะวิธีการสร้างเมตาบอลริซึ่ม แต่ละคนไม่เหมือนกัน"
"ดังนั้น..เนื้อเป็นปัญหาต่อคุณ มันไม่ได้หมายความว่า มันจะเป็นปัญหาต่อคนอื่นด้วย"
"หวังว่านี่คงจะตอบคำถามของคุณ"

ที่มายูทูป : Ghani Pasha

ชมคลิป https://m.youtube.com/watch?v=qMNDJxFR6oA

Credit..ดาบแห่งอัลลอฮฺ แอนตี้ไซออนิสต์

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ความจริงบางประการเกี่ยวกับ หะบีบ อุมัร บิน หาฟิษ



________________________________________

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณา ผู้ทรงเมตตายิ่ง

มวลการสรรเสริญแด่พระองค์ ไม่มีสิ่งใดที่จะถูกเคารพสักการะอย่างเที่ยงแท้ นอกจากเอกองค์อัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว ขอความสันติและความจำเริญจงพระสบแด่ท่านนบี มุหัมมัด และวงศ์วานของท่าน และสหายของท่าน และบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามพวกเขาเหล่านั้นด้วยดี

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีข่าวคราวการมาเยี่ยมเยียนของอุละมาอฺจากประเทศเยเมน มีการโฆษณาอย่างโจษจันว่า เขานั้นมีเชื้อสายของท่านนบี ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม หลายต่อหลายต่างตั้งคำถามว่า "ใครคือหะบีบ อุมัร?"

จากการค้นคว้า ทำให้เราพบถึงอันตราย และความผิดเพี้ยนทางด้านอะกีดะฮฺและอิบาดะฮฺ เป้าหมายของเราไม่ได้เจตนาจะโจมตีใครเป็นส่วนตัว เราเพียงแค่ "พูดความจริง" ใครจะฟังไม่ฟัง ไม่ได้มีผลทำให้ความจริงแปรเปลี่ยนไปเป็นความเท็จแต่อย่างใด ดั่งที่จะประจักษ์กันต่อไปนี้

________________________________________

1. - หะบีบ อุมัร บิน หาฟิษ ศูฟียฺ จากเมืองฮัดรอมูต ประเทศเยเมน ผู้ซึ่งอ้างตัวว่าตนนั้นสืบเชื้อสายมาจากท่านนบี ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ผ่านทางท่านหุซัยนฺ บิน อะลียฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ แต่ประเด็นเรื่องเชื้อสายหาได้เป็นสาระสำคัญไม่ แต่ถ้ามีคน(ที่ไม่ใช่ชีอะฮฺ)จะกล่าวว่า "สำคัญสิเพราะนี่คือลูกหลานของท่านนบี ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม" ถ้าเขาบอกมาเช่นนี้ จงถามเขากลับไปว่า "ทำไมไม่ให้ความสำคัญกับชัยคฺ มุหัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ เราะหิมะฮุลลอฮฺ บ้าง เพราะท่านก็สืบเชื้อสายมาจากท่านนบี ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม รวมถึงเป็นชาวเผ่าบะนี ตะมีม" ที่จะยืนหยัดต่อต้าน'ดัญญาล'อย่างแข็งขันที่สุดในประชาชาตินี้ เราหวังว่า คุณคงไม่มีความคิดที่ว่า อัลลอฮฺจะทรงให้พวกหลงผิดมาเป็นทัพหน้าของมุสลิมดอก

________________________________________

2. - หะบีบ อุมัร ได้รับการจัดอันดับมุสลิมที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอันดับที่ 33 จาก 500 อันดับ ในหนังสือ The 500 Most Influential Muslims จัดทำโดย มหาวิทยาลัยจอห์นทาว์น ในปี 2009

ณ ตรงนี้ ไม่ต้องแปลกใจหรือตกใจอะไร เพราะอันดับ 1 คือ อดีตกษัตริย์ อับดุลลอฮฺ บิน อับดุลอะซีซ อันดับ 2 คือ อะยาตุลลาต อะลียฺ อัซ-ซิสตานียฺ (ชีอะฮฺ) การจัดอันดับโดยใช้เกณฑ์ของกาฟิรฺ มิเห็นจะต้องแปลกใจอะไร

________________________________________

3. - หะบีบ อุมัรฺ มีพฤติกรรมฝึกฝนวิชา "มะดัด" ทำให้นึกถึงนักกีฬายกน้ำหนัก ชาวอิหร่าน(ชีอะฮฺ)คนหนึ่ง ที่ยกน้ำหนักแล้วขอความช่วยเหลือจากท่านอะลียฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ

ดูคลิป

https://www.youtube.com/watch?v=3LJXdLV4Ir8

หะบีบ อุมัร มีความเชื่อว่าสามารถขอความช่วยเหลือ(ในสิ่งที่พ้นจากญานวิสัย)จากสิ่งอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺได้

ฟัตวาของหะบีบ อุมัร 1

http://www.alhabibomar.com/Fatwa.aspx?SectionID=5&RefID=156

ฟัตวาของหะบีบ อุมัร 2

http://www.alhabibomar.com/Fatwa.aspx?SectionID=5&RefID=128

________________________________________

4. - หะบีบ อุมัร มีความเชื่อว่าสามารถที่จะทำกุรบ่านให้กับสิ่งอื่น นอกจากอัลลอฮฺได้

ฟัตวาของหะบีบ อุมัร

http://www.alhabibomar.com/Fatwa.aspx?SectionID=5&RefID=119

หะบีบ อุมัร เปรียบเทียบว่า มันก็เหมือนกับการเชือดแพะเชือดแกะเลี้ยงแขกนั่นล่ะ ตราบใดที่ไม่ได้เชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นพระเจ้าเคียงข้างกับอัลลอฮฺ

ชี้แจง - การเชือดแพะเชือดแกะเลี้ยงแขกนั้น มันก็มีตามแนวทางของอัลลอฮฺ ให้กล่าวว่า "บิสมิลลาฮฺ" มันเป็น 1 ในการอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ แต่การเชือดพลีกุรบ่านให้กับเจว็ด ตอฆูตอื่นๆ แม้ว่าจะไม่ได้เชื่อว่ามันเป็นพระเจ้า(อัร-รอบบฺ) ก็ถือว่าเป็นชิริก อัลลอฮฺ อัซซะวะญัล ได้ตรัสว่า:

قُلْ إِنَّ صَلَاتِي وَنُسُكِي وَمَحْيَايَ وَمَمَاتِي لِلَّـهِ رَ‌بِّ الْعَالَمِينَ

"จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า แท้จริงการละหมาดของฉัน และการอิบาดะฮ์ ของฉัน และการมีชีวิตของฉัน และการตายของฉันนั้นเพื่ออัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลกเท่านั้น" (อัล-อันอาม: 162)

ถ้าท่านยังบอกว่าทำได้อีก ก็ไม่ได้เชื่อว่ามันเป็นพระเจ้า ก็ออกฟัตวาไปเลยครับว่า สามารสุญูดพระได้ แขวนพระได้ โดยไม่ต้องเชื่อว่ามันเป็นพระเจ้า ผมท้าว่าไม่มีใครกล้าทำ!!!

________________________________________

5. - ไปอ่านบุรดะฮฺ ของอัล-บุศิรียฺ ที่กุบูรฺ นบี ฮูด อะลัยฮิสสลาม

ดูคลิป

https://www.youtube.com/watch?v=lsXH8RLVdgw

กลอนบุรดะฮฺ อัล-บุศิรียฺ เป็นบทกลอนที่มีชิริกปนอยู่

อ่านรายละเอียดพร้อมคำแปล ได้ในหนังสือ "สาวไส้บัรซันญียฺ" โดยชมรม วะรอซะตุซซุนนะฮฺ

http://www.warasatussunnah.net/Library/Bursanyee.html

กุบูรฺ นบี ฮูด จริงรึป่าวก็ไม่รู้!?

ดูคลิป(หะบีบ อุมัร โผล่ช่วงกลางๆ)

https://www.youtube.com/watch?v=N5nbe6n2k_Q

ฝรั่งที่พูดอยู่ในคลิปบอกว่า "ลงไปอาบน้ำล้างบาป..." ทำยั่งกะเป็นแม่น้ำคงคาของฮินดู แถมยังไปตอวาฟรอบๆกุบูรฺ (หะบีบ อะลียฺ ญิฟรียฺ ซี้ของเขาบอกว่า ทำแบบนี้หะรอม)

________________________________________

6. - จัดงานเมาลิดร่วมกับ ชีอะฮฺ

ลิงค์ข่าว

http://www.alhawyah.com/…/%D9%84%D8%A3%D9%88%D9%84-%D9%85%D…

________________________________________

ทั้งหมดนี้ น่าจะพอรู้คร่าวๆแล้วว่า หะบีบ อุมัร คือใคร...





วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ญิฮาดมีอยู่ในไบเบิ้ล‬



โดย ดร.ซากิร ไนค์

เมื่อครั้งที่ผมได้เดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาฯ ณ.นครลอสเเองเจอลิส ในเดือนตุลาคม 2003

และผมก็เตรียมตัวไว้แล้วล่ะ แต่งตัวเต็มยศ ใส่หมวก ไว้เครา โพกสาระบั่น
ผมเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องถูกถาม คำถามแน่ฯ นักดาอีย์(นักเผยแพร่)จะต้องเตรียมพร้อมเสมอ

ผมเดินเข้าไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่เรียกผม "โอ้..หมวก เครา เข้าไปสอบปากคำก่อน"
ผมเตรียมพร้อมไว้แล้วว่าต้องเจอแบบนี้

พวกเขาถามผมว่า. "คุณมาที่นี่ทำไม"

ผมตอบว่า "ผมมารับรางวัลครับ"

เจ้าหน้าที่ถาม "รางวัลอะไร?"

ผมตอบไปว่า "รางวัลเกี่ยวกับมนุษยชาติ จากองค์กรหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ในนครลอสแองเจลิส"

เจ้าหน้าที่ถาม "แล้วคุณทำอะไรล่ะ ถึงได้รับรางวัล"

ผมบอกเขาไปว่า "ผมเผยแพร่สัจธรรมครับ แม้แต่พระเยซูยังบอกว่า"ท่านทั้งหลายจงแสวงหาความจริง ความจริงนั้นจะปลดปล่อยพวกท่านให้เป็นอิสระ (ไบเบิ้ล ยอห์น 8:32)
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เผยแพร่ความจริง ผมไม่ได้โกหก
ผมเป็นนักเผยแพร่ ผมเผยแพร่ศาสนาแห่งสัจธรรม"

แล้วพวกเขาก็ถามผมอีกหลายคำถาม เพื่อจะเร่งปล่อยตัวผม

พอผมเข้าไปที่ศุลกากร เจ้าหน้าที่ก็เปิดกระเป๋าผมดู พวกเขาก็พบเทปบันทึกวีดีโอของผมที่เขียนไว้ว่า
‪#‎ญิฮาดและลัทธิก่อการร้าย‬#

พวกเขา(เจ้าหน้าที่)ถามผมว่า"คุณเชื่อเรื่องการ ญิฮาดรึป่าว"

ผมบอกว่า "แน่นอนครับ..แม้แต่พระเยซูยังเชื่อในการญิฮาดเลย
ท่านบอกว่า "เจ้าต้องต่อสู้ "
ผมเชื่อในการต่อสู้ เพราะผมเชื่อในคำสั่งของพระเยซู ที่บอกให้ต่อสู้ไงครับ"

เจ้าหน้าที่ "ไม่ฯ..ผมหมายถึงคุณเชื่อในการสู้รบไหม"

ผมเลยบอกไปว่า "สิ่งที่ถูกเอ่ยถึงในคัมภีร์ไบเบิ้ล ฉบับพันธสัญญาเดิม ในบทอพยพ 22:20 บอกว่า "เจ้าต้องสู้รบ"

และใน ฉบับพันธสัญญาเดิม ในบทอพยพ 33:27-28 บอกว่า "เจ้าต้องสู้รบ"

และใน ฉบับพันธสัญญาเดิม ในบทกันดารวิถี 31: 1-19 บอกว่า "เราต้องสู้รบ"

พระเยซูกล่าวไว้ในไบเบิ้ล ฉบับพันธสัญญาใหม่ ในบทลูกา 22:36 บอกว่า "จงชักดาบออกมาและสู้รบ"

ทันทีทันใดนั้น เจ้าหน้าที่ฯเป็นคริสเตียนก็ตอบกลับมาว่า "ไม่ฯ..ตรงนั้นมันเป็นการสู้รบ เพื่อปกป้องตัวเอง"

ผมเลยบอกกลับไปว่า "นั่นแหละ..สิ่งที่ผมและชาวมุสลิมต่อสู้อยู่(ญิฮาด)ก็เป็นไปเพื่อการป้องกันตัวเองเช่นเดียวกัน"

จากนั้นพวกเขาก็บอกผมว่า "ขอผมถามคุณต่ออีกหน่อยได้ไหม"

ผมเลยตอบกลับไปว่า "ไม่มีปัญหาครับ"

แล้วก็บอกผู้ที่มาต้อนรับผมว่า "ผมกำลังดะวะห์ให้เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองอยู่ อย่าพึ่งรบกวน"

ถอดข้อความจากยูทูปจากคลิปวิดีโอ กลุ่มออัซซาบิกูน

ดูคลิป : https://m.youtube.com/watch?v=nwxAmqptHr4


วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ศึฟัต 20 มาจากไหน?



____________________________________

ศีฟัต 20 ที่มีการเรียนการสอนกันในปอเนาะหลายแห่งของบ้านเรา มีที่มาจากกีตาบ มลายูเล่มหนึ่ง ที่มีชื่อว่า "อัล-ฟาริดะฮฺ อัล-ฟะวาอิด ฟี อิลมฺ อัล-อะกออิด"( فريدة الفرائد في علم العقائد) เขียนโดยชัยคฺ อะหฺมัด อัล-ฟาฏอนียฺ ชาวบ้านจากหมู่บ้านยัมมู อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี เกิดเมื่อวันที่ 10 เมษยน พ.ศ.2399 หรือในรัชสมัยราชกาลที่ 4 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2451

หนังสือเล่มนี้ ว่าด้วยคุณลักษณะของอัลลอฮฺ 20 ประการ โดยในหน้าแรกๆของหนังสือเล่มนี้ ได้ระบุว่านี่คือแนวทางอะกีดะฮฺของอิม่าม อะบุล หะสัน อัล-อัชอารียฺ(เสียชีวิต ฮ.ศ.324)

ฟังคลิปอธิบายเรื่อง ศีฟัต 20 โดย อ.ฟารีด เฟ็นดี้ (หะฟีเซาะฮุลลอฮฺ)

https://www.youtube.com/watch?v=mnrBy_OXeio

ซึ่งศีฟัต 20 นี้เพิ่งเกิดในคาบสมุทรมลายู เมื่อร้อยกว่าปีนี้เอง บรรดาอุละมาอฺในอดีต ที่(ถูกอ้างว่า)มีอะกีดะฮฺแบบเดียวกับอะชาอิเราะฮฺ กลับไม่มีแม้แต่ท่านเดียวที่จะสอนศีฟัต 20 นี้

อัลลอฮุมุสตะอาน