อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

บทบาทของอุละมาอฺกับการแก้ปัญหา


ผู้นำทางการศึกษาศาสนาและผู้นำทางศาสนา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นผู้นำทางธรรมชาติในสังคมมุสลิม ความสำคัญของผู้นำมุสลิมตามทัศนะอิสลาม ในสังคมมุสลิมผู้นำศาสนาหรือตามภาษาพื้นบ้าน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า โต๊ะครู ซึ่งมาจากภาษามลายูกลางว่า ตวนฆูรู หรืออาจมาจากคำว่า 'คุรุ' หรือ 'ครู' นั้นเอง
แต่ในภาษาอาหรับ หรือในภาษาที่ชาวมุสลิมทั่วไปอาจเรียกอย่างยกย่องว่าอาลิม(ผู้รู้ 1 คนเป็นเอกพจน์)หรืออุละมาอฺ(ผู้รู้ หลายคนเป็นพหูพจน์) โดยมีรากศัพท์ ผันมาจาก อิลมฺ คือความรู้ โต๊ะครูหรือ อาลิมและอุลามาอฺ จึงให้ความหมายถึง ผู้รู้และบรรดาผู้รู้ ในที่นี้คือ รู้ในศาสตร์ของอิสลาม หรืออิสลามศึกษา
ในขณะผู้รู้หลายคน มีความรู้ที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงรู้ในเรื่องศาสนาเท่านั้น แต่หมายถึงรู้เรื่องอิสลามที่เกี่ยวข้องศาสตร์อื่นๆ อีกด้วย การแพทย์ ดาราศาสตร์ การเมือง และสังคม ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กล่าวถึงความประเสริฐของบรรดาอุลามะอฺว่า เปรียบเสมือนผู้รับมรดกของบรรดานบี (ศาสดาทั้งหลาย) หรือได้กล่าวเปรียบเทียบสถานภาพของอุลามะอฺ ที่สูงส่งกว่า นักพรต นักบำเพ็ญตน ปลีกวิเวก อุปมาดั่งดวงจันทร์วันเพ็ญที่ทอแสงเจิดจ้าโดดเด่นกว่าดวงดาวทั้งหลาย
ท่านอาลี บินอบีฎอลิบ (รอฏิยัลลอฮุอันฮุ)คอลีฟะห์ (คาหลิบ) ท่านที่ ๔ แห่งอิสลาม ได้ถูกตั้งคำถามจากสหายคนหนึ่งว่า
"ใครคือผู้ที่ดีที่สุดในงานสร้างของอัลลอฮฺภายหลังท่านศาสดา" ท่านอาลีได้ตอบว่า "อุละมาอฺหรือบรรดาผู้รู้ทางศาสนาเมื่อเขามีความเที่ยงธรรม" และเมื่อถูกถามต่อ "แล้วใครเลวที่สุดในงานสร้างของพระผู้เป็นเจ้าหลังจากฟิรเอาว์ (ฟาโรห์)" ท่านตอบว่า "อุละมาอฺหรือผู้รู้ศาสนาเมื่อเขาประพฤติชั่ว"
จากวจนะท่านอาลี บินอบีฎอลิบดังกล่าว ทำให้เราได้ทราบว่ามุสลิมได้แบ่งประเภท ผู้รู้หรือโต๊ะครูเป็น 2 จำพวก คือ ผู้รู้ที่ดี กับผู้รู้ที่ไม่ดีหรือเลวนั้นเอง เช่นเดียวกัน
บุคลิกภาพของผู้รู้จะต้องมีภาพสะท้อนของบรรดาศาสดาทั้งหลาย ทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศสรรเสริญ จะต้องไม่เป็นตัวบั่นทอนการนำเสนอสัจธรรมสู่มวลชน หรือสู่สังคม การสงบเสงี่ยมและเจียมตัว และอยู่อย่างพอเพียง พึงใจต่อความเมตตาปรานีของพระเจ้า และที่สำคัญที่สุดของภาระหน้าที่ของอุลามาอฺ หรือโต๊ะครู นั้นคือ การรับใช้มนุษย์และสังคม ตลอดจนรับผิดชอบสังคม ในความดี ความชั่วที่เกิดขึ้น
ที่สำคัญต้องสามารถแสดงจุดยืนด้านธรรมะและหลักการที่ถูกต้องตามหลักศาสนาเรื่องราวเหล่านี้เป็นการแสดงบทบาทที่ตรงกับเป้าหมายของอิสลามมากที่สุด




อิสลามตามแบบฉบับ

เรือนบีนุห์หรือเรือโนอาห์




ความจริงที่พิสูจน์ได้ และถูกต้องตรงกับที่อัลกุรอานได้ระบุไว้ชัดเจน

ภาพของเรือนบีนั๊วะห์ที่ภูเขาอัลญูดีย์ ในระยะเวลาที่นาน ทำให้สภาพของเรือกลายเป็นหิน เรือบนีนั๊วะห์นั้น ยาว 1200 ศอก กว้าง 600 ศอก มี 3 ชั้น ซึ่งชั้นแรกสำหรับสาราสัตว์ทั้งหลาย
ชั้นที่ 2 สำหรับมนุษย์ และทั้งที่ 3 สำหรับสัตว์ปีก
นักสำรวจชาวคริสต์ เมื่อทราบว่าเรือนบีนั๊วะห์ไม่ได้เกยค้างอยู่บนเทือกเขาอารารัต แต่เกยค้างอยู่บนภูเขาอัลญูดีย์ตามที่อัลกุรอานได้ระบุยืนยันเอาไว้ ซึ่งสร้างความโกรธเคืองให้แก่พวกเขาที่อัลกุรอานนั้น เป็นคำภีร์ที่ยืนยันในเรื่องสัจจะธรรม พวกเขาเคยพยายาม
เจาะทำลายเรือ ดังกล่าวเท่าที่จะสามารถกระทำได้




อัลเลาะฮ์ตาอาลา ประสงค์ที่จะให้เราทราบถึงประการต่าง ๆ ต่อไปนี้

1. ในขณะที่กลุ่มชนระดับสูงสร้างความเสื่อมเสียและก่อกรรมทำบาปโดยไม่มีการลงโทษเกิดขึ้นแก่พวกเขา อันเนื่องจากมีความใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจนั้น ความเท่าเทียมจากการนำกฏหมายมาปฏิบัติในสังคม ไม่สมควรทำการสอบสวนและลงโทษประชาชนทั่วไปโดยรวม แท้จริงท่านนบีนั๊วะห์ได้ปล่อยให้บุตรชายของท่านได้รับการลงโทษพร้อมกับมนุษย์คนอื่น เขาไม่ได้รับการช่วยเหลืออันใดเลยทั่งที่เป็นบุตรของศาสนทูต ยิ่งกว่านั้น ในขณะที่ท่านนบีนั๊วะห์วอนขอต่อองค์อภิบาล
เกี่ยวกับบุตรชายของนั้น อัลเลาะฮ์ก็ทรงห้ามจากสิ่งดังกล่าว เพื่ออธิบายให้รู้ว่าเขานั้นได้ก่อกรรมบาป สมควรได้รับการลงโทษไม่ว่าเขาจะมีความสัมพันธ์กับนบีนั๊วะห์ อะลัยฮิสลาม ก็ตาม

2. สังคมใหม่ หากมีองค์ประกอบขึ้นจากบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลเลาะฮ์แล้วก็ตาม แต่ทว่ามันจะเปลี่ยนไปในกลุ่มชนยุคต่อ ๆ ไปตามยุคสมัยของบรรดาศาสนทูตอื่น ๆ ดังนั้นกลุ่มชนหนึ่งจากพวกเขาก็จะหลงออกจากแนวทางของอัลเลาะฮ์ ซึ่งดังกล่าวคือวิถีของอัลเลาะฮ์ที่พระองค์ทรงให้มันดำเนินอยู่ในมนุษย์ เนื่องจากสังคมจะไม่อยู่บนสิ่งที่เคยเป็นอยู่ แต่ทว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงและการบิดเบือนในหลักการศรัทธา อัลเลาะฮ์ตาอาลาทรงตรัสความว่า
"มีกระแสดำรัสว่า "โอ้นูห์! เจ้าจงลง (จากเรือ) เถิด โดยสันติสุขจากเรา และด้วยความสิริมงคลแก่เจ้า และแก่บรรดาประชาชาติจากผู้อยู่ร่วมกับเจ้าทั้งมวล และมีบรรดาปวงชนที่เราจะให้ความภิรมย์แก่พวกเขา
(เพียงชั่วคราวในโลกนี้) หลังจากนั้น จะมีการลงโทษอันทรมานยิ่งจากเรา สัมผัสพวกเขา" 11:48
ดังนั้นประชาชาติที่อัลเลาะฮ์จะให้พวกเขาเสวยสุข ต่อมา การลงโทษอันเจ็บปวดได้มาประสบกับพวกเขานั้น คือ กลุ่มชนบางส่วนที่จะมาเปลี่ยนแปลงเผ่าพันธุ์ในสงคมใหม่นี้ ให้ไปสู่วัตถุนิยมและเจว็ดภาคี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้คือปรากฏการณ์ของสังคมที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น เพราะอัลเลาะฮ์ทรงกำหนดให้มนุษย์มีความแตกต่างกันในเรื่องของการปฏิเสธและการศรัทธาตราบจนถึงวันสิ้นโลก

3. ปรากฏว่าอัลเลาะฮ์ทรงเล่าเรื่องของนบีนูห์ให้แก่ท่านนบีมุฮัมมัด ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เพื่อชี้แจงให้มนุษย์ทราบถึงความสัจจริงในการเผยแพร่เรียกร้องของนบีนูห์ อะลัยฮิสลาม และเพื่อแจ้งให้มนุษย์ทราบว่าจุดจบที่ดีงามนั้น ย่อมเป็นของบรรดาผู้ยำเกรงทั้งมวล




ที่มา Muttaqeen Al Islam











วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เหล่าสตรีกุฟฟาร สาดเหล้าใส่หน้าของม้า


มุฮัมมัดศิดดีก อัลมินซาวีย์ : เขียน

นาอีม วงศ์เสงี่ยม : แปล

(จากหนังสือ : 101 เรื่องเล่าจากชีวิต “อบูบักร อัศศิดดีก”)
………………………………………..

เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เข้ามักกะฮ์ในปีที่พิชิตมักกะฮ์ ท่านได้เห็นพวกผู้หญิงที่ปฏิเสธศรัทธาสาดเหล้าไปที่หน้าของม้า

เห็นเช่นนั้นท่านนบียิ้มพลางมองไปยังอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ แล้วกล่าวว่า

: อบูบักร ฮัซซาน อิบนุษาบิตกล่าวไว้ว่าอย่างไรนะ ?

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงร่ายกลอนของฮัซซาน ที่กล่าวตำหนิพวกเขา

แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ยิ้มออกมา
.........................................................

**** 65. การวินิจฉัยปัญหาของผู้ปกครอง *****

หลังจากที่ได้รับสัตยาบันให้เป็นเคาะลีฟะฮ์ (ผู้ปกครองของมวลหมู่มุสลิม) อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กลับมานั่งในบ้านของท่านด้วยความเศร้าเสียใจ อุมัร อิบนุลค็อฏฏอบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ได้เข้ามาหา อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงลุกขึ้นแล้วตำหนิอุมัรว่า

: ท่านคือคนที่บังคับให้ฉันต้องรับเรื่องนี้

แล้วอบูบักรก็ได้ปรารภกับอุมัรเรื่องที่จะปกครองและใช้การตัดสินกับผู้คน อุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงกล่าวแก่ท่านว่า

: ท่านไม่ทราบดอกหรือว่าท่านเราซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เคยกล่าวว่า

“ผู้ปกครองนั้นหากวินิจฉันปัญหาแล้วตรงกับสัจธรรมเขาย่อมได้รับ 2 ความดี และหากเขาได้วินิจฉันแล้วเกิดไม่ตรงกับสัจธรรมเขาย่อมได้รับ 1 ความดี”
.........................................................

***** 66. อบูบัก อบรมลิ้นของตัวเอง *****

วันหนึ่งอุมัร อิบนุลค็อฏฏอบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ได้ไปหาอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์

...ขณะที่เข้าบ้านไปนั้น ท่านเห็นอบูบักรกำลังนั่งพิงกำแพงอยู่โดยจับปลายลิ้นของตัวเองเหมือนกำลังสั่งสอนเจ้าลิ้นที่ไร้กระดูกนั้น

อุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ แปลกใจกับการกระทำของอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงเข้าไปถามว่า

: ท่านทำอะไรหรือโอ้ผู้เป็นเคาะลีฟะฮ์ของท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ? ทำไมท่านต้องอบรมลิ้นของท่านขนาดนี้ด้วย ?

อบูบักรจึงกล่าวหลังจากที่หยุดอิสติฆฟาร ว่า

“ความดีงามและความหายนะต่าง ๆ ที่มายังฉันมิใช่เพราะเจ้าลิ้นนี่อย่างนั้นหรือ !!!”
...............................................

***** 67. อบูบักรเหมาะสมที่จะเป็นเคาะลีฟะฮ์ *****

หลังจากอบูบักร ได้รับตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ อบูซุฟยานได้อกมาหา อาลี อิบนุอบีฏอลิบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ แล้วกล่าวด้วยความโกรธเคืองว่า

: นี่มันอะไรกันทำไมชาวกุเรซจึงต่ำต้อยและด้อยค่าอย่างนี้ (หมายถึง การที่เลือกอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ มาเป็นเคาะลีฟะฮ์)

จากนั้นอบูซุฟยานก็ตะโกนเสียงดังออกมาว่า

: ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ หากท่าต้องการ ฉันจะให้ทั้งม้าและคนกับชาวกุเรซในเรื่องนี้

อาลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงกล่าวว่า

: ท่านยังเป็นศัตรูอิสลามและบรรดามุสลิมอยู่อีกหรือ หากเป็นเช่นนั้นย่อมไม่ให้อันตรายใดแก่อบูบักรได้ ความจริงแล้วพวกเราเห็นว่าอบูบักรคือผู้ที่เหมาะสมที่สุด
.............................................................

***** 68. เจ้าเกือบทำให้ฉันหายนะแล้ว *****

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ มีเด็กรับใช้อยู่คนหนึ่ง ทุกวันเขจะออกไปทำงานแล้วนำอาหารและพืชผลกลับมาให้ท่าน

วันหนึ่งเด็กคนนี้ได้แบกอาหารกลับมาให้อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ๋ ท่านจึงรับประทานมัน

แล้วเด็กคนนั้นก็กล่าวว่า

: ท่านเคยถามฉันทุกครั้งที่ฉันนำอาหารมาให้ว่า “เจ้านำอาหารนี้มาจากไหน ?”

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงหันไปกล่าวว่า

: ไม่ทันถามกำลังหิวพอดี แล้วเจ้านำอาหารนี้มาจากไหนล่ะ ?

เด็กรับใช้จึงตอบว่า

: ฉันเคยทำนายให้ชายคนหนึ่งสมัยญาฮีลียะฮ์ ฉัน
ไมได้ทำนายแม่นอะไรหรอก ฉันแค่หลอกเขาเท่านั้น แล้วเขาก็พบฉันและให้อาหารนี้มาเขาบอกว่าสิ่งที่ฉันทำนายไปนั้นถูกต้อง

อบูบักรจึงกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า

: เจ้าเกือบทำให้ฉันหายนะแล้วไง!!!

แล้วอบูบักรก็ล้วงมือเข้าไปในคอแล้วอาเจียนอาหารที่รับประทานไปออกมา

มีคนกล่าวแก่ท่านว่า

: ที่ท่านทำทั้งหมดนี้เพียงเพราะอาหารคำเดียวเนี่ยะนะ !?

อบูบักรจึงกล่าวว่า

: หากมันไม่ออกจากตัวฉันเว้นแต่ต้องออกมาพร้อมกับวิญญาณของฉันแล้ว ฉันก็จะต้องเอามันออกมาให้ได้อยู่ดีเพราะฉันได้ยินเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

“ทุกส่วนของร่างกายที่เจริญเติบโตขึ้นมาจากสิ่งที่หะรอม นรกย่อมคู่ควรสำหรับมัน” ฉันเกรงว่าจะมีส่วนใดจากอาหารนี้เจริญเติบโนขึ้นมาเป็นร่างกายของฉัน

ผู้ที่ประเสริฐที่สุดหลังจากบรรดานบี


มุฮัมมัดศิดดีก อัลมินซาวีย์ : เขียน

นาอีม วงศ์เสงี่ยม : แปล

(จากหนังสือ : 101 เรื่องเล่าจากชีวิต “อบูบักร อัศศิดดีก”)

Jiyah Abdulloh โพสต์
…………………………………..

เช้าวันหนึ่ง อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ออกไปพร้อมกับอบุดดัรดาอ์ เพื่อทำธุระบางประการ

แล้วอบุดัรดาอ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ก็ก้าวรุดไปด้านหน้าแล้วเดินนำหน้าอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์....ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เห็นอบุดัรดาอ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ เดินนำหน้าอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงกล่าวตำหนิและตักเตือนอบุดัรดาอ์ ว

: อบุดดัรดาอ์!! ท่านกำลังเดินนำผู้ที่ไม่มีใครหลังจากบรรดานบีที่ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นในวันหนึ่งจะประเสิรฐกว่าบุคคลผู้นี้

อบุดดัรดาอ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงส่ายหัวของท่านด้วยความรู้สึกผิดจากการกระทำของตนเอง น้ำตาได้หลั่งออกจากสองตาของท่านด้วยความเสียใจ

หลังจากวันนั้นไม่มีใครเห็นท่านเดิน (กับอบูบักร) นอกจากจะอยู่หลังอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ เสมอ
...............................................

***** 70. โอ้อัลลอฮ์ ได้โปรดให้มะดีนะฮ์ เป็นที่รักยิ่งแก่พวกเรา *****

เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เดินทางไปถึงมะดีนะฮ์ อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ได้ล้มป่วยลง อาการของท่านค่อนข้างหนักทีเดียว ท่านหญิงอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา จึงเข้าไปเยี่ยมท่านแล้วกล่าวว่า

: คุณพ่อคะ คุณพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ?

อบูบักร กล่าวว่า

: ทุกรุ่งเช้าใครตื่นขึ้นเห็นครอบครัว ตายใกล้ตัว เรียบเคียงยิ่งเชือกรองเท้า

แล้วเธอก็ไปหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วบอกท่านถึงสภาพของอบูบักระ ท่านนบีจึงกล่าวขอดุอาอ์ว่า

“โอ้อัลลอฮฺ โปรดให้มะดีนะฮ์เป็นที่รักยิ่งแก่พวกเราเหมือนกับที่พวกเราะรักมักกะฮ์หรือให้มากกว่านั้น โปรดให้ผู้คนในมะดีนะฮ์มีสุขภาพดี โปรดให้ความจำเริญแก่การชั่งตวงแห่งมะดีนะฮ์ (นั่นคือมุดและศออ์) และโปรดนำการเจ็บไข้ได้ป่วยออกไปอยู่ที่ญุห์ฟะฮ์เถิด”
..........................................................

***** 71. อัศศิดดีก และหลานของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม *****

หลายคืนผ่านไปหลังจากที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เสียชีวิต อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันอ์ เดินออกมาจากละหมาดอัศริโดยข้างกายท่านมีอาลี อิบนุอบีฏอลิบ อยู่ด้วย แล้วท่านก็เดินผ่านอัลหะซันลูกชายของอาลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ซึ่งกำลังเล่นอยู่กับเด็ก ๆ

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงรีบเข้าไปหา แล้วอุ้มอัลหะซันขึ้นไหล่แล้วกล่าวซ้ำไปมาว่า :

ละม้ายคล้ายคลึงเหมือนนบี.....
....ส่วนอาลีคลึงคล้ายหามีไม่

แล้วอาลี เราะฎิยัลลอฮุอันอ์ ก็หัวเราะ
..............................................................

***** 72. หญิงสาวกับแม่หม้าย *****

ก่อนการฮิจเราะฮ์ (อพยพ) ไม่นาน หลังจากที่ท่านหญิงเคาะดีญะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา เสียชีวิต เคาละฮ์ บินตุหะกีม เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ได้มาเยี่ยมเยียมดูความเป็นอยู่ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วพบว่าขณะนั้นท่านนบีอยู่ลำพังคนเดียวไม่มีภรรยา เธอจึงกล่าวแก่ท่านนบีว่า : ทำไมท่านไม่แต่งงานอีกครั้งล่ะ ?

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า

: จะให้ฉันแต่งกับใคร ?

เธอจึงกล่าวว่า

: ท่านต้องการหญิงสาวหรือแม่หม้ายล่ะค่ะ ?

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า

: หญิงสาวที่ว่านี่ใครล่ะ แล้วแม่หม้ายที่ว่านี่ใครกัน ?

เธอกล่าวว่า

: หญิงสาวก็คือลูกสาวของบุคคลท่านรักเขามากที่สุด....อาอิชะฮ์ บุตรสาวของอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ส่วนแม่หม้าย ก็คือ เซาดะฮ์ บินตุซัมอะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ค่ะ

แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้แต่งงานกับหญิงทั้งสาวและแม่หม้าย
.............................................

***** 73. อบูบักรกับอุกบะฮ์ อิบนุอบีมุอีฏ *****

ขณะที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กำลังนั่งทำอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา อยู่ในมัสญิดหะรอม ศัตรูของอัลลอฮ์ อุกบะฮ์ อิบนุอบี มุอีฏ ได้เดินมา พลางม้วนผ้าของตัวเองอย่างแน่นหนาแล้วนำมาวางที่ต้นคอของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วรัดคอท่านอย่างแรง จนกระทั่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เกือบจะเสียชีวิต ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้ามปรามการรังแกข่มเหงของเขา

จนกระทั่งอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ วิ่งเข้ามากระชาดไหล่ทั้งสองของอุกบะฮ์แล้วผลักเขาออกจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พร้อมกับกล่าวว่า

: พวกเจ้าจะฆ่าคนที่เขากล่าวเพียงว่าพระเจ้าของฉันคืออัลลอฮ์อย่างนั้นหรือ?
.......................................................

***** 74. อบูบักรคือบุคคลที่อัลลอฮ์ให้สมญานามว่า “ศิดดีก” (ผู้สัจจริง) *****

อาลี อิบนุอบีฏอลิบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กำลังคุยกับเหล่าสหายของท่านในยามกลางคืนด้วยจิตใจที่เบิกบาน แจ่มใส

แล้วชายคนหนึ่งก็กล่าวว่า

: อาลีเล่าถึงเหล่าสหายของท่านให้พวกเราฟังหน่อยสิ

อาลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า

: เศาะฮาบะฮ์ทุกคนของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ล้วนเป็นสหายของฉัน

พวกเขาจึงกล่าวว่า

: อย่างนั้นเล่าถึงอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ให้พวกเราฟังหน่อย

แล้วอาลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ก็สูดหายใจเข้าเต็มปอดรำลึกถึงความหลังด้วยใบหน้าที่เบิกบานแล้วกล่าวว่า

: ท่านคือบุคคลที่อัลลอฮ์ให้สมญานามว่า “ศิดดีก” (ผู้สัจจริง)
...........................................................

***** 75. ดวงจันทร์ 3 ดวง ****

วันหนึ่งท่านหญิงอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ได้หลับไปแล้วฝันเห็นเหมือนกับในบ้านของเธอนั้นมีดวงจันทร์อยู่ 3 ดวงด้วยกัน เธอจึงเล่าเรื่องนี้ให้อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ฟัง

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ผู้เป็นพ่อจึงกล่าวว่า

: หากฝันของลูกเป็นจริงจะมีบุคคลที่ประเสริฐสุดบนหน้าแผ่นดินนี้ 3 คน เสียชีวิตในบ้านของลูก

เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เสียชีวิต อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงกล่าวแก่ลูกสาวว่า

: อาอิชะฮ์....นี่คือดวงจันทร์ที่ประเสริฐที่สุดในชีวิตของลูก
...........................................................

***** 76. อบูบักรนำหน้าฉันอยู่ 4 ประการ *****

ชายคนหนึ่งได้มาหาอาลี อิบนุอบีฏอลิบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ แล้วกล่าวว่า

: ท่านอมีรุลมุมินีน ทำไมชาวมุฮาญีรีน และชาวอันศอรจึงเสนอให้อบูบักรเป็นเคาะลีฟะฮ์ ทั้งที่ท่านมีสถานะที่สูงส่งกว่า เข้ารับอิสลามก่อน และเป็นผู้มาก่อน ?

ท่านอาลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ได้กล่าวออกมามอย่างชาญฉลาดและมีไหวพริบว่า

: หากเจ้าเป็นชาวกุเรซ ข้าจะถือว่าเจ้าอยู่ในผู้ที่ได้รับการคุ้มครอง

ชายคนนั้นกล่าวว่า

: ผมเป็นชาวกุเรซครับ ท่านอมีรุลมุมีนีน

อาลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า

: หากผู้ศรัทธาไม่ได้เป็นผู้ได้รับการคุ้มครองจากอัลลอฮฺแล้ว (หมายถึงไม่เป็นที่อนุญาตให้ผู้ศรัทธาถูกผู้ศรัทธาด้วยกันสังหาร – ผู้แปล) แน่นอนว่าข้าต้องสังหารเจ้าไปแล้ว และหากเจ้ายังมีชีวิตอยู้ข้าต้องจัดการเจ้าเป็นแน่

แล้วท่านอาลัก็พูดด้วยเสียงดังแก่เขาว่า

: หายนะจะประสบแก่เจ้า....อบูบักรนั้นนำหน้าฉันอยู่ 4 ประการ ได้แก่ (1) การที่ท่านนบีให้อบูบักรเป็นอิมามนำละหมาด (2) การที่ท่านได้เป็นเคาะลีฟะฮ์ต่อจากท่านเราะซูล (3) การที่อบูบักรได้อยู่ในถ้ำ (กับท่านนบี) ขณะอพยพ และ (4) การเผยแพร่อิสลามของอบูบักร

หายนะประสบกับท่านแล้วสิ เพราะอัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตำหนิผู้คนทั้งหมดยกเว้นอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ พระองค์กล่าวว่า

ความว่า “ ถ้าหากพวกเจ้าไม่ช่วยเหลือเขาแท้จริงอัลลอฮ์นั้นได้ทรงช่วยเหลือเขาแล้ว” (ซูเราะฮ์อัตเตาบะฮ์ อายะฮ์ที่ 40)





ก้าวเดินในหนทางของอัลลอฮฺ



มุฮัมมัดศิดดีก อัลมินซาวีย์ : เขียน

นาอีม วงศ์เสงี่ยม : แปล

(จากหนังสือ : 101 เรื่องเล่าจากชีวิต “อบูบักร อัศศิดดีก”)
………………………………………..

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ส่งกองหทารไปยังเมืองชามโดยให้ยะซีด อิบนุอบีซุฟยาน, อัมร์ อิบนุลอาศ และชิรหะบีล อิบนุฮาซะนะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม เป็นผู้นำทัพ

เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาต้องออกเดินทางอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ รีบรุดมาหาเพื่อล่ำลาและสั่งเสียพวกเขา

บรรดาผู้นำทัพได้ขึ้นขี่พาหนะขณะที่อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ เดินเคียงข้างพวกเขา พวกเขาจึงกล่าวว่า

: โอ้เคาะลีฟะฮ์ของท่านเราะซูลท่านจะเดินทางทั้งที่พวกเรากำลังขี่พาหนะอย่างนั้นหรือ?

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงกล่าวด้วยความนอบน้อมว่า

: ฉันหวังให้ก้าวเดินของฉันเหล่านี้เป้นไปในหนทางของอัลลอฮ์
..........................................................

***** 78. ทดสอบเหล่าสหาย *****

ครั้งหนึ่ง ขณะอยู่ท่ามกลางเหล่าสหาย อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ได้ถามพวกเขาว่า

: พวกท่านจะกล่าวอย่างไรต่อสองอายะฮ์นี้

[إِنَّ الَّذِينَ قَالُوا رَبُّنَا اللَّهُ ثُمَّ اسْتَقَامُوا ]

ความว่า “แท้จริงบรรดาผู้กล่าวว่าพระเจ้าของพวกเราคืออัลลอฮ์ แล้วพวกเขาก็ยืนหยัดตามคำกล่าวนั้น” ซูเราะฮ์ฟุศศิลัต อายะฮ์ที่ 30

[الَّذِينَ آمَنُوا وَلَمْ يَلْبِسُوا إِيمَانَهُم بِظُلْمٍ ]

ความว่า “บรรดาผู้ที่ศรัทธาโดยที่มิได้ให้การศรัทธาของพวกเขาปะปนกับการอธรรมนั้น” ซูเราะฮ์อัลอันอาม อายะฮ์ที่ 82

พวกเขากล่าวว่า

: หมายถึง บรรดาผู้ที่กล่าวว่า : “พระเจ้าของพวกเราคืออัลลอฮ์แล้วพวกเขาก็ยืนหยัดตามคำกล่าวนั้น โดยพวกเขาไม่ให้ศรัทธาของตนปะปนกับการอธรรม ซึ่งหมายถึง ความผิดบาป”

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า

: พวกท่านได้ทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แล้ว (หมายถึงไม่มีใครรอดพ้นจากความผิดพลาดไปได้ – ผู้แปล) หลังจากนั้นท่านก็กล่าวว่า

“ตรงนี้หมายถึง ..... โดยพวกเขาไม่ให้ศรัทธาของตนปะปนกับการตั้งภาคีต่างหาก”
.............................................................

***** 79. ขออัลลอฮ์เมตตาอบูบักร *****

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั่งอย่างสงบเสงี่ยมและน่าเกรงขามรายล้อมด้วยมิตรสหายของท่าน

แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็กล่าวว่า

“ขออัลลออ์เมตตาอบูบักรที่ได้ยกลูกสาวให้แก่ฉัน ได้อพยพไปยังมะดีนะฮ์พร้อมกับฉัน และได้ปล่อยบิลายเป็นไท”

“ขออัลลอฮ์เมตตาอุมัรที่กล่าวสัจธรรมแม้มันจะขื่นขมก็ตามทั้งที่เขามิได้มีเพื่อนข้างกายเลยในขณะนั้น”

“ขออัลลอฮ์เมตตาอุษมานบุคคลที่บรรดามลาอิกะฮ์ยังอายต่อท่าน”

“ขออัลลอฮ์เมตตาอาลี ...โอ้อัลลอฮ์ฉันทราบว่าสัจธรรมนั้นอยู่กับเขาไม่ว่าเขาจะดำเนินไปอย่างไรก็ตาม”
..............................................................

***** 80. พูดจริงทั้งสองครั้ง ! *****

ชายคนหนึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้าอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ แล้วถามท่านว่า

: ในสมัยญาฮิลียะฮ์ท่านเคยดื่มสุราบ้างรึเปล่า?

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า

: ขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮ์

ท่านจึงถูกถามว่า

: ทำไมล่ะ ?

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า

: ฉันได้ปกป้องเกียรติของฉันและรักษาบุคลิกภาพของฉันมาตลอด ความจริงแล้วสุรานั้นคือตัวทำลายเกียรติและบุคลิกภาพอย่างดี

เมื่อเรื่องดังกล่าวถึงหูท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านจึงกล่าวว่า

: อบูบักรได้พูดจริงทั้งสองครั้ง
...................................................................

***** 81. ความจำเริญของอาหาร *****

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กลับบ้านของท่านโดยขณะนั้นมีแขกมารอพบท่านอยู่ถึง 3 คน ท่านทิ้งพวกเขาไว้ที่บ้านกับลูกชาย เพราะต้องออกไปเพื่อรับประทานอาหารเย็นกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านอยู่กับท่านนบีจนกระทั่งพลบค่ำ แล้วจึงกลับบ้าน

เมื่อกลับถึงบ้าน ภรรยาของอบูบักรกล่าวแก่ท่านว่า


: อะไรกักตัวท่านไว้มิให้กลับมาพบแขก?

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันอ์ ถามกลับว่า

: เธอยังไม่ได้เลี้ยงอาหารเย็นพวกเขาอีกหรือ ?

ภรรยาบอกว่า

: พวกเขาไม่ยอมทานจะรอท่านกลับมาก่อน

อบูบักรจึงนำอาหารไปให้พวกเขาแล้วกล่าวว่า

: รับประทานเถิด...พวกเขาจึงรับประทาน

แล้วคนหนึ่งก็กล่าวว่า

: ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันรู้สึกว่าเมื่อตักอาหารกินไปคำหนึ่ง อาหารในจานก็จะเพิ่มขึ้นมาจากก้นจานมากกว่าที่กินไปเสียอีก จนตอนนี้พวกเราอิ่มตื้อแล้ว แต่อาหารกลับเหลือมากกว่าตอนที่มันถูกนำมาเลี้ยงเสียอีก

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ มองไปที่อาหารก็เห็นว่าอยู่ในสภาพนั้น ท่านจึงหันมาถามภรรยาว่า

: ที่รักจ๋า !... นี่มันอย่างไรกัน ?

เธอกล่าวอย่างมีความสุขใจว่า

: ตอนนี้อาหารมีมากกว่าช่วงที่นำมาถึง 3 เท่าเชียวค่ะ

จากนั้นอบูบักรจึงนำอาหารนั้นไปให้ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
..................................................

***** 82. ชาวบะดัร *****

ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ มีทรัพย์สินจำนวนหนึ่งถูกนำมามอบให้อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ท่านจึงแบ่งและแจกจ่ายให้กับผู้คนอย่างเท่าเทียม อุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงกล่าวแก่ท่านว่า

: โอ้เคาะลีฟะฮ์ของเราะซูลุลลอฮฺ ท่านแบ่งทรัพย์สินให้อย่างเท่าเทียมแม้กระทั่งระหว่างชาวบะดัรกับบุคคลอื่น ๆ อย่างนั้นหรือ

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า

: แท้จริงดุนยาได้มาถึงแล้วและการมาถึงที่ดีที่สุดก็คือ มีความกว้างขวางที่สุด ที่จริงแล้ว ความประเสริฐของชาวบะดัรขึ้นอยู่กับผลบุญของพวกเขาต่างหาก
..........................................................

**** 83. อบูบักร และค่าตอบแทน *****

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้คำนวณนับถึงความประเสริฐของ อบูบักร แล้วกล่าวว่า

: ไม่มีใครในหมู่พวกเราที่ได้มอบความช่วยเหลือนอกจาเราได้ตอบแทนเขาไปแล้ว นอกจากอบูบักร เพราเขาเคยช่วยเหลือพวกเราโดยอัลลอฮ์จะตอบแทนการช่วยเหลือของเขาในวันกิยามะฮ์ และไม่มีทรัพย์สินของผู้ใดที่จะให้ประโยชน์แก่ฉันเทียบเท่ากับทรัพย์สินของอบูบักรที่ให้ประโยชน์แก่ฉัน

ส่วนหนึ่งจากความประเสริฐของอบูบักร



มุฮัมมัดศิดดีก อัลมินซาวีย์ : เขียน
นาอีม วงศ์เสงี่ยม : แปล
(จากหนังสือ : 101 เรื่องเล่าจากชีวิต “อบูบักร อัศศิดดีก”)

Jiyah Abdulloh  โพสต์
………………………………………..

สะอีด อิบนุลมุซัยยิบ นั่งอยู่พร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งที่ลานมัสญิด แล้วพวกเขาก็ถามถึงเรื่องราวของอบูบักร อัศศิดดีก เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์
สะอีดกล่าวว่า
: อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ มีฐานะเป้นที่ปรึกษาของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยท่านนบีจะปรึกษาท่านในทุก ๆ เรื่อ ง ท่านคือบุคคลที่สองของศาสนาอสลาม (รองจากท่านเราะซูล) คือบุคคลที่สองซึ่งอยู่ในถ้ำพร้อมท่านนบี คือบุคคลที่สองซึ่งอยู่ในเต้นท์พักของท่านนบีในสงครามบะดัร และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ไม่เคยให้ใครล้ำหน้าอบูบักรอีกด้วย
ชายคนหนึ่งมาหาอาลี อิบนุลหุซัยน์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ถามท่านว่า
: สถานะของอบูบักรและอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กับท่านนบีเป็นอย่างไร ?
อาลี อิบนุหุซัยน์ ตอบว่า
: เหมือนกับตำแหน่งของทั้งสองกับท่านนบีในเวลานี้ (หมายถึง ความใกล้ชิดของหลุมฝังศพทั้งสองกับหลุมฝังศพท่านนบี)
..................................................
***** 85. พวกท่านต้องรับผิดชอบตัวเอง *****
ครั้งหนึ่ง อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ได้ขึ้นปราศรัยบนมิมบัรอย่างเศร้าโศกกังวลใจ ท่านไดสรรเสริญอัลลอฮ์ แล้วกล่าวว่า
: ประชาชนทั้งหลายพวกท่านอ่านอายะฮ์นี้กัน
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا عَلَيْكُمْ أَنفُسَكُمْ لَا يَضُرُّكُم مَّن ضَلَّ إِذَا اهْتَدَيْتُمْ
ความว่า “ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จำเป็นแก่พวกเจ้าในการรับผิดชอบต่อตัวของพวกเจ้าเองผู้ที่หลงผิดไปนั้นจะไม่เป็นอันตรายแก่พวกเจ้าได้เมื่อพวกเจ้ารับทางนำแล้ว” ซูเราะฮ์ อัล-มาอิดะฮ์ อายะฮ์ที่ 105
ทว่าพวกท่านนำอายะฮ์นี้ไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง
ความจริงฉันได้ยินท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
: ผู้คนนั้นเมื่อพวกเขาเห็นความชั่วแล้วไม่เปลี่ยนแปลงมันก็ใกล้เข้ามาแล้วที่อัลลอฮ์จะให้การลงโทษของพระองค์ประสบกับทุกคน หลังจากนั้นพระองค์ก็จะไม่ถอดถอนการลงโทษออกไปจกาพวกเขา
..........................................................................
***** 86. ความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ *****
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สั่งให้อัลอะฆ็อร (อะฆ็อร มะซีนะฮ์) นำเอาถุงอินทผลัมมาจากชาวอันศอรคนหนึ่ง
แล้วอัลอะฆ็อร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ก็ไปหาชาวอันศอรคนนั้นเพื่อขอถุงอินทผลัม แต่เขากลับขอผลัดผ่อนที่จะให้ถุงอินทผลัมนั้นแก่อัลอะฆ็อร
อัลละฆ็อรจึงกลับมาเล่าให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ฟังถึงสิ่งที่ชาวอันศอรคนนั้นปฏิบัติกับท่าน ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัวฮิวะซัลลัม จึงใช้ให้อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ไปหาชาวอันศอรคนนั้นพร้อมกับอัลอะฆ็อรเพื่อเอาถึงอินทผลัมมาจากเขา
อัลอะฆ็อรเล่าว่า
: อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันอ์ ได้นัดฉันที่มัสญิดพอพวกเราละหมาดเสร็จฉันก็พบอบูบักรมาตามที่สัญญาไว้ แล้วเราสองคนได้เดินไปด้วยกันทุกครั้งที่อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันอ์ เดินผ่านใคร ท่านก็จะให้สลามแก่เขา จากนั้นอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ก็กล่าวแก่อัลอะฆ็อรว่า
: “หากท่านต้องการรับความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่จงอย่าให้ใครแซงหน้าท่านในเรื่องการให้สลามเลย”
.................................................................
***** 87. ปล่อยให้ฉันตัดคอเขาเถิด *****
มีเรื่องที่ทำให้อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ โกรธชายคนหนึ่งอย่างมาก ท่านไม่เคยโกรธใครเหมือนกับที่โกรธเขาในวันนั้นเลย
อบูบัรซะฮ์ จึงกล่าวแก่ท่านว่า
: โอ้เคาะลีฟะฮ์ของท่านเราะซูลุลลอฮฺ ปล่อยให้ฉันตัดคอเขาเถิด
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันอ์ ถึงกับสงบลงเหมือนกับไฟที่ค่อย ๆ ดับมอด
แล้วอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ก็พูดด้วยเสียงดังแก่อบูบัรซะฮ์ ว่า
: แม่ของท่านสูญเสีย่ทานไปแล้ว ท่านว่าอย่างไรน่ะ ?
อบูบัรซะฮ์ กล่าวว่า
: ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่าหากท่านใช้ให้ฉันสังหารเขาฉันต้องสังหารเขาอย่างแน่นอน
อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า
: แม่ของท่านสูญเสียท่านไปแล้วอบูบัรซะฮ์เอ๋ย ....คำพูดนี้ไม่ควรมีใครมีสิทธิได้รับมันนอกจากท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
........................................................................
***** 88. ท่านและทรัพย์สินของท่านเป็นสิทธิ์ของบิดาท่าน *****
ชายคนหนึ่งมาหาอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ซึ่งขณะนั้นท่านได้เป็นเคาะลีฟะฮ์ (ผู้ปกครอง) บรรดามุสลิมแล้ว
เขากล่าวอย่างเศร้าใจว่า
: พ่อของฉันต้องการเอาทรัพย์สินของฉันทั้งหมดไปผลาญใช้
อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันอ์ จึงนำตัวพ่อของชายคนนั้นมาแล้วกล่าวแก่เขาว่า
: แท้จริงท่านมีสิทธิ์ในทรัพย์สินของลูกชายเท่าที่จำเป็นในการใช้จ่าย
ผู้เป็นพ่อจึงกล่าวว่า
: โอ้ผู้เป็นเคาะลีฟะฮ์ของท่านเราะซูล ....ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มิได้กล่าวดอกหรือว่า
: “ท่านและทรัพย์สินของท่านเป็นสิทธิ์ของพ่อท่าน ?”
อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า
: ใช่ แต่ที่เราะซูลหมายถึงคือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู
..............................................................
**** 89. ผู้แข่งขันไปสู่ความดี ****
อิมามอาลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ นั้นยามใดที่ท่านนั่งร่วมกับผู้คนแล้ว ท่านก็มักจะพูดกับพวกเขาถึงความประเสริฐและความดีงามต่าง ๆ เมื่อชื่อของอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ถูกเอ่ยขึ้นท่านจะกล่าวว่า
: ผู้แข่งขันสู่ความดีถูกล่าวถึงแล้ว ! ผู้แข่งขันสู่ความดีถูกล่าวถึงแล้ว...!
แล้วท่านจะพูดด้วยเสียงอันดังว่า
: ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์ว่า พวกเราไม่เคยแข่งขันไปสู่ความดีใดเว้นแต่อบูบักรต้องชนะพวกเรา
..............................................................
***** 90. การได้ยินและการมองเห็น *****
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้พูดตักเตือนและนะซีฮัตบรรดาเศาะฮาบะฮ์ของท่านในเรื่องเกี่ยวกับการศึกษาเรียนรู้อัลกุรอาน
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
: พวกท่านจงยึดเอาอัลกุรอานจาก 4 คน ได้แก่ อิบนุอุมมิอับด์, มุอาซ, อุบัยย์ และซาลิม คนรับใช้ของอบูฮุซัยฟะฮ์ ความจริงแล้วฉันปรารถนาจะแต่งตั้งพวกเขาไปยังประชาชาติต่าง ๆ เหมือนกับที่อีซา อิบนุมัรยัม แต่งตั้งพวกหะวารียีนไปยังบนีอีสรออีล
ชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า
: ท่านเราะซูลุลลอฮ์ครับ ท่านนำเอาอบูบักรและอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ไปอยู่ที่ไหนหรือ ?
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
: ฉันไม่มีทางไม่ต้องการ 2 บุคคลนี้ เพราะความจริงแล้วอุปมาทั้งสอง (อบูบักรและอุมัร) กับศาสนาแล้ว อุปมัยดังการได้ยินและการมองเห็นเลยทีเดียว






หะดิษที่รายงานว่าพ่อแม่ของท่านนบี ศอ็ลฯ ฟื้นคืนชีพ



บางคนอ้างว่า พอ่แม่นบี Solallah ถูกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ แล้วได้ศรัทธาต่ออิสลาม เรื่องนี้ ท่านอัลอะซีม อาบาดีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)ได้อธิบายว่า

كل ما ورد بإحياء والديه صلى الله عليه وسلم وإيمانهما ونجاتهما أكثره موضوع مكذوب مفترى ، وبعضه ضعيف جداً لا يصح بحالٍ ، لاتفاق أئمة الحديث على وضعه وضعفه كالدارقطني والجوزقاني وابن شاهين والخطيب وابن عساكر وابن ناصر وابن الجوزي والسهيلي والقرطبي وجماعة "

ทุกหะดิษที่รายงานว่า พ่อแม่ของท่านนบี ศอ็ลฯ ฟื้นคืนชีพขึ้นมา ,ท่านทั้งสองได้ศรัทธาและปลอดภัยจากนรกนั้น ส่วนมากเป็นหะดิษที่ถูกปลอมขึ้นมา,เป็นการโกหกและอุปโลกน์เรื่องเท็จขึ้นมา และบางส่วนของมัน เป็นหะดิษที่เฎาะอีฟเป็นอย่างมาก ไม่เศาะเฮียะเลยอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเป็นมติของบรรดาอิหม่ามแห่งหะดิษ ว่า เป็นหะดิษปลอมและหะดิษเฏาะอีฟ เช่น อัดดารุ้ลกุฏนีย์, อัลเญาซะกอนีย์,อิบนชาฮิดัยน์ ,อัลเคาะฏีบ,อิบนุอะสากีร,อิบนุนาศีร,อิบนุลเญาซีย์,อัสสุฮัยลีย์,อัลกุรฏุบีย์ และคณะนักหะดิษกลุ่มหนึ่ง" - ดู เอานุลมะฮฺบูด เล่ม 12 หน้า 492และมัจญมัวะอัลฟะตาวา เล่ม 4 หน้า 324 

ไม่เรียนสิฟัตยี่สิบเป็นมุสลิมได้ไหม




หลังจากที่ อิหม่ามนะวาวีย์ ยืนยันว่า คนที่จะเป็นผู้ศรัทธานั้น เมื่อเขายึดมั่นต่อศาสนาอิสลาม อย่างมั่นคง
เขาก็คือผู้ศรัทธา ไม่จำเป็นจะต้องเรียนหลักฐานของบรรดานักกะลาม ซึ่งเป็นหลักฐานทางปัญญา ใช้เหตุผลอธิบายเตาฮีด

อิหม่ามนะวาวีย์กล่าวว่า

، خِلَافًا لِمَنْ أَوْجَبَ ذَلِكَ وَجَعَلَهُ شَرْطًا فِي كَوْنِهِ مِنْ أَهْلِ الْقِبْلَةِ ، وَزَعَمَ أَنَّهُ لَا يَكُونُ لَهُ حُكْمُ الْمُسْلِمِينَ إِلَّا بِهِ . وَهَذَا الْمَذْهَبُ هُوَ قَوْلُ كَثِيرٍ مِنَ الْمُعْتَزِلَةِ وَبَعْضِ أَصْحَابِنَا الْمُتَكَلِّمِينَ . وَهُوَ خَطَأٌ

แตกต่าง กับผู้ที่บอกว่า ดังกล่าวนั้น (หมายถึงเรียนหลักฐานของนักกะลาม) เป็นวาญิบ และเขาได้กำหนดให้เป็น เงื่อนไข ในการเป็นมุสลิม (อะฮลุลกิบลัต) และเขาเข้าใจว่า จะไม่ได้รับหุกุมว่าเป็นมุสลิม นอกจากจะต้องรู้หลักฐานของนักกะลาม และนี้คือ มัซฮับ มันคือ ทัศนะของพวกมุอตะซิละฮส่วนมากและส่วนหนึ่งของบรรดาสหายของเรา(หมายถึงอุลามาอฺมัซฮับชาฟิอีบางส่วน) ที่เป็นบรรดานักวิชาการกะลาม(นักวิภาษวิทยา) และมัน คือ ทัศนะที่ผิดอย่างชัดเจน
..................................................

อิหม่ามนะวาวีย อะธิบายว่า พวกที่บอกว่า คนจะเป็นมุสลิมนั้นต้องเรียนรู้หลักฐานของบรรดานักวิภาษวิทยา พวกที่เข้าใจแบบนี้คือ พวกมุอฺตะซิละฮ และพวกนักวิชาการกะลาม และทัศนะดังกล่าวเป็นทัศนะที่ผิดอย่างชัดเจน…

อิหม่ามเฆาะซาลีย(รฺ.ฮ) กล่าวว่า

وليس الطريق في تقويته وإثباته إن يعلم صنعة الجدل والكلام بل يشتغل بتلاوة القرآن وتفسيره وقراءة الحديث ومعانيه. ويشتغل بوظائف العبادات

ไม่ใช่หนทางที่จะให้การศรัทธาแก่กล้าและมั่นคง โดยที่จะต้องเรียนรู้การโต้แย้งและตรรกวิทยา(วิภาษวิทยา) แต่ทว่า(การที่จะให้ศรัทธาแก่กล้ามั่นคงนั้น)ด้วยการอ่านอัลกุรอ่าน ,ตัฟสีรของมัน ,อ่านหะดิษและบรรดาความหมายของมัน และการสาละวนกับการประกอบอิบาดะฮต่างๆ -เอียะยาอุลูมีดดีน 1/94

สรุป ว่า การที่จะให้เป็นมุสลิมที่มีศรัทธาแก่กล้า ก็ให้เรียนอัลกุรอ่าน อัลหะดิษ พร้อมกับทำความเข้าใจความหมาย และพร้อมกับการปฏิบัติอิบาดะฮต่างๆ

والله أعلم بالصواب

..........................
อะสัน  หมัดอะดั้ม



มุบาฮะละฮคืออะไร ทำไมต้องมุบาฮะละฮ




คำว่า “มุบาฮะละห์” คือการท้าสาบานให้ประสบกับความวิบัติ

อิบนุกอ็ยยิม ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน กล่าวว่า

إن السنة في مجادلة أهل الباطل إذا قامت عليهم حجة الله ، و لم يرجعوا ، بل أصروا على العناد ، أن يدعوهم إلى المباهلة ، و قد أمر الله سبحانه ، بذلك رسوله صلى الله عليه و سلم ، و لم يقُل : إن ذلك ليس لأمتك من بعدك . و دعا إليها ابنُ عمه عبد الله بن عباس ، من أنكر عليه بعض مسائل الفروع ، و لم يُنكر عليه الصحابة ، و دعا إليها الأوزاعي سفيان الثوري في مسألة رفع اليدين ، و لم يُنكَر عليه ذلك ، و هذا من تمام الحجة

แท้จริงในกรณีการโต้เถียงกับพวกอธรรม เมือหลักฐานของอัลลอฮ ได้โต้แย้งบนพวกเขาแล้ว และพวกเขาก็ไม่กลับตัว ตรงกันข้ามพวกเขายังคงดื้อรั้นต่อไป ตามสุนนะฮ ให้เชิญชวนพวกเขาไปสู่ อัลมุบาฮะละฮ( การวิงวอนเพื่อให้พระเจ้าสาปแช่งคนที่กล่าวเท็จ) และแท้จริงอัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้บัญชาแก่รอซูลของพระองค์ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ด้วยการกระทำดังกล่าวนั้น โดยที่พระองค์ไม่เคยตรัสว่า “ แท้จริงการกระทำดังกล่าวนั้น ไม่อนุญาตแก่อุมมะฮของเจ้า หลังจากเจ้า” และลูกพี่ลูกน้องของท่าน คือ อับดุลลอฮ บิน อับบาส ได้เชิญชวนผู้ที่คัดค้านเขาในบางประเด็นที่เป็นปัญหาข้อปลีกย่อย โดยที่บรรดาเหล่าสาวก(คนอื่นๆ)ไม่ได้คัดค้านเขา และ อัลเอาซาอีย์ เคยเชิญชวนท่านอัษเษารีย์ ให้ไปสู่การทำอัลมุบาฮะละฮ ในประเด็นปัญหาการยกมือทั้งสอง และเขา(อัษเษารีย์)ก็ไม่ได้คัดค้านเขา(อัลเอาซาอีย์) ต่อการกระทำนั้น และนี้คือ เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้หลังฐาน(ที่นำมาอ้าง)สมบูรณ์ – ซาดุลมะอาด เล่ม 3 หน้า 643

อะหมัด บิน อิบรอฮีม กล่าวว่า

و أما حكم المباهلة فقد كتب بعض العلماء رسالة في شروطها المستنبطة من الكتاب و السنة و الآثار و كلام الأئمة ، و حاصل كلامه فيها أنها لا تجوز إلا في أمر مهم شرعاً وقَع فيه اشتباه و عناد لا يتيسر دفعه إلا بالمباهلة ، فيُشتَرط كونها بعد إقامة الحجة و السعي في إزالة الشبه و تقديم النصح و الإنذار

และสำหรับหุกุม(ข้อชี้ขาด) ของการมุบาฮะละฮ นั้น ส่วนหนึ่งของบรรดาอุลามาอฺ ได้เขียนเอกสาร เกี่ยวกับบรรดาเงื่อนไขของมัน ที่วิเคราะห์มาจากอัลกุรอ่าน ,อัสสุนนะฮ ,บรรดาอาษัร และคำพูดของบรรดาอิหม่าม และสรุปจากคำพูดของเขาในมันคือ ไม่อนุญาต นอกจากในเรื่องสำคัญ ในทางศาสนา ที่ความคลุมเครือและการดื้อรั้นเกิดขึ้นในมัน ไม่สะดวกที่จะขจัดมันได้ นอกจากด้วยการมุบาฮะละฮ โดยกำหนดเงื่อนไข ให้มีการมุบาฮะละฮได้นั้นคือ หลังจากที่ได้แสดงหลักฐาน ,การพยายามที่จะขจัดความคลุมเครือ แล้ว และให้มีการตักเตือน และตักเตือนให้ระวังก่อน-ชัรหุเกาะศิดะฮอิบนิกอ็ยยิม 1/37

والله أعلم بالصواب

.....................
อะสัน  หมัดอะด้ัม





วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

นิฟาส (เลือดคลอดลูก)






           ก. คำนิยาม และเวลาของนิฟาส นิฟาสนั้นคือเลือดที่ออกมาจากมดลูกเนื่องจากการคลอดลูกและหลังคลอดลูกและเลือดที่เหลืออยู่ ที่ขังตัวอยู่ภายในมดลูก ในเวลาที่มีการอุ้มครรภ์ แล้วเมื่อคลอดลูกเลือดนี้จะออกมาทีละน้อย และสิ่งที่นางเห็นก่อนการคลอดจากการออกมาของเลือดพร้อมกับเครื่องหมายของการคลอดนั้น มันก็คือนิฟาส และบรรดาผู้ประกอบการวิชาฟิกฮฺได้กำหนดไว้ว่ามีเวลาสองวัน หรือสามวัน ก่อนการคลอด และส่วนใหญ่ระยะเริ่มต้นของมันจะเกิดขึ้นพร้อมกับการคลอด และสิ่งที่ยึดถือได้นั้น ก็คือการคลอดทารกที่มีรูปร่างคนอย่างชัดเจน เวลาที่น้อยที่สุดจะเห็นรูปร่างของทารกได้อย่างชัดเจนก็คือ แปดสิบเอ็ดวัน และเวลามากที่สุดคือ สามเดือน แล้วเมื่อมีสิ่งใดออกมาจากนางในระยะนี้และมีเลือดออกด้วย นางก็ไม่ต้องสนใจมัน ไม่ต้องหยุดการละหมาดและการถือศีลอด เนื่องจากสิ่งดังกล่าว เพราะว่ามันเป็นเลือดเสีย เลือดที่ออกมาผิดปรกติ ข้อชี้ขาดนั้นเป็นข้อชี้ขาดเดียวกับข้อชี้ขาดของสตรีที่มีเลือดเสีย ระยะเวลาที่มากที่สุดของเลือดคลอดลูกส่วนใหญ่แล้วสี่สิบวัน เริ่มจากเวลาคลอดหรือก่อนหน้านั้นสองวันหรือสามวัน เหมือนกับที่ได้ผ่านมา


เนื่องจากฮาดิษของอุมุซาลามะฮฺ รอดิยัลลอฮุอันฮา ที่ว่า

“พวกสตรีที่มีเลือดคลอดลูกนั้นจะพัก (หยุดการละหมาด) ในสมัยของท่าน รอซูล ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม สี่สิบวัน” (รายงานโดย ติรมีซียฺและท่านอื่นๆ)


          นักวิชาการได้เห็นพ้องต้องกันในเรื่องดังกล่าว เหมือนกับที่ติรมีซียฺและท่านอื่นๆได้รายงานไว้ และเมื่อไหร่ที่นางสะอาดก่อนสี่สิบวัน ด้วยการที่เลือดได้ขาดหายไปจากนาง ก็จงชำระล้างร่างกาย และละหมาด เนื่องจากไม่มีขีดต่ำสุด เพราะว่าไม่มีการปรากฏเกี่ยวกับกำหนดระยะเวลาดังกล่าว เมื่อนางได้เวลาครบสี่สิบวัน และการไหลของเลือดนั้นก็ยังไม่หยุด และหากไปตรงกับรอบเดือนปรกติก็ถือว่าเป็นรอบเดือน และหากไม่ไปตรงกับรอบเดือนปรกติ ไหลต่อไปโดยไม่ขาดก็ถือว่าเป็นอิสติฮาเฏาะฮฺ นางจงอย่าพักการเคารพภักดี และหากว่าไหลเกินสี่สิบวันแต่ไม่ไหลตลอดไปและไม่ไปตรงกับรอบเดือน ตรงนั้นนักวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันออกไป

           ข.  ข้อตัดสินที่เกี่ยวกับการคลอดลูก

 ข้อตัดสินของเลือดคลอดลูกนั้นเหมือนกับข้อตัดสินของเลือดรอบเดือนดังต่อไปนี้

1. ห้ามไม่ให้ร่วมประเวณีกับหญิงที่มีเลือดคลอดลูกเหมือนกับที่ห้ามไม่ให้ร่วมประเวณีกับสตรีที่มีประจำเดือน และอนุญาติให้หาความสุขที่ไม่มีการร่วมประเวณี

2. ห้ามสตรีที่มีเลือดคลอดลูกละหมาด และเวียนรอบไบตุลลอฮฺเหมือนกับสตรีที่มีเลือดประจำเดือน

3. ห้ามสตรีที่มีเลือดคลอดลูกสัมผัสอัลกุรอ่านและอ่านอัลกุรอ่าน ตราบใดที่นางไม่กลัวว่าจะลืมเหมือนกับสตรีที่มีรอบเดือน

4. จำเป็นต่อสตรีที่มีเลือดคลอดลูกที่จะต้องชดเชยการถือศีลอดวายิบที่นางได้หยุดพักในขณะที่นางมีนิฟาส ใช้เหมือนกับสตรีที่มีรอบเดือน

5. จำเป็นต่อสตรีที่มีเลือดคลอดลูก ที่จะต้องชำระล้างร่างกายในขณะที่สิ้นสุดจากเลือดคลอดลูกเหมือนกับสิ่งที่กล่าวจำเป็นต่อสตรีที่มีประจำเดือน และหลักฐานในเรื่องราวดังกล่าวนั้นมีมากมาย

 (1)   มีรายงานจากอุมมุซาลามะฮฺ รอดิยัลลอฮุอันฮาได้กล่าวว่า

“พวกสตรีที่มีเลือดคลอดลูกในสมัยท่านรอซูล ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั้นจะหยุดพักสี่สิบวัน” (นักรายงานทั้งห้า ยกเว้นนะซาอี)

          อัลมุญัดดิด อิบนุ ไตยมียะฮฺ รอฮีมาฮุลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ใน อัลมุนตะกอ เล่มที่ 1 หน้าที่ 184 ว่า

“ภรรยาคนหนึ่งของท่านรอซูล ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้หยุดพักในขณะที่มีนิฟาสเป็นเวลาสี่สิบคืน ท่านนบีซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่ได้สั่งให้นางชดเชยละหมาดอันเนื่องมาจากมีเลือดคลอดลูกแต่ประการใด” (อบูดาวูด รายงาน)

ความรู้เพิ่มเติม

          เมื่อเลือดได้หยุดไหลจากสตรีที่มีนิฟาสสี่สิบวันและได้ชำระล้างร่างกาย ละหมาดและถือศีลอด หลังจากนั้นเลือดก็ย้อนกลับมามีแก่นางสี่สิบวัน ที่ถูกต้องนั้นก็คือให้ถือว่าเป็นเลือดคลอดลูกที่จะหยุดพักในช่วงนั้นและสิ่งที่นางได้ถือศีลอดไปในเวลาที่สะอาดที่ที่คั่นอยู่ มันก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง นางไม่ต้องถือศีลอดชดเชยแต่ประการใด โปรดดูมัจมั๊วฟัตตาวาของไชยคฺมุฮัมหมัดอิบรอฮีม เล่มที่ 2 หน้าที่102 และอัลฟัตตาวาของสะมาฮะตุซไชยคฺอับดุลอาซีซ บินบาซ ที่ได้มีการตีพิมพ์ในวารสารอัดดะวะฮฺ เล่มที่ 1 หน้าที่ 44 อธิบายท้ายเล่มของอิบนุก๊อยยิม ในการอธิบายอัซซ้าด เล่มที่ 1 หน้าที่ 405 สารฟิ๊ดดิมาอิฎเฎาะฮฺบีอีอียะฮฺ ลินนิซาอฺ หน้า55-56 และอัลฟัตตาวา วัสสะอฺดียะฮฺ หน้าที่ 137

ข้อควรรู้อีกอันหนึ่ง

           ไชยคฺอับดุลเราะฮฺมานอิบนุสะอฺดี รอฮิมาฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า “ก็เป็นที่ชัดเจนจากสิ่งที่กล่าวมาว่าเลือดคลอดลูกนั้นสาเหตุของมัน คือ การคลอดลูก เลือดเสียนั้น เป็นเลือดที่เกิดขึ้นอันเนื่องจากการมีโรคและอื่นๆ และเลือดรอบเดือนนั้นคือ เลือดแท้ และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้รู้ดีที่สุด” (กรุณาดูหนังสืออิรซาดุลอับซอร วัลอัลบ้าบ หน้าที่ 24)

การกินยา

          ไม่เป็นปัญหาอะไรที่สตรีจะกินยาที่ทำให้รอบเดือนขาดหายไปจากนางเมื่อไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของนาง แล้วเมื่อได้กินเข้าไปแล้วและรอบเดือนได้ขาดไปจากนาง นางนั้นก็จะถือศีลอด ละหมาดและเวียนรอบไบตุลลอฮฺ และสิ่งเหล่านี้ถือว่าใช้ได้สำหรับนางเหมือนกับสตรีที่ความสะอาดคนอื่นๆ


ข้อชี้ขาดของการทำแท้ง

           โอ้สตรีมุสลิมะฮฺเอ๋ย แท้จริงเธอนั้นเป็นผู้ได้รับความไว้วางใจตามบทบัญญัติในสิ่งที่อัลลอฮฺได้สร้างขึ้นมาในมดลูกของเธอจากการอุ้มครรภ์ เธอก็อย่าได้ปกปิดมัน อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสไว้ว่า


“ และไม่เป็นที่อนุมัติสำหรับพวกนางในการที่พวกนางจะปกปิดสิ่งที่อัลลอฮฺได้สร้างขึ้นมาในมดลูกของพวกนางหากว่าพวกนางนั้นเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันสุดท้าย” (อัล-บากอเราะฮฺ 228)

        และเธออย่าได้ใช้เล่ห์กลในการขับมันออกมาและการสลัดมันทิ้งไป ด้วยวิธีใดก็ตาม แท้จริงอัลลอฮฺซุบบะฮานะฮูวะตาอาลานั้น ได้อนุญาติให้เธอละศีลอดในเดือนรอมฎอน เมื่อการถือศีลอดนั้นเป็นสิ่งยากลำบากแก่เธอในขณะที่มีการอุ้มครรภ์ หรือการถือศีลอดนั้นเป็นการทำให้เกิดอันตรายกับทารกในครรภ์ของเธอ และแท้จริงสิ่งที่แพร่หลายในสมัยนี้เกี่ยวกับทำแท้งนั้นมันเป็นสิ่งที่ต้องห้าม และเมื่อสิ่งที่อยู่ในครรภ์ถูกเป่าวิญญาณเข้าไปแล้วและได้ตายไปด้วยสาเหตุของการทำแท้ง แท้จริงนั้นถือว่าเป็นการฆ่าชีวิตที่อัลลอฮฺได้ทรงห้ามไว้ไม่ให้ฆ่า โดยความชอบธรรม และกำหนดให้มีข้อตัดสินของความรับผิดชอบทางด้านอาญาที่จะติดตามมาจากการกระทำดังกล่าว โดยที่จะต้องจ่ายค่าชดเชย (ดียะฮฺ) ตามการแจกแจงและจำเป็นต้องจ่ายค่าไถ่โทษ (กัฟฟาเราะฮฺ) ในทัศนะของอิหม่ามบางท่านคือ การปล่อยทาสที่ศรัทธา แล้วหากเขาไม่พบให้ถือศีลอดสองเดือนติดต่อกัน นักวิชาการบางท่านได้เรียกการกระทำนี้ว่า การฆ่าเด็กทั้งเป็นชนิดเล็ก


           ไชยคฺ มุฮัมหมัด อิบนุ อิบรอฮีม ได้กล่าวไว้ในมัจมั๊วฟัตตาวาของท่าน เล่มที่ 11 หน้าที่ 105 ว่า “ส่วนการใช้ความพยายามขับสิ่งที่มีอยู่ในครรภ์ออกมานั้นเป็นสิ่งต้องห้าม ตราบใดที่การตายของทารกยังไม่เป็นที่แน่นอน แต่ถ้าการตายเป็นที่แน่นอนแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ทำได้” สภาคณะนักวิชาการระดับสูงได้มีมติ เลขที่ 140 วันที่ 20/6/1407 ออกมาดังต่อไปนี้

     1. ไม่อนุญาติให้ขับสิ่งที่มีอยู่ในครรภ์ออกมาในทุกระยะ นอกจากจะมีข้อผ่อนผันทางบทบัญญัติ และอยู่ในกรอบที่แคบมาก

     2. เมื่อทารกที่อยู่ในครรภ์ช่วงแรกนั้นคือระยะเวลาสี่สิบวัน และในการขับออกมาในระยะนี้มีผลดีทางบทบัญญัติหรือป้องกันอันตรายก็เป็นที่อนุญาติในการขับออกได้ แต่ถ้าการขับออกมาในช่วงนี้เนื่องจากกลัวความทุกข์ยากในการเลี้ยงลูก กลัวการที่ไม่สามารถจะเลี้ยงดูและให้ค่าครองชีพแก่พวกเขาและให้ความรู้แก่พวกเขาหรือเพื่ออนาคตของเขาหรือต้องการมีลูกในจำนวนจำกัด อันนี้ไม่ได้รับอนุญาติ

     3. ไม่อนุญาติให้ขับสิ่งที่มีอยู่ในครรภ์ออกมา เมื่อเป็นก้อนเลือดหรือก้อนเนื้อ จนกว่าคณะแพทย์ที่ไว้ใจได้ จะลงมติว่าการคงไว้นั้นเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของแม่โดยเกรงว่าจะเกิดอันตรายแก่นางในการให้มันอยู่ในครรภ์ต่อไป อันนี้อนุญาติให้ขับออกได้ หลังจากที่ได้นำเอาสื่อต่างๆทั้งหมดมาใช้เพื่อขจัดอันตรายต่างๆเหล่านี้ให้หมดไป

     4. หลังจากระยะที่สามและหลังจากครบสี่เดือนของการตั้งครรภ์ ไม่อนุญาติให้ขับออกมา จนกว่าแพทย์กลุ่มหนึ่งที่ศึกษาเฉพาะทางที่เชื่อถือได้ ได้ลงมติว่าการคงทารกไว้ในครรภ์ของแม่นั้นจะทำให้แม่นั้นต้องเสียชีวิต และอันนั้นหลังจากใช้เครื่องมือต่างๆทั้งหมดแล้วเพื่อช่วยชีวิตของเขา และที่อนุญาติให้ขับออกมาได้ตามเงื่อนไขต่างๆเหล่านี้นั้น เพื่อขจัดอันตรายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

            และสภานั้นหลังจากมีมติในสิ่งที่ผ่านมา ก็สั่งเสียให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ และมีการไตร่ตรองและพิจารณาในเรื่องนี้ และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ที่ประทานความสำเร็จ ขออัลลอฮ์นั้นทรงประทานพรแด่นบีของเรา มูฮัมหมัดและวงศ์วานของท่าน และบรรดาสาวกของท่าน และขอพระองค์ทรงประทานความสันติด้วยเถิด

        ในริซาละฮฺฟิดดิมาอิ๊ฎเฎาะบีอียะฮฺ ลินนิซาอฺ ของฟะดีละตุช ไชยคฺ มุฮัมหมัด อิบนุอุไซยมีน มีอยู่ว่า

“เมื่อมีการเจตนาทำลายสิ่งที่มีอยู่ในครรภ์จากการขับออกมา อันนี้หากมันเกิดขึ้นหลังจากการเป่าวิญญาณเข้าไปแล้วเป็นสิ่งที่ต้องห้ามโดยที่ไม่ต้องสงสัยใดๆ เพราะนั่นเป็นการฆ่าชีวิตโดยที่ไม่ชอบธรรม และการฆ่าชีวิตที่เป็นที่ต้องห้ามนั้นเป็นสิ่งที่ต้องห้ามโดยคัมภีร์ แนวทางและการเห็นพ้องต้องกันของปวงปราชญ์” (โปรดดูหน้าที่ 60 จากริซาละฮฺดังกล่าว)

  และอิมามอิบนุลเญาซียฺได้กล่าวไว้ในหนังสือ อะฮฺกามมุนนิซาอฺ หน้าที่ 108,109 ว่า

          เมื่อการแต่งงานเป็นไปเพื่อการให้ได้มาซึ่งลูก และลูกนั้นไม่สามารถจะเกิดขึ้นมาจากทุกน้ำได้ ดังนั้นเมื่อได้ก่อตัวขึ้นมาสิ่งที่ได้มุ่งหมายก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นการที่ไปขับมันออกมานั้นเป็นการฝ่าฝืนจุดประสงค์ของวิทยาญาณ เว้นแต่ว่าอันนั้นเกิดขึ้นในตอนต้นของการตั้งครรภ์ก่อนที่จะมีการเป่าวิญญาณเข้าไป อันนี้ก็เป็นบาปใหญ่ เพราะได้ก้าวเข้าไปสู่ความสมบูรณ์ และกำลังเดินไปสู่ความครบถ้วน เว้นแต่ว่ามันจะมีบาปน้อยกว่าที่มีการเป่าวิญญาณเข้าไปแล้ว เมื่อได้ไปทำการขับออกมานั้นก็เหมือนสังหารผู้ศรัทธา ซึ่งพระองค์ได้ตรัสไว้ว่า...


“และเมื่อเด็กผู้หญิงที่ถูกฝังทั้งเป็นถูกถามว่า ด้วยบาปอันใดที่นางต้องถูกฆ่า” (อัตตักวีร 8-9)


           ดังนั้น โอ้สตรีมุสลิมะฮฺเอ๋ย เธอจงยำเกรงต่ออัลลอฮฺและอย่าได้กระทำบาปนี้ ด้วยวัตถุประสงค์อันใดก็ตาม และอย่าได้หลงโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้หลงทาง และการเลียนแบบที่เสียหายที่ไม่มีการพึ่งพาปัญญาชน หรือศาสนาแต่อย่างใด

.........................................................
จากหนังสือ "คำเตือนที่เกี่ยวข้องกับบรรดาหญิงผู้ศรัทธา"




วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

บางที่ผู้มีอาภรณ์ปกปิดในโลกนี้อาจเป็นผู้เปลือยกายในโลกหน้า



รายงานจากอุมมุสะละมะฮ์ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮ์) ได้กล่าวว่า ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้ตื่นนอนในคืนหนึ่งท่านได้กล่าวว่า ซุบฮานั้ลลอฮ์ มีวิกฤตอะไรบ้างที่ลงมาในคืนนี้ มีคลังอะไรบ้างที่ถูกเปิดออก พวกท่านจงปลุกเจ้าของห้องเหล่านี้ (คือบรรดาภรรยาของท่านนบีเพื่อลุกขึ้นทำความดี) บางทีผู้ที่มีอาภรณ์ปกปิดในโลกนี้อาจเป็นผู้เปลือยกายในโลกหน้าอาคิเราะห์ก็ได้” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์ เลขที่ 115)

ทุกคนนั้นมีสองด้าน และทุกคนนั้นเคยกระทำความผิด



พระองค์อัลลอฮฺตะอาลา ผู้ทรงกรุณา ผู้ทรงเมตตา พระองค์ทรงให้อภัยและลบล้างความผิดให้แก่เขา แล้วไฉนเราในฐานะมนุษย์ผู้เป็นมัคลูคถูกสร้างด้วยกันจะไม่ให้อภัยให้แก่กันละ หากเขามีความสำนึกผิด

ท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
"ลูกหลานอาดัมทุกคนล้วนมีความผิดทั้งสิ้น แต่ผู้ที่ทำความผิดที่ดี คือ ผิดแล้วสำนึกตัว (หรือเตาบะฮฺ) นั่นเอง" (รายงานโดยอะนัส บันทึกโดยอัตติรมีซีย์และผู้บันทึกหะดีษคนอื่นๆ)

และบรรดาผู้ข่มโทษและบรรดาผู้อภัยแก่เพื่อนมนุษย์ อัลลอฮฺนั้นทรงรักผู้กระทำดีทั้งหลาย
(อัลกุรอาน สูเราะห์ อาลีอิมรอน : 134)

“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงเตาบัตต่ออัลลอฮฺด้วยการเตาบัตที่จริงจัง
เผื่อว่าอัลลอฮฺจะทรงลบล้างความผิดของพวกเจ้า และนำพวกเจ้าเข้าสู่สวรรค์ซึ่งมีสายน้ำไหลผ่านอยู่เบื้องล่างของมัน
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัต-ตะหฺรีม: 8)


อย่าฆ่ามด


รายงานจากอบูฮุรอยเราะฮ์ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮ์) ได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า

“มดตัวหนึ่งได้กัดนบีท่านหนึ่งจากบรรดานบีทั้งหลาย นบีท่านนั้นได้ออกคำสั่งให้เผาหมดทั้งรัง และพวกมันได้ถูกเผา อัลลอฮฺได้มีวะฮีย์มายังนบีท่านนั้นว่า : การที่มดตัวหนึ่งกัดท่าน ทำให้ท่านต้องเผาประชาชาติหนึ่งจากบรรดาประชาชาติที่กล่าวคำสดุดี (ตัสบีฮ์) ต่ออัลลอฮฺทั้งหมดเลยหรือ?” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์ เลขที่ 3019)

การสั่งใช้ให้ตัดสายธนูที่แขวนคออูฐ ซึ่งมีความเชื่อว่ามันช่วยป้องกันดวงตาที่ชั่วร้าย



รายงานจากอบู บะชีร อัลอันศอรีย์ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮ์) ว่าเขาอยู่กับท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ในการเดินทาง บางครั้งของท่าน ขณะที่ผู้คนยังอยู่ในที่นอนของพวกเขา ท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้ส่งผู้แทนคนหนึ่งให้แจ้งว่า : อย่าให้เหลืออยู่ที่คออูฐสิ่งที่ใช้แขวนคอที่ทำจากสายคันธนู หรือสิ่งใดๆที่ใช้แขวนคอ นอกจากต้องถูกตัดออกไป (เพื่อรักษาหลักศรัทธาที่ถูกต้อง เพราะเขามีความเชื่อว่าการแขวนคอสัตว์ด้วยสายธนูสามารถป้องกันดวงตาที่ชั่วร้ายได้)” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์ เลขที่ 3005)

จากหะดิษท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้สั่งให้ทำการตัดสายคันธนู หรือสิ่งอื่นใดที่แขวนอยู่ที่คออูฐ เพื่อทำลายความเชื่อที่ว่า สายคันธนู หรือสิ่งอื่นใดที่แขวนอยู่ที่คออูฐจะสามารถช่วยป้องกันดวงตาที่ชั่วร้ายได้ อันเป็นการขัดกับหลักศรัทธาของอิสลาม ที่เชื่อว่าพระองค์อัลลอฮฺตะอาลาแต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ให้คุณให้โทษแก่เขาผู้นั้นได้


แล้วจะนับภาษาอะไร กับที่มีการแขวนเส้นด้ายสีขาว หรือหลากสี อาซีมัต หรือวัตถุอื่นใดไว้ที่คอ เอว หรือข้อมือ โดยมีความเชื่อว่าเส้นด้าย อาซีมัต หรือสิ่งใดที่แขวนไว้นั้นจะช่วยป้องกันจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือพยันอันตรายต่างๆแก่เขาผู้นั้น ที่มันต้องถูกห้าม และตัดทิ้งไปจากร่างกายของเขาเสีย เพื่อรักษาหลักศรัทธาอากีดะฮ์ที่บริสุทธิ์ไว้ 





คัมภีร์กุรอานต่างจากคัมภีร์ไบเบิลอย่างไร






ชาวคริสเตียนบางคนกล่าวว่าคัมภีร์กุรอานเป็นเพียงสิ่งที่คัดลอกมาจากคัมภีร์ไบเบิลหรือไม่ก็นบีมุฮัมมัดเป็นผู้คัดลอกมา
เป็นเรื่องจริงที่นบีมุฮัมมัดได้รับคัมภีร์กุรอานหลังจากที่คัมภีร์ไบเบิลได้มีอยู่ก่อนแล้ว และก็เป็นเรื่องจริงที่คัมภีร์กุรอานกับคัมภีร์ไบเบิลพูดถึงหลายสิ่งที่เหมือนกัน แต่การด่วนสรุปว่ามุฮัมมัดได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเพื่อที่จะคัดลอกมาทำเป็นคัมภีร์กุรอานนั้นดูเหมือนว่าเป็นเรื่องไร้สติและรับไม่ได้เพราะเหตุผลดังต่อไปนี้
1) ไบเบิลภาษาอาหรับไม่มีในสมัยนบีมุฮัมมัด
ในสมัยของนบีมุฮัมมัดไม่มีคัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลภาษาอาหรับซึ่งเรื่องนี้นักวิชาการตะวันตกเองก็ยอมรับ
ในหนังสือเรื่องข้อความในพระคัมภีร์เดิมโดยเอิร์นส์ Wurthwein กล่าวว่า:
"ด้วยชัยชนะของอิสลาม ดังนั้น
ดังนั้น ความจริงแล้ว 9 นี่เอง
ส่วนในเรื่องของพันธสัญญาใหม่นั้นซิดนีย์กริฟฟิ ธ (ซิดนีย์เอชริฟฟิ ธ ) :
?บันทึกคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ในภาษาอาหรับที่เก่าแก่ที่สุดก็คือฉบับซีนายซึ่งถูกเขียนโดยสตีเฟ่นแห่งร็อมละฮฺในปี ค.ศ. 897?
นบีมุฮัมมัดเสียชีวิตในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 7 หรือใน ค.ศ. 632
2) นบีมุฮัมมัดไม่รู้หนังสือ
ดังนั้น ชาวยิวชาวโซโรแอส เพราะแม้แต่ศัตรูของอิสลามเมื่อ 1,400
"และก่อนหน้านั้น มิฉะนั้นแล้ว มิใช่เช่นนั้นหรอก (กุรอาน 29: 48-49)
3) ไม่มีการแปล
ภาษาที่นบีมุฮัมมัดพูดคือภาษาอาหรับและคัมภีร์กุรอานก็ถูกประทานแก่ท่านเป็นภาษาอาหรับ คัมภีร์กุรอานภาษาอาหรับดั้งเดิมถูกเรียกว่าอัลกุรอานเสมอ ไม่เคยมีการแปล แต่ภาษาของคัมภีร์ไบเบิลพันธสัญญาเก่าเป็นภาษาฮิบรูโบราณและพระเยซูก็เป็นชาวยิวที่พูดภาษาอาราเมอิคที่เป็นภาษาพูดของชาวฮิบรู ภาษานี้ถูกจัดอยู่ในภาษาเซมิติกตะวันออก แต่คัมภีร์ไบเบิลพันธสัญญาใหม่ถูกเขียนขึ้นเป็นภาษากรีกซึ่งเป็นภาษาตะวันตกหลังสมัยของพระเยซูคริสต์
คัมภีร์ไบเบิลเป็นการรวบรวมการเขียนที่ทำขึ้นในช่วงเวลาต่างๆของประวัติศาสตร์และได้รับการตรวจแก้ไขโดยนักเขียนหลายคน บางฉบับก็ไม่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
Codex Vaticanus Codex Sinaticus (ถูกเก็บรักษไว้ในห้องสมุดอังกฤษ) เพียงเล็กน้อย 4
50 ฉบับถูกเขียนขึ้นในศตวรรษที่ 1 หรือ 2 ในจำนวนมีสี่ฉบับคือมัทธิวมาระโก 4
รูดอล์ฟบุลท์มานน์ (รูดอล์ฟ Bultmann) 20 : ยิ่งไปกว่านั้น
ค.ศ. 57-70 ค.ศ. 85-100
4) การอ้างอิงตัวเอง
นั่นคือ ความจริงแล้ว
เมื่อเปรียบเทียบกับคัมภีร์กุรอานแล้ว ข้ออ้างของคัมภีร์กุรอานที่ว่าตัวมันเองเป็นบันทึกวจนะของพระเจ้าที่ถูกประทานลงมาแก่นบีมุฮัมมัดสามารถยืนยันได้จากความจริงที่ว่าผู้พูดในคัมภีร์กุรอานคือพระเจ้าที่พูดโดยตรงกับมนุษย์ในขณะที่คำพูดของท่านนบีมุฮัมมัดที่ถูกเรียกว่าฮะดีษนั้นถูกรวบรวมแยกไว้ต่างหาก คัมภีร์กุรอานบอกแล้วบอกอีกว่ามันเป็นวจนะของพระเจ้า มันมีการอ้างอิงตัวเองนั่นคือมันเรียกตัวเองว่ากุรอานถึง 70 ครั้งด้วยกัน
5) การจดจำ
ถ้อยคำของคัมภีร์กุรอานถูกประทานแก่นบีมุฮัมมัดตลอดช่วงชีวิตแห่งการเป็นนบีของท่านเป็นเวลาถึง 23 ปีซึ่งในช่วงนี้มีเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมายและคัมภีร์กุรอานได้ถูกประทานลงมาแก่ท่านเพื่อเป็นทางนำและตอบปัญหาต่างๆ เมื่อนบีมุฮัมมัดได้รับข้อความเหล่านี้ ท่านก็ได้สั่งให้บรรดาสาวกของท่านบันทึกหรือไม่ก็ท่องจำไว้ ในเวลานั้นมีสาวกของท่านมากมายหลายคนที่สามารถท่องจำกุรอานได้จนเราสามารถพูดว่านับตั้งแต่วันแรกที่ได้มีการประทานกุรอานลงมา คัมภีร์กุรอานได้อยู่ในมือและอยู่หัวใจของผู้คนมากมายแล้ว
ก่อนที่นบีมุฮัมมัดจะเสียชีวิตคัมภีร์กุรอานทั้งหมดได้ถูกเขียน และนับตั้งแต่นั้นมา ดังนั้น หากใครคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขใด ๆ คนเหล่านี้ก็สามารถรู้ได้ทันทียิ่งไปกว่านั้น "แท้จริง (กุรอาน 15: 9)
ในตอนที่นบีมุฮัมมัดเสียชีวิต บรรดาสาวกของท่านนบีก็ได้รวบรวมส่วนต่างๆของคัมภีร์กุรอานที่ตัวเองมีอยู่เข้าเป็นรูปเล่มแล้ว ในสมัยของเคาะลีฟะฮฺอบูบักรฺผู้สืบอำนาจการปกครองต่อจากท่านนบีมุฮัมมัดได้มีการแต่งตั้งให้เซด บินษาบิตเป็นผู้รวบรวมคัมภีร์กุรอานฉบับทางการขึ้น หลังจากที่ได้ตรวจสอบความถูกต้องอย่างพิถีพิถันแล้ว กุรอานที่ถูกรวบรวมโดยเซดก็ได้ถูกใช้เป็นฉบับทางการ
6) ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข
ดังนั้น ดังนั้น
1400 บางภาษาเปลี่ยนไปในเวลาเพียงแค่ 100-200 ปีดังนั้น 1,400 ปี แต่กระนั้นจนปัจจุบันนี้ทุกวันทุกชั่วโมงทุกนาที ยิ่งมีหนทางในการสื่อสารมากเท่าใด

อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า (กุรอาน 2: 2) ในอีกอายะฮฺหนึ่งอัลลอฮฺทรงกล่าวว่า "จงกล่าวเถิดว่าเมื่อความจริงมาความเท็จก็มลายไปแท้จริงความเท็จนั้นจะมลายไปเสมอ" (กุรอาน 17 : 81)

......................................................
บทความโดยอาจารย์บรรจงบินกาซันประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลามมูลนิธิสันติชน


ศาสนาไม่ได้วัดกันที่ฐานะ



รวยทรัพย์‬..ไม่ได้หมายความว่า อัลลอฮฺรักท่าน

‪#‎จนทรัพย์‬..ไม่ได้หมายความว่า อัลลอฮฺไม่รักท่าน

"รวย หรือ จน" ไม่ได้เป็นเครื่องตัดสินในเรื่อง

ความรักที่พระองค์มีให้ต่อบ่าว..แต่มัน คือ.
.
‪#‎บททดสอบความใกล้ชิด‬ ของบ่าวที่มีต่อพระองค์

การที่บ่าวได้ใกล้ชิดกับพระองค์ต่างหาก คือ

เครื่องวัด..ความรักของพระองค์..ที่มีต่อบ่าว

‪#‎อัลฮัมดุลิลลาฮฺ‬





และแล้วท่านก้อลืมพระองค์


ท่านมีความรักต่อ “โลกดุนยา” ความสบายที่ท่านมองเห็น
หากแต่ท่านกลับลืม “ปรโลก” (ชีวิตหลังความตาย) มันน่ากลัวยิ่งที่ท่านกลับมองไม่เห็นมัน

ท่านมีความรักต่อ “ทรัพย์สินเงินทอง”
หากแต่ท่านกลับลืม “ฮิซาบ” (การคิดคำนวณ) การไคร่ครวคิดมากกับการศอดาเกาะ

ท่านมีความรักต่อ “การกระทำบาป”
หากแต่ท่านหลงลืมที่จะ “สำนึกในบาป” (ปฏิเสธความชั่ว) กลับตัวสำนึกตน

ท่านมีความรักต่อ “ที่พำนักอันหรูหรา”
หากแต่ท่านกลับลืม “หลุมฝังศพ” ที่มีแึ่แผ่นกระดานกับผ้าขาวติดตัวท่านเท่านั้นเอง (สถานที่พำนักในบั้นปลายของท่าน)

ท่านมีความรักต่อ “สิ่งถูกสร้าง”
หากแต่ท่านกลับลืม “ผู้ทรงสร้าง” (อัลลอฮ) ที่ท่านจะไม่มีวันสมหวังกับผู้ถูกสร้าง

เตื่อนฉันหากฉันทำผิด
ึคอยเคียงข้างฉันหากฉันล้มลงเดินไม่ไหว
จูงมือฉันหากเส้นทางที่เดินนั้นอันตรายเกินไป
ส่งกำลังใจแก่ฉัน หากวันใดท้อแท้ขึ้นมา

สิ่งสุดท้ายที่ปราถนา
คือการไม่ทิ้งกันไปไหน
แม้ดุนยาเราต้องห่างกันไกล
ดูอาร์ได้ไหม บนสวรรค์ เราจะเจอกันอีกครั้งพร้อมกับความเมตตาทีีพระองค์ทรงมอบให้เราฺ


................................
เลือกเป็น.ต้นไม้ หรือไม้.ขีดไฟ

จงถือศีลอดในดุนยา เพื่อจะได้ละศีลอดในสวรรค์

จงถือศีลอดในดุนยา
เพื่อจะได้ละศีลอดในสวรรค์
....หมายถึง
จงอดทนและข่มอารมณ์ต่อความชั่ว
....แล้วเราจะได้สุขสมและรื่นรมย์ในวันอาคิเราะฮฺ
ดุนยาเป็นที่วางเท้า
ในขณะที่อาคิเราะฮฺ
คือที่ ๆ เราจะวางหัวใจ


.....................................
(จากหนังสือ : เศษดิน ต้นไม้ และปลายฝัน / โดย : คุณครูขนมปัง)

รอยเท้าเล็กๆของฉัน




ยามเราเดินไปมาบนพื้นดิน เราเคยทบทวนไหมว่า ?
จะเป็นเช่นไร หากวันหนึ่งเราต้องนำกลับสู่ดิน
ยามเราก้มลงสูญูดเพื่อแสดงความภักดีต่อพระองค์ เคยไหม ?
ที่จะวอนขอให้พี่น้องของเราพ้นทุกข์ ในทุกสภาวการณ์
ยามเรามีกินอย่างสุขสม เคยไหม ?
ที่จะนึกถึง คนที่ไร้ซึ่งอาหารการกิน
ยามเรารวย เคยไหมที่จะ ?
บริจาค(ซะกาต) ให้กับผู้ที่ยากไร้
และเคยทบทวนไหมว่า วันหนึ่งเราจะกลับไปยังพระองค์
ทุกวันนี้เราทำอะไรกันอยู่ ?? หรือแค่ใช้เวลาไปวันๆหนึ่งหมดไปกับโลกดุนยา !!

ท่านรอซูลลุลลอฮฺ (ซ.ล) กล่าวว่า..
“ มีนิอฺมะฮฺ (หมายถึงความดี ความสุข หรือความโปรดปรานที่พระองค์ทรงประทานให้)”
นั่นคือ 1. การมีสุขภาพดี 2.การมีเวลาว่าง
(หะดีษ เล่าจาก อิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮุ อันฮูมา รายงานโดยบุคอรีย์)

บทกวีอาหรับตอนหนึ่งกล่าวว่า : เวลานั้นคือสิ่งที่มีค่าที่สุด ท่านถูกกำชับให้รักษา
แต่ฉันเห็นว่า มันก็ง่ายมากที่ท่านจะสูญเสียมันไป !!
แล้วคุณล่ะ ใช้เวลาหมดไปกับการทำอะไรบ้าง ??
วันนี้ คุณเคยยกมือ แล้ววอนขอต่อพระองค์ให้พี่น้องของคุณแล้วหรือยัง ??
หรือคุณกำลังนั่งเล่นสนุกสนาน เพลิดเพลินไปกับการเล่นเฟสบุ๊ค ฟังเพลง.. !! คิดสิ คิด
เตือนตัวเอง
เลือกเป็นต้นไม้ หรือไม้ขีดไฟ




คุณอยากจะท้าทายอำนาจของอัลลอฮฺ ตะอาลา หรือเปล่า ?




- ชายคนหนึ่งสร้างเรือโดยสารขนาดยักษ์มีชื่อว่า
" ไททานิค "
เขาถูกถามว่าเรือลำนี้ปลอดภัยแค่ไหน ?
เรือลำนี้สร้างจากเหล็กกล้า แข็งแรง เขาตอบว่า
" เรือลำนี้แม่แต่พระเจ้าก็ไม่มีวันทำให้มันจม"
และเราทั้งหลายต่างรู้กันดีว่า
มันเกิดอะไรขึ้นกับเรือไททานิค!

- ประธานาธิปดี Tancredo Neves แห่งบราซิล
ณ ตอนนั้นเขากำลังอยู่ระหว่างการเลือกตั้ง
เขาบอกว่าเขาได้คะแนนเสียง 500,000 โหวต
และแม้แต่พระเจ้าก็ไม่สามารถปลดเขา
ออกจากตำแหน่งประธานาธิปดีได้
เขาได้รับเลือกหลังจากนั้น แต่เขาป่วย
และเสียชีวิตลงในวันก่อนหน้า
ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิปดี!

- Cazuza นักร้องดังและนักแต่งเพลงชาวบราซิล
ระหว่างการแสดงเขาสูบบุหรี่
และพ่นควันฉุยออกมาพลางพูดว่า
" พระเจ้า....นี่สำหรับท่าน"
เขาเสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 32 ปี
จากโรคมะเร็งปอด
อยู่ในท่าที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง!

ถึงตอนนี้มาดูสิ่งที่อัลลฮฺ
ได้ทรงประทานลงมายังอัลกุรอาน
"และอย่าเดินบนแผ่นดินอย่างเย่อหยิ่งแท้จริง
เจ้าจะแยกแผ่นดินไม่ได้เลย
และจะไม่บรรลุความสูงของภูเขา "
( ซูเราะฮฺ - อัล อิสรออฺ 17:37 )


.....................................................

Jibby Wong แปลจาก Productive Muslim




ถ้าหากว่ามุสลิมไม่มีใครเลยที่สร้างความเดือดร้อน ไม่ค้ายา ไม่ก่ออาชญากรรม ไม่เกเรระรานผู้อื่น




คำถามคือ จะถูกผู้ปฏิเสธเกลียดชังและต่อต้านหรือไม่?

คำตอบคือถูกเกลียดและต่อต้านอย่างแน่นอนครับ

ต่อให้มุสลิมถูกเข่นฆ่าถูกกระทำฝ่ายเดียว โดยไม่มีอัลกออิดะฮฺ ไม่มีไอเอสออกมาต่อสู้ วางระเบิดตัดคอ กลุ่มคนที่ต่อต้านอิสลามก็จะเกลียดชังและใส่ร้ายมุสลิมอยู่ดีครับ

หลักฐานและบทเรียนที่อัลลอฮฺสอนให้เรารับรู้คือ ตัวอย่างของบรรดานบีและรอซูลที่ถูกต่อต้าน บ้างก็ถูกเข่นฆ่า ผู้ศรัทธาในอดีต มีกลุ่มที่ถูกโยนหลุมฝัง มีถูกเผาไฟทั้งเป็น บรรดาสตรีที่ประเสริฐอย่างท่านหญิงมัรยัม (มารี) และอะอิชะฮฺ ก็ถูกคนชั่วใส่ร้าย

นบีอีซา (เยซู) ทำผิดอะไรหรือ ถึงถูกศัตรูพยายามฆ่า นบีมุฮัมมัดทำผิดอะไรหรือ จึงได้ถูกต่อต้านล่าสังหาร ปัจจุบันก็ถูกคนยุคนี้ใส่ร้ายกุเรื่องมดเท็จมาโจมตี

เหล่านี้เรียกว่า

‪#‎โรคเกลียดคนดี‬ ‪#‎โรคเกลียดสัจธรรม‬ เป็นอุปนิสัยแบบเดียวกับบรรดาญินชัยฏอน ที่คอยหลอกลวงมนุษย์

หากหนักๆเข้าถึงจุดหนึ่ง เขาจะตกอยู่ในสถานะศัตรูอิสลาม

ซึ่งพี่น้อง ต้องแยกแยะให้ดีว่า ผู้ปฏิเสธอิสลาม มีทั้งคนที่มีคุณธรรมขั้นพื้นฐาน มีความเป็นธรรม จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่เขาจะเป็นพันธมิตรกับเรา แล้วก็จะมีประเภทไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร จากนั้นก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นศัตรูกับเรา

‪#‎ประเด็นต่างๆที่โรฮิงญาถูกใส่ร้าย‬
- เป็นคนจากที่อื่นไปรุกรานพม่าเจ้าของประเทศ เข่นฆ่าคนพุทธ ข่มขืนผู้หญิง จนพม่าทนไม่ได้
- อยู่ที่ไหนก็ไม่ทำอะไร งอมืองอเท้า ผลิตลูกอย่างเดียว ไปคอยอ้อนขอความช่วยเหลือจาก UN กดดันประเทศต่างๆ
- เป็นกลุ่มหัวรุนแรง ฝึกอาวุธ พร้อมรวมกับกลุ่มก่อการร้ายประเทศต่างๆ


.................
อัซซาบิกูน


วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

หะดิษเกี่ยวพ่อแม่นบี อิหม่ามนะวาวีย์อธิบายอย่างไร




عَنْ أبِي هُرَيْرَةَ قَالَ زَارَ النَّبِيُ صَلىَ الله ُعَليْهِ وَسَلَّمَ قَبْرَ أُمِّهِ فَبَكَى وَأبْكَى مَنْ حَوْلَهُ فَقَالَ اِسْتَأدَنْتُ رَبِّي فِي أنْ أسْتَغْفِرَ لَهَا فَلَمْ يُؤْدَنْ لِي وَاسْتأَدَنْتُهُ فِي أنْ أزُوْرَ قَبْرَهَا فَأدِنَ لِي فَزُوْرُوا القُبُوْرَ فَاِنَّهَا تُدَكِّرُ المَوْتَ

“อบีฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ไปเยี่ยมหลุมศพแม่ของท่าน แล้วท่านก็ร้องไห้ จึงทำให้ผู้ที่อยู่รอบข้างท่านร้องไห้ไปด้วย ท่านกล่าวว่า ฉันร้องขออนุญาตต่อองค์อภิบาลของฉันในการขออภัยโทษให้กับแม่ของฉัน แต่พระองค์ไม่ทรงอนุญาต ฉันจึงขออนุญาตต่อพระองค์ในการเยี่ยมหลุมศพแม่ของฉัน แล้วพระองค์ก็ทรงอนุญาต ดังนั้นพวกเจ้าทั้งหลายควรเยี่ยมหลุมศพกันเถิด เพราะมันทำให้ระลึกถึงความตาย” (ศอเฮียะห์มุสลิม กิตาบุ้ลญะนาอิซ ฮะดีษเลขที่ 1622)

อิหม่ามนะวาวีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)อธิบายว่า

فيه أن من مات في الفترة على ما كانت عليه العرب من عبادة الأوثان فهو من أهل النار ، وليس هذا مؤاخذة قبل بلوغ الدعوة ، فإن هؤلاء كانت قد بلغتهم دعوة إبراهيم وغيره من الأنبياء صلوات الله وسلامه عليهم "

ในหะดิษนี้ แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่อยู่ในยุคฟัตเราะฮ(ยุคที่ไม่มีนบีถูกส่งมาหรือขาดช่วงต่อระหว่างนบี)) ได้เสียชีวิต บนสิ่ง(ความเชื่อ)ที่ชาวอาหรับเป็นอยู่จากการบูชาเทวรูป เขาคือส่วนหนึ่งจากชาวนรก และ กรณีนี้ ไม่ใช่เป็นการเอาผิดก่อนการดะฮวะฮ(เชิญชวนสู่อิสลาม)มาถึง เพราะพวกเขาเหล่านี้ การดะฮวะฮของนบีอิบรอฮีมและอื่นจากท่าน จากบรรดานบี (ขอให้บรรดาพรและความสันติสุขของอัลลอฮ จงประสบแด่พวกเขา) ได้ถึงมายังพวกเขาแล้ว " - ชัรหุมุสลิม เล่ม 3 หน้า 79

การมีตระกูลเดียวกันกับคนดีนั้น ไม่ได้ทำให้มนุษย์ปลอดภัยจากการลงโทษของอัลลอฮ ตะอาลา ดังที่ท่านอิ ม่ามนะวาวีย์ได้กล่าวว่า
من مات على الكفر فهو في النار ولا تنفعه قرابة المقربين "
ผู้ใดตายในสภาพที่เป็นกุฟุร เขาก็อยู่ในนรก และการเป็นญาติใกล้ชิดกับบรรดาผู้ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้านั้น ไม่ได้ก่อประโยชน์ ให้แก่เขาแต่ประการใด" ดู ชัรหุมุสลิม 3/79

والله أعلم بالصواب


ใครคืออบูบักรฺ ?




มุฮัมมัดศิดดีก อัลมินซาวีย์ : เขียน

นาอีม วงศ์เสงี่ยม : แปล

**** ไปดูเพื่อนท่านซิ ***
มุฮัมมัดศิดดีก อัลมินซาวัย์ : เขียน

นาอีม วงศ์เสงี่ยม : แปล

(จากหนังสือ : 101 เรื่องเล่าจากชีวิต “อบูบักร อัศศิดดีก”)

Jiyah Abdulloh  โพสต์
………………………………………..


ท่านคืออัลดุลลอฮ์อิบนุอุษมานอิบนุอามิรอัลกุเราะซัย์....อบูบักร อิบนุอบีกุฮาฟะฮ์ อัตตัยมีย์ ผู้เป็นเคาะลีฟะฮ์ (ผู้นำสูงสุดของมุสลิม) คนแรก เป็นบุคคลหนึ่งที่ได้รับการแจ้งข่าวดีว่าเป็นชาวสวรรค์ เป็นหนึ่งในกลุ่มคนแรก ๆ ที่รีบเร่งสู่ความดี เป็นชายคนแรกที่รับอิสลาม เป็นผู้ใช้จ่าทั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์เพื่อศาสนา ท่านคอยปกป้องท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อย่างกล้าหาญ กล่าวได้ว่าอัลลอฮ์ปกป้องศาสนาอิสลามด้วยกับท่าน ประทานศรัทธาและความมั่นใจแก่ท่าน ให้ท่านเป็นสัญลักษณ์ของบรรดามุสลิม ประหนึ่งเป็นดาบที่คอยประหัตประหารศีรษะของพวกมุนาฟิกและพวกนอกรีต

อบูบักร เกิดภายหลังจากปีช้าง (ปีที่ท่านนบีเกิด) 2 ปีครึ่ง เติบโตเป็นหนุ่มอยู่ในหนทางอันเที่ยงธรรม ไม่เคยอธรรมและข่มเหงใคร ห่างไกลจากความสกปรกแห่งญาฮิลียะฮ์ มีมารยาทอันงดงามของอาหรับ เป็นเพื่อนที่ดี เป็นสหายที่เอาใจใส่ รักษาสัญญา ชอบเป็นมิตรกับผู้อื่น ห้ามตัวเองมิให้ดื่มสุราตั้งแต่ก่อนเข้ารับอิสลาม เป็นผู้ใจบุญและเมตตา ชอบให้อาหารคนยากจนและช่วยเหลือคนอ่อนแอ ชื่นชมคนที่เข้มแข็ง

ท่านเป็นผู้นำแห่งบรรดาผู้นำทั้งหลาย มักจ่ายค่าสินไหมทดแทนคนที่ไปสังหารผู้อื่นโดยไม่ตั้งใจ เมื่อรับผิดชอบการงานใดแล้ว ผู้คนก็จะไว้ใจท่านขณะที่หากคนอื่นมารับแทนก็มักจะบิดพลิ้ว มีสถานะอันสูงส่ง คำพูดเป็นที่ยอมรับ เป็นนักธุรกิจที่มีความชำนาญ มีประสบการณ์ช่ำชอง มีความสามารถด้านการทำนายฝันและทุกสิ่งที่คนเห็นขณะนอกหลับ

ท่านถูกขนานนามว่าเป็นผู้เมตตากรุณา เนื่องจากการที่ท่านมีใบหน้าที่อ่อนโยน เป็นมิตร มีตระกูลดี เชื้อสายสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งใดที่จะถูกหยิบมาเป็นข้อตำหนิต่อท่าน มีสติปัญญาที่ฉลาดและแม่นยำ เป็นคนรูปร่างหน้าตาดี ผิวขาว รูปร่างผอม มีดวงตาลึก หน้าผากกว้าง เนื้อที่ใบหน้าน้อย

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ รักท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อัลอะมีน (ผู้ซื่อสัตย์) ยิ่ง ซ่อนความปรารถนาดีและความเป็นห่วงเป็นใยท่านนบี เข้ารับอิสลามโดยไม่ลังเลและรีรอ ศรัทธาอย่างแท้จริง นำทรัพย์สินของท่านรับใช้ศาสนา ปล่อยทาสอิสลามที่อ่อนแอ อดทนต่อการทำร้ายของพวกมุชรีกีน ครั้นเมื่อการทำร้ายทวีความรุนแรง ท่านนบีถูกบีบบังคับและกดดัน จนต้องอพยพออกจากมักกะฮ์ไปอบิสสิเนีย อิบนุดดุฆุนนะฮ์ นำท่านกลับมาในฐานผู้ถูกคุ้มครอง จากนั้นท่านก็ปฏิเสธที่จะรับการคุ้มครอง ทว่ายังยืนหยัดป่าวประกาศสัจธรรมแห่งศาสนาของอัลลอฮ์ผู้ทรงพลัง เป็นผู้เชื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในเหตุการณ์อิสรออ์ ปกป้องท่านนบีจากทุกการปฏิเสธ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงขนานนามท่านว่า “อัศศิดดีก” (ผู้สัจจริง) เป็นที่รักและเพื่อนสนิทของท่านนบี แต่งงานลูกสาวผู้เป็นที่รักยิ่งให้กับท่านนบี

ในช่วงเวลาแห่งการอพยพไปยังมะดีนะฮฺ ท่านได้ร่วมเดินทางไปกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ช่วงเวลากลางคืน คือ บุคคลที่สองในถ้ำพร้อมกับท่านนีบร่วมเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์กับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เผชิญหน้าต่ออุปสรรคมากมายร่วมกับท่านนบี เข้าร่วมหลายสงคราม โดยที่อัลลอฮ์ช่วยเหลือท่านด้วยการมอบชัยชนะให้มากมาย

กลางคืนท่านยืนละหมาด กลางวันท่านถือศีลอด นอบน้อมต่อผู้คน รังเกียจและสมถะต่อดุนยา เป็นผู้รู้และปฏิบัติตามที่รู้ ประพฤติความดีงามมากมาย ไม่ปล่อยประตูแห่งความดีใดไว้นอกจากจะเคาะแล้วเข้าไป ไม่มีหนทางดีงามใดที่ท่านไม่ย่างก้าวผ่าน ร้องไห้ง่าย แม้ว่าจะมีลักษณะร่าเริงแจ่มใส เป็นผู้ยำเกรงแห่งคนดีทั้งหลาย ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แจ้งข่าวดีว่าท่านจะรอดพ้นจากไฟนรกและได้เข้าสวรรค์พร้อมกับแกนนำคนดี

ท่านได้รับสัตยาบันให้เป็นเคาะลีฟะฮ์แต่กลับถ่อมตนพยายามหนีจากตำแหน่ง ทว่าเมื่อจำเป็นต้องเป็นผู้นำสูงสุด ท่านก็แสดงความเด็กขาดด้วยการส่งกองทัพของอุซามะฮ์ไปต่อสู้กับพวกกบฎสิ้นศษสนา ผู้ไม่ยอมจ่ายซะกาตด้วยความดื้อรั้น ในสมัยปกครองของท่าน กองทหารมุสลิมมากมายถูกส่งไปเพื่อเขย่าบัลลังก์ของเหล่ากษัตริย์ทั้งหลาย จนกระทั่งอิสลามได้รับชัยชนะและพิชิตดินแดนต่าง ๆ ได้มากมาย

ท่านเป็นผู้รวบรวมอัลกุรอาน เผยแผ่ศาสนาและหลักศรัทธา เป็นนักปราศรัยที่มี่วาทศิลป์คมคาย เป็นผู้นำ (เคาะลีฟะฮ์) ที่ยิ่งใหญ่ มีลักษณะเมตตาและสุขุม เป็นผู้มีศาสนาและความรู้ ชอบให้สลามผู้คน เป็นผู้นำละหมาด ปกครองเป็นเคาะลีฟะฮ์ ให้เกียรติผู้อาวุโส เอ็นดูผู้น้อย

ผู้อ่อนแอ ณ ที่อบูบักร คือ ผู้เข้มแข็งจนกว่าท่านจะนำสิทธิ์ที่ผู้อ่อนแอพึงได้รับคืนมาให้เขา ผู้แข็งแรง ณ ที่อบูบักร คือ ผู้อ่อนแอจนกว่าท่านจะนำเอาสิทธิ์ของผู้แข็งแรงนั้นไปมอบคืนแก่ผู้ที่อ่อนแอ ท่านเป็นผู้ที่เดินขณะที่เหล่าแม่ทัพต่าง ๆ ขี่พาหนะ เป็นคนรีดนมแพะ แกะให้เด็ก ๆ ดื่มกิน

อบูบักรมีภรรยา 4 คน และมีลูกทั้งหมด 6 คน ท่านอยู่ร่วมกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ทั้งในดุนยาและเมื่ออยู่ในกุโบร์ (หลุมฝังศพ) เป็นสหายของท่านนบีตอนที่อยู่บ่อน้ำ และเป็นผู้ใกล้ชิดท่านนบีในวันกิยามะฮ์

อบูบักรเสียชีวิตที่มะดีนะฮ์มุเนาะวะเราะฮ์ ปีที่ 13 ฮิจเราะฮ์ศักราช ศพของท่านถูกฝังเคียงข้างบุคคลที่ประเสริฐ?สุดบนโลกนี้ ผู้เป็นนบีท่านสุดท้ายและเป็นผู้นำแห่งคนดีทั้งหลาย ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

อบูบักรผู้ไม่ลังเล





มุฮัมมัดศิดดีก อัลมินซาวีย์ : เขียน

นาอีม วงศ์เสงี่ยม : แปล

**** ไปดูเพื่อนท่านซิ ***
มุฮัมมัดศิดดีก อัลมินซาวัย์ : เขียน

นาอีม วงศ์เสงี่ยม : แปล

(จากหนังสือ : 101 เรื่องเล่าจากชีวิต “อบูบักร อัศศิดดีก”)

Jiyah Abdulloh โพสต์
………………………………………..

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ คือ อัศวินที่หน้าประวัติศาสตร์จารึกท่านไว้ในอ้อมอกแห่งอิสลาม วันหนึ่งท่านได้ยินชาวกุเรชพูดคุยกันถึงผู้เป็นเพื่อนและสหายของท่าน นั่นคือ มุฮัมมัด อัลอะมีน (ผู้ซื่อสัตย์) ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านจึงมุ่งหน้าไปหาท่านนบีดั่งสายลม เมื่อไปถึงก็นั่งคุกเข่าต่อหน้าท่าน แล้วถามด้วยความนอบน้อมว่า : มุฮัมมัด จริงหรือที่กุเรชกล่าวกันว่าท่านได้ละทิ่งพระเจ้าทั้งหลายของพวกเขา และได้ดูถูกสติปัญญาของพวกเขา ?

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า

: ใช่แล้ว ความจริงฉันคือเราะซูลและนบีของอัลลอฮ์ พระองค์แต่งตั้งฉันมาเพื่อเผยแผ่สารของพระองค์ และฉันขอเชิญชวนท่านสู่อัลลอฮ์ด้วยสัจธรรม ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่าสิ่งที่ฉันนำมานั้นเป็นสัจธรรม ฉันขอเรียกร้องท่านสู่การภักดีต่ออัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียวไม่มีภาคีใดเทียบเคียงพระองค์ ท่านต้องไม่ภักดีต่อใครนอกจากพระองค์ และการเป็นมิตรกันนั้นก็ขึ้นอยู่กับการภักดีต่อพระองค์

แล้วอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ก็ได้เข้ารับอิสลามโดยไม่รีรอ เพราะท่านรู้ถึงความซื่อสัตย์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม บุคลิกอันงดงามและมารยาทอันสูงส่งของท่านนบีที่จะห้ามท่านมิให้พูดโกหกกับผู้คน แล้วท่านนบีจะโกหกต่ออัลลอฮ์ได้อย่างไร

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เคยกล่าวว่า

: “ฉันไม่เคยชวนใครสู่อิสลามนอกจากเขาต้องลังเลพิจารณา และรอการตัดสินใจก่อนนอกจากอบูบักร เขาไม่รั้งรอและลังเลเลยขณะที่ฉันเชิญชวนเขาสู่อิสลาม”


หากมุฮัมมัดกล่าวเช่นนั้นจริง ท่านก็พูดจริง



มุฮัมมัดศิดดีก อัลมินซาวีย์ : เขียน

นาอีม วงศ์เสงี่ยม : แปล

(จากหนังสือ : 101 เรื่องเล่าจากชีวิต “อบูบักร อัศศิดดีก”)

Jiyah Abdulloh  โพสต์
………………………………………..

สายวันหนึ่ง ขณะที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั่งอยู่ในมัสญิดหะรอม ริมฝีปากของท่านกำลังปะพรมด้วยการรำลึกและกล่าวสดุดีต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา เวลานั้นเองอบูญะฮัลผู้เป็นศัตรูของอัลลอฮ์ ได้ออกจากบ้านมาทำอะไรไร้สาระรอบบัยตุลลอฮ์ เมื่อเขาได้เห็นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงเดินเข้ามาในลักษณะท่าทางที่อวดเบ่งและจองหองพร้อมกับกล่าวเชิงเหยียดหยามล้อเลียนท่านนบีว่า

: มีอะไรใหม่ไหม มุฮัมมัด ?

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงตอบไปว่า

: ฉันได้ถูกนำตัวเดินทางไปเมื่อคืนนี้

อบูญะฮัลจึงหัวเราะเยาะแล้วกล่าวดูถูกท่านว่า

: ไปไหนมาล่ะ ?

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

: ไป “บัยตุบมักดิส” มา !

อบูญะฮัลได้หยุดหัวเราะแล้วเข้าไปใกล้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กระซิบข้างหูท่านแสดงความแปลกใจว่า

: เจ้าถูกนำตัวไปที่บัยตุลมักดิสเมื่อคืน แล้วเช้านี้กลับมาอยู่กับพวกเราเนี่ยะนะ !!

แล้วเขาก็ถามท่านนบีอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่า

: มุฮัมมัด หากข้าจะเรียกรวมผู้คนให้เจ้าพูกับพวกเขาเหมือนที่เจ้าได้พูดกับข้าเอาไหม ?

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

: เอาสิ ! ฉันจะพูดกับพวกเขา

อบูญะฮัลจึงเดินไปอย่างร่าเริงเรียกรวมผู้คนและบอกกับพวกเขาถึงสิ่งที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าว ผู้คนได้รวมตัวกันหนาแน่นด้วยความแปลกใจ เสียงอื้ออึงที่แสดงการเย้ยหยันและเสียงพึมพำที่แสดงความแปลงใจดังระงม

ขณะที่พวกเขาอยู่ในสภาพนั้น มีคนกลุ่มหนึ่งได้ออกไปหาอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ อย่างเงียบ ๆ และบอกท่านถึงสิ่งที่เพื่อนของท่าน ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวถึง พวกเขาปรารถนาให้ทั้งสองท่านแตกแยกกัน และต้องการที่จะกล่าวหาว่าเพื่อของอบูบักรนั้นเป็นคนโกหก

แต่อบูบักรกลับกล่าวตอบพวกเขาว่า

: “หากมุฮัมมัดกล่าวเช่นนั้นจริงท่านก็พูดจริง”

แล้วอบูบักรก็กล่าวต่อไปว่า

: ความจริงแล้วฉันเชื่อท่านนบีในสิ่งที่มากกว่านี้เสียอีก ฉันเชื่อท่านในเรื่องราวแห่งชั้นฟ้าโดยวะฮีย์ได้มายังท่านทั้งยามเช้าและยามเย็น แล้วจะไม่ให้ฉันเชื่อท่านกับเพียงแค่ท่านเดินทางในยามค่ำคืน (อิสรออ์) ไปยังบัยตุลมักดิสอย่างนั้นหรือ?

หลังจากนั้นพวกเขาจึงผละออกจากอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ท่านจึงรีบรุดไปบ้านท่านนบีอย่างรวดเร็วดั่งสายลม พบท่านนบีกำลังสาธยายถึงบัยตุลมักดิสให้พวกเขาฟัง ทุกครั้งที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวสิ่งใดอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ก็จะกล่าวยืนยันว่า

: ท่านพูดจริง.....ท่านพูดจริง

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงขนานนามอบูบักรในวันนั้นว่า

: อัศศิดดีก (แปลว่า ผู้สัจจริง)

ไปดูเพื่อนท่านซิ




มุฮัมมัดศิดดีก อัลมินซาวีย์ : เขียน

นาอีม วงศ์เสงี่ยม : แปล

(จากหนังสือ : 101 เรื่องเล่าจากชีวิต “อบูบักร อัศศิดดีก”)

Jiyah Abdulloh โพสต์
………………………………………..

“อบูบักร ไปดูเพื่อนท่านซิ” เพียงไม่กี่คำนี้ทำให้อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ต้องรีบรุดออกไปในสภาพที่เปลือยหัวผมเผ้ายุ่งเหยิงจนกระทั่งไปถึงมัสญิดหะรอม ท่านได้พบพวกมุชริกีน (บรรดาผู้ตั้งภาคี) กำลังผลักเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ลงบนพื้นแล้วเข้าไปกระหน่ำทำร้ายท่านทั้งเตะและต่อย โดยพวกเขากล่าวว่า

: เจ้าคือผู้ที่ทำให้พระเจ้าทั้งหลายเหลือเพียงองค์เดียวอย่างนั้นหรือ?

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงได้กระโจนตัวของท่านไปเพื่อปกป้องท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านได้ผลักคนนั้นทีต่อยคนโน้นที แล้วกล่าวว่า

: หายนะจงมีแด่พวกเจ้า พวกเจ้าจะฆ่าคนเพียงเพราะเขากล่าวว่าพระเจ้าของฉันคืออัลลอฮ์ทั้งที่หลักฐานอันชัดแจ้งจากพระเจ้าของพวกเจ้าได้มายังพวกเจ้าแล้ว อย่างนั้นหรือ ?

อาลี เราฎิยัลลอฮุฮันฮ์ เคยเล่าเรื่องนี้ให้ผู้คนฟัง แล้วถามพวกเขาว่า : ผู้ศรัทธาแห่งวงศ์วานของฟิรอูน หรืออบูบักรดีกว่ากัน ?

ผู้คนต่างพากันเงียบกริบ

อาลี เราะฎิยัลลอฮุฮันฮ์ จึงกล่าวว่า

พวกท่านจะไม่ตอบฉันหน่อยหรือ ? ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่าช่วงเวลาหนึ่งของอบูบักร มีความประเสริฐกว่าเวลาทั้งหมดของผู้ศรัทธาแห่งวงศ์วานฟิรอูน เขาได้ปกปิดศรัทธาของตนเอง แต่อบูบักรได้เปิดเผยศรัทธาของท่าน!!
........................................................

**** 4. อบูบักรกับการรับอิสลามของฏ็อลฮะฮ์ ***
มุฮัมมัดศิดดีก อัลมินซาวัย์ : เขียน

นาอีม วงศ์เสงี่ยม : แปล

(จากหนังสือ : 101 เรื่องเล่าจากชีวิต “อบูบักร อัศศิดดีก”)

แกนนำชาวกุเรซได้รวมตัวกันที่ดารุลนัดวะฮ์ ภายหลังจากที่อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ได้ประกาศรับอิสลาม พวกเขาต่างรีบเร่งไปที่นั่นเพื่อปรึกษาหารือกันในเรื่องราวของอบูบักร อัศศิดดีก โดยพวกเขากล่าวว่า

: ให้ใครไปนำเขากลับมา ไปเชิญชวนเขากลับสู่พระเจ้าทั้งหลายของพวกเรา

พวกเขาจึงส่งฎ็อลฮะฮ์ อิบนุอุบัยดิลลาฮ์ ไปหาอบูบักร ฎ็อลฮะฮ์ได้ไปหาขณะที่ท่านกำลังอยู่กับผู้คน ฎ็อลฮะฮ์ตะโกนเรียกท่านว่า

: อบูบักร! ลุกขึ้นไปกับฉันหน่อย

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงกล่าวว่า

: ท่านจะเรียกฉันไปไหน ?

ฏ็อลฮะฮ์ ตอบว่า


: ฉันจะชวนท่านไปสักการะต่อ “อัลลาต” และ “อัลอุซซา”

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงกล่าวว่า

: ใครกัน “อัลลาต” ?

ฏ็อลฮะฮ์ ตอบว่า

: บุตรสาวของอัลลอฮ์ไง

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า

: แล้วใครคือมารดาของเขาล่ะ ?

ฎ็อลฮะฮ์ จึงเงียบโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว !

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงหันไปหาเพื่อน ๆ ของฏ็อลฮะฮ์ แล้วกล่าวว่า

: พวกท่านช่วยตอบแทนเพื่อนของพวกท่านหน่อย
พวกเขากลับเงียบและไม่ตอบอะไรแก่อบูบักร

ฎ็อลฮะฮ์ หันไปมองพวกเขาเป็นเวลานานขณะที่พวกเขากำลังสับสนและงงงวยอยู่ในความเงียบงันอันน่าสะพรึงกลัวนั้น ฎ็อลฮะฮ์จึงตะโกนขึ้นว่า

: ลุกขึ้นเถิดอบูบักร “ฉันขอปฏิญาณแล้วว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และขอปฏิญาณว่ามุฮัมมัดนั้นเป็นเราะซูล (ศาสนทูต) ของอัลลอฮ์”

ให้ฉันเป็นเพื่อนร่วมเดินทางใช่ไหมท่านเราะซูล ?





มุฮัมมัดศิดดีก อัลมินซาวีย์ : เขียน

นาอีม วงศ์เสงี่ยม : แปล

(จากหนังสือ : 101 เรื่องเล่าจากชีวิต “อบูบักร อัศศิดดีก”)

 Jiyah Abdulloh โพสต์
………………………………………..


ในวันหนึ่งที่ร้อนจัด ไอแดดได้แผดเผาแผ่นดินมักกะฮ์ ประหนึ่งความร้อนที่ผู้คนได้รับจากเปลวไฟ ช่วงเวลาซุฮริที่เม็ดทรายระอุทำให้ใบหน้าไหม้เกรียม ทำให้ผิวหนังราวกับถูกเผาไหม้ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้รับไปหาอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ซึ่งท่านไม่เคยไปบ้านใครในช่วงเวลาแบบนี้เลย จะไปก็แต่ตอนเช้าหรือไม่ก็ตอนเย็นเท่านั้น จนกระทั้งเมื่อวันที่อัลลอฮ์อนุญาตให้เราะซูลของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อพยพและเดินทางออกจากมักกะฮ์ต่อหน้าต่อตากลุ่มชนชาวกุเรชท่านนบีจึงใช้เวลาช่วงนี้ไปหาอบูบักร

เมื่อสายตาของอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ได้พบกับบุคคลอันเป็นที่รักของท่าน ผู้ที่เป็นที่ชื่นตาชื่นใจของท่าน ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อบูบักรจึงลุกขึ้นยืนเตรียมตัวต้อนรับท่านอย่างกระฉับกระเฉง พลางกล่าวอุทานออกมาอย่างแผ่วเบาด้วยความแปลกใจว่า : ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่เคยมาช่วงเวลานี้ นอกจากต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ

พอท่านนบีได้เข้าในบ้าน อบูบักรได้เลื่อนเตียงให้ท่าน ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงนั่งลงขณะนั้นไม่มีใครอยู่กับอบูบักรเลยนอกจากท่านหญิงอาอิชะฮ์ และอัสมาอ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา เท่านั้น

ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่ : เอาคนของท่านออกไปก่อน

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า : โอ้ท่านเราะซูล เธอทั้งสองก็คือลูกสาวของฉันเอง ไม่มีใครอีกแล้ว ฉันขอเอาพ่อแม่เป็นประกัน

ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า : อัลลออ์ได้อนุญาตให้ฉันออกจากมักกะฮ์ พระองค์อนุญาตให้ฉันอพยพแล้ว

อบูบักรถึงกับนั่งคุกเข่าพร้อมกล่าวขณะที่น้ำตาไหลอาบแก้มท่านอย่างพรั่งพรู : ให้ฉันเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง ให้ฉันเป็นเพื่อนร่วมเดินทางใช่ไหมท่านเราะซูล ?

ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า : ใช่ ให้ท่านเป็นเพื่อนร่วมเดินทางด้วย โอ้ อบูบักรเอ๋ย!

ท่านหญิงอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า : ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันไม่เคยรู้สึกก่อนวันนั้นว่าจะไม่ใครร้องไห้ได้เพราะความดีใจ จนกระทั้งฉันเห็นคุณพ่อร้องไห้ในวันนั้น

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงนำทรัพย์สินของท่านทั้งหมด (ประมาณ 5,000 ดิรฮัม) อพยพไปพร้อมกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

อบูกุฮาฟะฮ์ ชายชราอาวุโสผู้เป็นพ่อของอบูบักรที่สายตามองไม่เห็นได้กลับมาแล้วร้องตะโดนเสียงดังว่า : ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ข้ารู้ว่าเขานำทรัพย์สินติดตัวไปด้วย

อัสมาอ์ บุตรสาวของอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา จึงกล่าวว่า : ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะคุณปู่ คุณพ่อไดทิ้งความดีงามไว้ให้พวกเรามากมาย

แล้วเธอก็ได้นำเอาก้อนหินเล็ก ๆ วางตรงหน้าต่างบ้านซึ่งเป็นตำแหน่งที่อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ เคยวางทรัพย์สินของท่านไว้ตรงนั้น แล้วเธอก็คลุมผ้าบนก้อนหินเหล่านั้นแล้วก็ใช้มือคลำ และกล่าวว่า : คุณปู่คะ ลองจับทรัพย์สินพวกนี้ดูซิคะ

แล้วอบูกุฮาฟะฮ์ก็ได้จับคลำบนผ้านั้นแล้วกล่าวออกมาอย่างดีใจว่า : อย่างนั้นก็ไม่เป็นไร หากเขาทิ้งสิ่งนี้ให้กับพวกเธอ เขาก็ถือว่าทำดีแล้ว นี่ก็น่าจะพอสำหรับพวกเธอ

อัสมาอ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า

“ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า คุณพ่อไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้พวกเราเลย แต่ฉันต้องการให้คุณปู่หยุดต่อว่าท่านเท่านั้น

โรมันถูกพิชิต




มุฮัมมัดศิดดีก อัลมินซาวีย์ : เขียน

นาอีม วงศ์เสงี่ยม : แปล

(จากหนังสือ : 101 เรื่องเล่าจากชีวิต “อบูบักร อัศศิดดีก”)

Jiyah Abdulloh โำพสต์
………………………………………..

เสียงกลองแห่งสงครามได้ดังเตือนขึ้นในช่วงกลางคืนอันยาวนาน ฝุ่นควันฟุ้งตลบ เงาดาบส่องสะท้อนภายใต้ความร้อนระอุแห่งดวงอาทิตย์ อวัยวะแขนขาถูกฟันกระจัดกระจาย เสียงประกาศกึกก้องที่เมืองมักกะฮ์

: เปอร์เซีย ! ชนะพวกโรมันแล้ว!!

พวกมุชริก (บรรดาผู้ตั้งภาคี) ต่างดีใจ เนื่องจากพวกเขาและชาวเปอร์เซียต่างมิใช่ชาวคัมภีร์ด้วยกัน ส่วนบรรดามุสลิมต้องการให้โรมันมีชัยชนะเหนือเปอร์เซีย เพราะพวกเขาและชาวโรมันต่างเป็นชาวคัมภีร์ทั้งคู่

เมื่ออัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ประทานอัลกุรอานลงมาว่า

ความว่า “อะลิฟลามมีม พวกโรมันถูกพิชิตแล้ว ในดินแนดอันใกล้นี้ภายหลังจากการปราชัยของพวกเขาแล้วพวกเขาจะได้รับชัยชนะในเวลาไม่กี่ปีต่อมา” ซูเราะฮ์ อัรรูม อายะฮ์ที่ 1 – 4

อบูบักรออกจากบ้านโดยกล่าวอายะฮ์เหล่านั้นซ้ำไปมากตามหนทางของมักกะฮ์

พวกมุชริก จึงกล่าวว่า

: อบูบักร สหายของเจ้ากล่าวว่า

: “พวกโรมันจะมีชัยชนะเหนือพวกเปอร์เซียในเวลาไม่กี่ปีอย่างนั้นหรือ ?

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ตอบว่า

: ท่านนบีพูดถูกแล้ว

พวกเขาจึงกล่าวว่า

: เรามาพนันกันไหม ? (ก่อนที่จะมีบัญญัติห้ามการพนันและการเสี่ยงทาย) พวกเขาได้ตกลงกับอบูบักรที่อูฐ 4 ตัว ภายในระยะเวลา 7 ปี

เวลาผ่านไป 7 ปี โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกมุชริกจึงดีใจส่วนบรรดามุสลิมกลับลำบากใจ

อบูบักรจึงเล่าเรื่องนั้นให้กับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ฟัง ท่าน ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า

: ไม่กี่ปี ของพวกท่านมีระยะเวลาเท่าไหร่ ?

อบูบักรตอบว่า

: ไม่ถึงสิบปี

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า

: ไปหาพวกเขาแล้วขอเพิ่มอีก ขอยืดเวลาไปอีก 2 ปี

แล้วอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ก็ไปหาพวกเขาแล้วขอพนันเพิ่มขึ้นอีกโดยขอยืดเวลาไปอีก 2 ปี ไม่ทันที่จะผ่านไปครบ 2 ปี ม้าเร็วก็ได้คาบข่าวดีเกี่ยวกับชัยชนะของพวกโรมันมาแบบฉับพลัน
...................................................

**** 9. คืนเดียวของอบูบักร มีความประเสริฐกว่าวงศ์วานของอุมัรทั้งหมด *****

ช่วงเวลาก่อนร่างสางของคืนหนึ่งผู้คนต่างพูดคุยถกประเด็นกันในเรื่องที่มีบางคนกล่าวว่า อุมัรนั้นประเสริฐกว่าอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา เรื่องราวดังกล่าวได้ไปถึงหู อมีรุลมุมินีน อุมัร อิบนุลค็อฏฏ็อบ เราะฎิยัลลอฮุ (ซึ่งเป็นเคาะลิฟะฮ์ อยู่ในเวลานั้น) ท่านจึงรีบรุดมาจนกระทั่งถึงกลางวงสนทนา

อุมัรกล่าวว่า : ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ คืนเดียวของอบูบักรมีความประเสริฐกว่าวงศ์วานของอุมัรทั้งมวล วันเดียวของอบูบักรมีความประเสริฐกว่าวงศ์วานของอุมัรทุกคน

หลังจากนั้นอุมัรจึงได้เล่าเหตุการณ์เดียวของอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ บุรุษผู้ยิ่งใหญ่นี้เพื่ออธิบายให้พวกเขารับทราบถึงสถานของอบูบักร

อุมัรกล่าวว่า : ในคืนหนึ่ง ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้อกไปยังถ้ำษูรโดยมีอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันอ์ ร่วมทางไปด้วย อบูบักรได้เดินนำหน้าท่านบ้าง รั้งท้ายท่านบ้าง จนกระทั่งท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม สังเกตเห็นจึงกล่าวว่า : อบูบักร ท่านเป็นอะไรไปบางทีก็เดินข้างหลังฉัน บางทีก็มาเดินข้างหน้า ?

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงกล่าวด้วยเสียงเศร้าสร้อยว่า : โอ้ท่านเราะซูล พอฉันนึกถึงคนที่กำลังติดตามล่าตัวท่านฉันก็ไปเดินรั้งท้ายท่าน แต่เมื่อนึกถึงคนที่กำลังดักทำร้ายท่านฉันจึงต้องเดินนำหน้าท่าน

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า : อบูบักรเอ๋ย หากมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น ท่านอยากให้มันประสบกับท่านโดยฉันไม่ต้องได้รับอะไรเลยอย่างนั้นหรือ ?

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า : ครับ ! ขอสาบานต่อผู้ที่ส่งท่านมาด้วยกับสัจธรรม

เมื่อท่านทั้งสองได้ไปถึงถ้ำษูร อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ บอกให้ท่านนบีหยุดตรงนั้นโดยกล่าวว่า : อยู่ตรงนั้นก่อนครับท่านเราะซูล ปล่อยฉันให้เข้าไปก่อน หากมีงูหรืออะไรจะได้โดนฉันก่อน

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงเข้าไปในถ้ำและเริ่มคลำหารูต่างๆ ในถ้ำ ทุกครั้งที่พบรูท่านจะใช้ชิ้นผ้าจากเสื้อของท่านอุดไว้ ท่านทำอย่างนั้นกระทั่งเสื้อทั้งตัวของท่านถูกใช้หมดไป โดยที่ยังมีรูเหลืออยู่รูสุดท้าย ท่านจึงนำเท้าของท่านอุดไว้ แล้วก็ให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เข้ามา

เมื่อถึงเวลาศุบฮิ แสงสว่างเริ่มสาดส่องเข้ามาในถ้ำ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงมองเห็นว่า ไม่มีเสื้อผ้าอยู่บนตัวของท่านอบูบักร อัศศิดดีก เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ท่านนบีจึงถามด้วยความแปลกใจว่า

: เสื้อผ้าของท่านไปไหนล่ะอบูบักร ?

อบูบักรจึงเล่าให้ท่านนบีฟังถึงการกระทำของตน

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงยกมือขึ้นขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮ์

: โอ้อัลลอฮ์ ได้โปรดให้อบูบักรอยู่พร้อมกับฉัน ณ ตำแหน่งเดียวกันในวันกิยามะฮ์ด้วยเถิด

แล้วอัลลอฮ์ ตะอาลา ก็ประทานวะฮีย์ลงมาให้แก่ท่านนบีว่า : ความจริงอัลลอฮ์ได้ตอบรับดุอาอ์ท่านแล้ว

อุมัร อิบนุลค็อฏฏอบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงกล่าวว่า : ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตฉันอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์ คืนนั้นของอบูบักรมีความประเสริฐกว่าเวลาทั้งหมดของวงศ์วานอุมัร

กุรอาน สู่สวรรค์




โดย : อาจารย์มุรีด ทิมะเสน

Jiyah Abdulloh โพสต์

..................................

สายลมลำเลียงพัดผ่านเอื่อย ๆ กระทบยอดไม้พลิ้วเอนไหวเอน กระทบกระแทกระหว่างใบ เคล้าคลอผสมผสานเสียงกุรอานเป็นท่วงทำนองปกคลุมเนินสูง เป็นช่วง ๆ มีไม้ปักหมุดหัวท้าย จนชาวบ้านละแวกนั้นคุ้นชิน ภายหลังเสียงกลบดินสิ้นสุดลง

สุสานมุสลิมที่ไม่เคยเหือดหายเสียงครวญกุรอานเหนือหลุมศพใหม่....เลย

“แช ฮะ!” เสียงเด็กชายวัยสิบกว่าขวบผู้สูญเสียพ่อไปหมาด ๆ ยังคงอาลัยพ่อของเค้า นั่งเฝ้าเหนือหลุมศพ ดั่งเช่นข้าวคอยฝน รอวันพ่อกลับ (ที่ไม่หวนกลับ) มาอ้าแขนสวมกอดเขาได้อีกเลย

“แชฮะ พ่อหนูจะไปสวรรค์ไหม....ฮะ”

“ได้ไปสวรรค์สิ .... ถามได้” ผู้อาวุโสหนึ่งในคณะอ่านกุรอานปากหลุมตอบ

“ทำไม....ถึงได้ไปสวรรค์ฮะแช ?”

“อ้าว...ก็แชอ่านกุรอานให้พ่อเอ็งนี่ไง....ละ”

“แค่อ่านกุรอานให้พ่อหนู พ่อหนูเข้าสวรรค์เลยรึ.....ฮะ”

“เออสิว่ะ.....กุรอานที่อ่านให้เนี่ย อุทิศให้พ่อเอ็ง พ่อเอ็งก็ได้บุญ พอได้บุญก็ได้เข้าสวรรค์ไงละ !”

“งั้นหนูก็ไม่ต้องเรียนกุรอานแล้วสิฮะ พอหนูตาย ก็มีคนอ่านให้หนู หนูก็ได้เข้าสวรรค์ใช่ป่ะ....แช?”

“ฮืม.....” แชครางในลำคอ

“หนูดูดาวเทียมมุสลิม เค้าว่าอ่านกุรอาน แล้วนำไปปฏิบัติ จะทำให้เข้าสวรรค์”

“ดาวธง....ดาวเทียม สอนเลอะเทอะ...” แชเสริม

“งั้นหนูไม่เรียนกุรอานหละ เรียนไปก็ไม่มีประโยชน์เลยแช พอหนูตาย ก็มีคนอ่านกุรอานให้ หนูก็เข้าสวรรค์...อยู่ดี”

“ว่าแต่....แช....ฮะ”

“หนูสงสัยว่า นบีของเราสอนเราทำไมตั้งยี่สิบสามปี ก็ไม่เห็นยากเลยแช อัลเลาะฮฺให้นบีเอากุรอานมาให้ แล้วนบัก็ตายก็ได้นิฮะ อย่างไรเราก้อเข้าสวรรค์อยู่ดี พอมีใครตาย เดี๋ยวก็มีคนอ่านกุรอานให้เขาก็เข้าสวรรค์...จริงป่ะแช !”

“เอ็ง.....!!!”

“ไป....ไป๊....เองไปได้ล่ะ แชจะอ่านต่อ” แชเริ่มหงุดหงิด

แชก้มหน้าอ่านกุรอานต่อ แต่เบื้องลึกแกไม่วานจะขบคิดสิ่งซึ่งเด็กน้อยพูดทิ้งท้าย ยังคงก้องกังวานฝังโสตประสาทหูของแกอยู่แบบนั้น แบบนั้น และแบบนั้น

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อบูบักร อัศศิดดีก อยู่ในสวรรค์



กลางคืนได้คลืบคลานเข้ามาขณะที่เหล่าเศาะฮาบะฮ์ต่างรายล้อมท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ประหนึ่งดวงดาวห้อมล้อมจันทร์เพ็ญ ท่านนบีเริ่มสนทนากับพวกเขาด้วยถ้อยคำที่เรียกเร้าความสนใจ

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

: ชายคนหนึ่งจะเข้าสวรรค์โดยจะไม่มีเจ้าของบ้านและเจ้าของห้องใดนอกจากจะกล่าวแก่เขาว่า : “เชิญก่อน...เชิญก่อน...เชิญเข้ามาอยู่กับพวกเราในนี้ก่อน”

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า : ท่านเราะซูลครับ ผลบุญของชายคนนั้นในวันดังกล่าวคืออะไรหรือครับ ?

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มองไปที่อบูบักร อัศศิดดีก โดยยิ้มให้ท่านพร้อมแจ้งข่าวดีแก่ท่านว่า : ชายคนนั้นก็คือท่านนั่นเอง...อบูบักร

เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ถูกนำตัวขึ้นไปบนชั้นฟ้า ได้เข้าไปในสวรรค์ สวรรค์ที่ชื่อ อัดน์ (เอเดน) ท่านได้เห็นนางสวรรค์ (ฮุรุลอัยน์) คนหนึ่งสวยประหนึ่งจันทร์วันเพ็ญโดยท่านไม่เคยเห็นใครเช่นเธอมาก่อน ดวงตาของเธอคมกริบ

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงถามเธอว่า

: เธอเป็นภรรยาใครหรือ ?

เธอตอบว่า : ฉันเป็นภรรยาของเคาะลีฟะฮ์ (ผู้ปกครองมุสลิม) ภายหลังจากท่าน

บรรดาประตูสวรรค์



มุฮัมมัดศิดดีก อัลมินซาวีย์ : เขียน

นาอีม วงศ์เสงี่ยม : แปล

(จากหนังสือ : 101 เรื่องเล่าจากชีวิต “อบูบักร อัศศิดดีก”)

Jiyah Abdulloh  โพสต์
………………………………………..

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั่งล้อมวงอยู่กับเศาะฮาบะฮ์กลุ่มหนึ่ง กำลังพูดคุยและสนนากับพวกเรา

แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็กล่าวขึ้นว่า

: ใครที่บริจาคทรัพย์สิน 2 ส่วนในหนทางของอัลลอฮ์ เขาจะถูกเรียกจากประตูต่าง ๆ ของสวรรค์ว่า

“โอ้บ่าวของอัลลอฮ์ ! ความดีงามอยู่ตรงนี้ ใครที่เป็นผู้ละหมาดมากก็จะถูกเรียกจากประตูละหมาด ใครที่เป็นมุญาฮิดีนก็จะถูกเรียกจากประตูการทำญิฮาด ใครที่ถือศีลอดบ่อยก็จะถูกเรียกจากประตูอัรร็อยยาน ใครที่ทำทานเป็นประจำก็จะถูกเรียกจากประตูเศาะดะเกาะฮ์”

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงกล่าวขึ้นว่า

: ขอเอาพ่อแม่ฉันเป็นประกันโอ้ท่านรอซูลครับ ไม่มีความจำเป็นใดที่ใครจะถูกเรียกจากประตูเหล่านั้น (ทั้งหมด) แต่จะมีบ้างไหมที่ใครคนหนึ่งจะถูฏเรียกจากประตูเหล่านั้นทุกบาน

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า

“มีสิ หวังว่าท่านจะเป็นหนึ่งในเขาเหล่านั้น”
.......................................................

**** 15. ไม่มีอะไรนำพวกเราออกมา นอกจากความหิว ***

ขณะดวงอาทิตย์ตระหง่านกลางท้องฟ้า ความร้อนทวีความรุนแรงสาดส่องแผดเผาผืนทราย ช่วงเวลานั้นเองอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ได้ออกไปยังมัสญิด

เมื่ออุมัร อิบนุค็อฏฏ็อบ เห็นท่านจึงกล่าวว่า

: อบูบักร อะไรนำท่านออกมาในช่วงเวลาแบบนี้ ?

อบูบัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ตอบว่า : ไม่มีอะไรนำฉันออกมานอกจากฉันรู้สึกหิวมา

อุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า : ส่วนฉัน ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่าไม่มีอะไรนำฉันออกมานอกจากความหิวเช่นกัน

เมื่อทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ออกมาแล้วถามทั้งสองว่า : ท่านทั้งสองออกมาทำไมกันในช่วงเวลาเช่นนี้ ?

ทั้งสองกล่าวว่า : ไม่มีอะไรนำเราออกมานอกจากพวกเรารู้สึกหิวเป็นอย่างมากครับ !

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า : ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์ ฉันก็ออกมาเพราะความหิวนี้แหละ ลุกขึ้นมาสิไปพร้อมกับฉัน

แล้วทั้งสามท่านก็เดินไปยังบ้านของอบูอัยยูบ อัลอันศอรีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ซึ่งอบูอัยยูบได้เก็บอาหาร หรือนมไว้ให้กับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม วันนั้นท่านนบีได้ไปถึงช้า อบูอัยยูบจึงนำอาหารที่เก็บไว้ไปให้กับครอบครัวของท่าน และเดินทางไปสวนอินทผลัมเพิ้อทำงานที่นั่น

เมื่อทั้งสามท่านได้มาหยุดที่ประตูบ้านอบูอัยยูบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ภรรยาของท่านได้ออกมาแล้วกล่าวว่า : ขอต้อนรับผู้เป็นนบีของอัลลอฮฺและบุคคลที่มาพร้อมกับท่าน

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า : อบูอัยยูบอยู่ไหนล่ะ ?

อบูอัยยูบได้ยินจึงรีบมาอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า : ขอต้อนรับผู้เป็นนบีของอัลลอฮฺและบุคคลที่มาพร้อมกับท่าน! โอ้นบีของอัลลอฮ์ท่านได้มาช้าไปหน่อย

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ส่ายหัวและยิ้มพลางกล่าวว่า : ท่านพูดถูก แล้วอบูอัยยูบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ก็ออกไปเพื่อตัดเอาพวงอินทผลัมที่มีทั้งอินทผลัมแห้ง อินทผลัมสด และอินทผลัมที่ยังไม่สุด

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวด้วยความเอ็นดูว่า

: ท่านจะไม่ตัดเฉพาะอินทผลัมแห้งให้พวกเราอย่างนั้นหรือ ?

อบูอัยยูบ จึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า

: โอ้ท่านเราะซูล ฉันอยากให้ท่านได้ทานอินทผลัมทั้งแบบแห้ง แบบสด และที่ยังไม่สุก แล้วฉันจะเชือดแพะให้ท่านทานพร้อมกันด้วย

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

: หากท่านจะเชือดก็อย่าเชือดตัวที่มีน้ำนมมากนะ

แล้วอบูอัยยูบก็นำมีดมาแล้วเชือดมันและกล่าวแก่ภรรยาของท่านว่า

: ทำขนมปังให้พวกเราที

อบูอัยยูบได้แบ่งแพะครึ่งตัวนำไปแกง ส่วนอีกครึ่งตัวนำไปย่าง เมื่ออาหารถูกนำมา และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม รวมถึงสหายทั้งสองของท่านได้รับประทานกันแล้ว ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถึงกับน้ำตาไหลพลางกล่าวว่า : ขนมปัง เนื้อ อินทผลัมทั้งแห้ง สด และยังไม่สุก.....ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์ว่าแท้จริงเหล่านี้คือความสุขที่พวกท่านจะต้องถูกถามถึงมันในวันกิยามะฮ์”




ปล่อยทั้งสองไปเถิดอบูบักร


มุฮัมมัดศิดดีก อัลมินซาวีย์ : เขียน

นาอีม วงศ์เสงี่ยม : แปล

(จากหนังสือ : 101 เรื่องเล่าจากชีวิต “อบูบักร อัศศิดดีก”)

Jiyah Abdulloh  โพสต์
………………………………………..

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ได้เข้าไปในบ้านลูกสาวของท่าน อาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ในวันรื่นเริง (วันอีด) เมื่อไปถึง ท่านได้ยินเสียงเพลงและกลองหน้าเดียวดังออกมาจากบ้าน จึงรีบรุดเข้าไปข้างใน

อบูบักรพบว่า มีเด็กหญิง 2 คนชาวอันศอรกำลังร้องเพลงของทหารที่ออกศึก ขณะที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นอนเอกเขนกอยู่บนที่นอกโดยหันหน้าไปอีกทาง

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวดุทั้งสองเสียงดังว่า

: พวกเธอให้ปี่ของชัยฏอนอยู่ในบ้านของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้อย่างไร ?

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า

: ปล่อยทั้งสองไปเถิดอบูบักร แต่ละกลุ่มชนก็มีวันรื่นเริงของพวกเขาและนี่คือวันรื่นเริงของพวกเรา

เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ง่วงจึงหลับตาลง พอท่านนบีนอนแล้วท่านหญิงอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ก็ส่งสัญญาณทางสายตาให้กับเด็กหญิงสองคนนั้นแล้วเธอทั้งสองก็ออกไป
.......................................................

**** 17. อบูบักรนำเอาข่าวดีไปบอกก่อนฉัน ***

ดวงดาวกระจัดกระจายเต็มท้องฟ้ามะดีนะฮ์คลี่คลายความมืดมิดแห่งท้องฟ้า

ในเวลานั้นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อบูบักร และอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ได้แยกย้ายกันหลังจากที่ได้ร่วมพูดคุยหลากหลายเรื่องราว

ขณะที่ท่านทั้งสามกำลังเดินอยู่ตามถนนหนทางของมะดีนะฮ์ก็ได้ยินเสียงชายคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนละหมาดในมัสญิด ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงหยุดเพื่อฟังการอ่านอัลกุรอานของเขา

กระทั่งเกือบจะรู้ว่าชายคนนั้นเป็นใคร ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้กล่าวขึ้นว่า : ใครที่ปรารถนาจะอ่านอัลกุรอานอย่างบริสุทธิ์เหมือนกับที่ถูกประทานลงมาก็จงอ่านตามการอ่านของอิบนุมัสอูด หลังจากนั้นอิบนุมัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ (ซึ่งคือชายที่กำลังละหมาดอยู่) ก็นั่งลงแล้วขอดุอาอ์ เห็นดังนั้น ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็เริ่มกล่าวว่า : “ขอสิแล้วท่านจะได้รับมัน ขอสิแล้วท่านจะได้รับมัน”

แล้วท่านทั้งสามก็ได้แยกย้ายไปยังบ้านของตนเอง อุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ต้องการรีบนำข่าวดีไปบอกกับอิบนุมัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ โดยท่านกล่าวว่า

: ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า เช้านี้ฉันไปหาเขาเพื่อแจ้งข่าวดีแก่เขาอย่างแน่นอน

จากนั้นอุมัรก็เล่าว่า : แล้วฉันก็ไปหาอิบนุมัสอูดในตอนเช้าเพื่อแจ้งข่าวดีกับเขา แต่กลับพบอบูบักรกำลังออกมาจกาบ้านของอิบนุมัสอูด อบูบักรได้แซงหน้าฉันนำเอาข่าวดีไปบอกก่อน .. ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่าฉันไม่เคยแข่งขันกับอบูบักรในการทำความดีใด นอกจากเขาต้องชนะฉันเสมอ



อบูบักร กับ ฟินฮาศชาวยิว



มุฮัมมัดศิดดีก อัลมินซาวีย์ : เขียน

นาอีม วงศ์เสงี่ยม : แปล

(จากหนังสือ : 101 เรื่องเล่าจากชีวิต “อบูบักร อัศศิดดีก”)

Jiyah Abdulloh  โพสต์
………………………………………..

ในทางเดินใต้ดินของชัยฏอน แกนนำชาวยิวในมะดีนะฮ์ได้รวมตัวกัน พวกเขาเริ่มวางแผนและกลอุบายอย่างแยบยล กล่าวหาทั้งอัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์ด้วยคำพูดที่เป็นประหนึ่งมีดคอยกรีดชีวิตและเกียรติยศของผู้อื่น

ทันใดนั้น อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ได้จู่โจมเข้ามาท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยการวางแผนและความวุ่นวายท่านได้พบพวกเขากำลังรวมตัวอยู่กับชายคนหนึ่งที่รู้จักกันในนาม “ฟินฮาศ” ผู้เป็นปราชญ์และบาทหลวงของพวกเขา

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า : อนิจจาเอ๋ย ฟินฮาศ ! จงยำเกรงอัลลอฮ์ และเข้ารับอิสลามเถิด ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่าท่านนั้นรู้ว่ามุฮัมมัดคือเราะซูลของอัลลอฮ์ ท่านนบีได้นำเอาความจริง ณ อัลลอฮฺมายังพวกท่านแล้ว พวกท่านพบว่ามุฮัมมัดนั้นถูกจารึกในคัมภีร์เตารอดและอินญีลของพวกท่าน

ฟินฮาศจึงกล่าวอย่างหยาบคายว่า : ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ อบูบักรเอ๋ย พวกเราไม่ถือว่ายากจน ณ ที่อัลลอฮ์ (หมายถึงไม่ต้องการพระองค์ – ผู้แปล) อัลลอฮ์ต่างหากที่ยากจน ณ ที่พวกเขา และพวกเราก็ไม่วอนขอต่อพระองค์เหมือนกับที่พระองค์ต้องวอนขอพวกเรา พวกเรานั้นไม่ต้องพึ่งพระองค์ แต่พระองค์ต่างหากที่ต้องพึ่งพิงพวกเรา หากอัลลอฮ์ไม่ต้องพึ่งพวกเราแล้ว พระองค์ก็คงไม่ขอยืมทรัพย์สินของพวกเราตามที่สหายของพวกเจ้า (นบีมุฮัมมัด) ได้อ้างเช่นนั้นหรอก พระองค์ห้ามพวกท่านจากดอกเบี้ยแต่กลัวให้พวกเราเสียเอง หากพระองค์ไม่ต้องพึ่งพาพวกเราแล้วก็คงไม่ต้องให้ดอกเบี้ยแก่พวกเราหรอก

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ โกรธมากรับเข้าไปหาฟินฮาศและชกเข้าที่หน้าอย่างแรง จากนั้นท่านได้ตะโกนด้วยเสียงดังประหนึ่งการคำรามของสิงโตว่า : ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตฉันอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์ หากไม่มีพันธะสัญญาระหว่างพวกเรากับพวกเจ้าแล้ว ฉันจะต้องตัดคอเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าศัตรูของอัลลอฮ์

ฟินฮาศจึงไปหาเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และกล่าวทั้งน้ำตาว่า

: มุฮัมมัด ดูสิว่าสหายของท่านทำอย่างไรกับฉัน

ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวกับอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ว่า

: ทำไมท่านจึงทำอย่างนั้น ?

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ตอบว่า : โอ้ท่านเราะซูล ! ฟินฮาศผู้เป็นศัตรูของอัลลอฮ์ได้กล่าวคำพูดที่ยิ่งใหญ่ออกมา เขาอ้างว่าอัลลอฮ์นั้นยากจน และพวกเขานั้นร่ำรวย เมื่อเขากล่าวอย่างนั้นฉันจึงโกรธขึ้นมา ฉันโกรธเพื่ออัลลอฮฺและได้ชกหน้าเขา

ฟินฮาศตะโกนปฏิเสธออกมาว่า : มุฮัมมัด อบูบักรนั้นโกหก พวกเราไม่ได้พูดอย่างนั้นเสียหน่อย

แล้วอัลลอฮ์ ตะอาลา ก็ได้ตอบโต้คำกล่าวของฟินฮาศ และยืนยันถึงความสัจจริงของอบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ด้วยคำพูดของพระองค์ที่ว่า

ความว่า “แน่นอนยิ่งอัลลอฮ์ทรงได้ยินคำพูดของบรรดาผู้ที่กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ยากจนและพวกเรานั้นเป็นผู้มั่งมี เราจะจารึกสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวไว้และการที่พวกเขาเข่นฆ่าบรรดานบีโดยปราศจากความเป็นธรรมและเราจะกล่าวว่าพวกเจ้าจงลิ้มการลงโทษแห่งเปลวเพลิงเถิด” (ซูเราะฮ์ อาละอิมรอน อายะฮ์ที่ 181)
.......................................................

**** 19. อิสลามของอบูกุฮาฟะฮ์ ***

เวลาผ่านไปไม่กี่อึดใจ ภายหลังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้พิชิตมักกะฮ์ ขับไล่การคืบคลานแห่งการปฏิเสธศรัทธา และการตั้งภาคี ท่านได้เข้าไปที่บัยตุลลอฮ์ อัลหะรอม และทำลายรูปเคารพต่าง ๆ เสียงตักบีรกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ได้ดังกระหึ่มไปทั่ว จนกระทั่งอบูบักรได้ไปหาบิดาของท่าน “อบูกุฮาฟะฮ์” นำท่านผู้เป็นชายชราตาบอดออกมาหาท่านนบี

เมื่อเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เห็นอบูกุฮาฟะฮ์ออกมาจึงกล่าวเชิงตำหนิอบูบักรว่ : ทำไมไม่ปล่อยผู้ใหญ่อาวุโสไว้ที่บ้านล่ะ ฉันจะได้ไปเยี่ยมเขาด้วยตัวฉันเอง?

อบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จึงกล่าวว่า

: โอ้ท่านเราะซูล เขาเดินมหาท่านย่อมเป็นการสมควรกว่าที่ท่านจะเดินไปหาเขาด้วยตัวท่านเอง

หลังจากนั้นอบูกุฮาฟะฮ์จึงนั่งแบบคนอาวุโสอย่างสงบต่อหน้าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วท่านนบีก็ได้ใช้มืออันมีเกียรติของท่านลูบไปที่อกอบูกุฟะฮ์เพื่อให้ตะกอนสกปรกแกห่งการปฏิเสธศรัทธาได้ออกไป

และกล่าวแก่ท่านว่า : เข้ารับอิสลามเถิด

แล้วอบูกุฮาฟะฮ์ก็เข้ารับอิสลาม อัลลอฮ์ได้ให้ทางนำแก่ท่านด้วยกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม