แผนกตรวจค้น หรือ บัญชีการตรวจค้น
ผ่านไป 4 ศตวรรษของการล่มสลายของเมืองอันดะลุส นโปเลียนได้ส่งกองทัพไปพิชิตสเปนหลังจากนั้นได้ออกพระราชบัญญัติปี ค.ศ. 1808 ให้ยกเลิกแผนกตรวจค้นทั่วราชอาณาจักสเปน
นายทหารของกองทัพฝรั่งเศสคนหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่า
“เราได้เข้าไปตรวจค้นในโบสถ์แห่งหนึ่งที่เราเคยได้ยินว่ามีการกระทำการทรมาน (ต่อชาวบ้านที่นับถือต่างนิกาย และมุสลิม) จากแผนกตรวจค้น
เราพยายามค้นหาสถานที่พวกเขาใช้ทรมานคน จนกระทั่งเราเกิดความท้อแท้และเชื่อว่าไม่น่าจะมีการทรมานในโบสถ์นี้ เพราะเราได้ทำการตรวจค้นโบสถ์ทุกซอกทุกมุม ทุกชั้นทุกห้องและด้วยทุกทางแล้ว แต่เราก้ไม่เจอหลักฐานพอที่จะบอกได้ว่า โบสถ์แห่งนี้เคยมีการทรมานอย่างที่มีคนเคยเล่ากัน แล้วเราก็เตรียมตัวเพื่อที่จะออกจากที่นี่
ขณะที่พวกเราทำการค้นหากันอยู่นั้นพวกบาทหลวง(ชาวคริสเตียน) ต่างก็ยืนยันและพากันสาบานเสียงแข็งว่าข่าวลือทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเท็จ ในขณะเดียวกันหัวหน้าผู้ดูแลโบสถ์ก็ยืนยันเช่นเดียวกันว่าไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น ณ โบสถ์แห่งนี้เลย
หัวหน้าโบสถ์กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือเบาๆ เขาก้มหัวเพื่อหลบสายตาของพวกเราอย่างนอบน้อม พวกเราสังเกตเห็นว่าตาของเขาเปียกชื้นไปด้วยรอยน้ำตา ข้าพเจ้าได้สั่งให้ทหารเตรียมตัวเพื่อจะได้ออกไปจากโบสถ์นี้เสียที่ แต่ร้อยโทเดอลีล ได้ขอเวลาข้าพเจ้าในการตรวจค้นเพิ่ม เขาพูดว่า “จะว่าไปแล้วภารกิจของเรายังไม่เสร็จสิ้นนะครับท่านผู้พัน” ข้าพเจ้าได้แย้งเขาไปว่า “ในเมื่อเราได้ค้นหาทั่วทุกซอกทุกมุมของโบสถ์นี้แล้ว แต่ไม่เจออะไรเลย ท่านต้องการอะไรกันแน่ ร้อยโทเดอลีล เขากล่าวตอบกลับมาว่า “ ข้าพเจ้าต้องการค้นชั้นใต้ดินของโบสถ์นี้ เพราะใจข้าพเจ้าเชื่อว่าความลับน่าจะอยู่ชั้นใต้ดินนี้แหละ”
เมื่อนักบวชได้ยินคำพูดของร้อยโทเดอลีล พวกเขาได้มองทางเราอย่างเคร่งเคลียด จึงทำให้ข้าพเจ้าต้องสั่งทหารค้นอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้สั่งให้ทหารนำพรมอันหรูหราออกไปจากพื้นของโบสถ์ แล้วข้าพเจ้าได้สั่งให้รดน้ำลงบนพื้น หลังจากนั้นก็สั่งเกตเห็นว่าน้ำค่อยๆไหลลงไปที่มุมห้องแห่งหนึ่ง ทำให้ร้อยโทเดอลีลถึงกับตะโกนออกมา เนื่องจากความดีใจ เขากล่าวว่า "ดูนี่สิ นี้คือประตู" แล้วเราก็มองตามที่ร้อยโทเดอลีลบอก ซึ่งความจริงก้ตรงตามที่เขาบอกทุกประการ ตรงมุมของห้องนั้นเป็นประตูที่ต้องเปิดด้วยวิธีการที่เจ้าเลห์และแยบยลอย่างยิ่ง นั้นก็คือการดึงสายโซ่ใต้โต๊ะทำงานของหัวหน้าโบสถ์ออกนั้นเอง
จากนั้นทหารก็ทำลายประตูด้วยพานท้ายปืนของพวกเขา ซึ่งนั่นทำให้คณะนักบวชต่างพากันหน้าซีด เมื่อประตูเปิดเราเห็นบันไดสู่ชั้นใต้ดิน ก่อนที่จะลงบันไดไปนั้น ข้าพเจ้าเดินไปตรงมุมหนึ่งที่มีเทียนขนาดใหญ่ ทันใดนั้นเองหัวหน้านักบวชได้เอื้อมมือมาแตะไหล่ข้าพเจ้าพร้อมกับพูดขอร้องว่า "อย่าเอามือที่เปลื้อนเลือดสงครามของท่านมาแตะเทียนอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์นี้เลย"
ข้าพเจ้าตอบกลับไปว่า "ท่านนักบวชมือของท่านต่างหากที่ไม่สมควรไปจับเทียนเปื้อนเลือดของผู้บริสุทธิ์(ที่พวกท่านทรมาน) และจะได้เห็นกันว่ามือใครที่สกปรกกว่าใครกันแน่ที่เป็นนักฆ่าเลือดเย็น"
ตรงมุมนั้น ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่ามีรูปขนาดใหญ่รูปหนึ่งแขวนอยู่ รูปนั้นเป็นรูปผู้นำแผนกการตรวจค้นคนหนึ่งของยุคก่อนหน้านี้ (หมายถึงรูปภาพที่ถูกนับถือบูชาให้เป็นวีรบุรุษคนสำคัญในการทรมานมุสลิมและชาวอาหรับ) เมื่อข้าพเจ้าเห็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็มุ่งลงไปในชั้นใต้ดินโดยทันที
ข้าพเจ้าเดินไปตามบันไดพร้อมทหารของข้าพเจ้าซึ่งเดินตามมาติดๆ ทหารของข้าพเจ้าทั้งหมดล้วนถือดาบอยู่ในมืออย่างเตรียมพร้อม เมื่อเราลงมาถึงห้องสี่เหลี่ยม เราพบว่าตรงกลางห้องคือศาลตัดสิน ลักษณะของมันเป็นเสาใหญ่ทำจากหินอ่อนและมีโซ่เหล็กมัดอยู่รอบๆเสา โซ่นี้มีไว้มัดจำเลยที่จะถูกตัดสินนั้นเอง
ส่วนหน้าเสาหินอ่อนนี้เป็นม้านั่งเพื่อให้หัวหน้าแผนกนั่งเพื่อทำการตัดสินผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น ถัดจากห้องนี้เราได้เข้าไปในห้องสำหรับทรมานและฉีกร่างของคนเป็น ห้องนี้ถือเป็นห้องใต้ดินที่กว้างและใหญ่มาก
เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นสิ่งต่างๆในห้องนี้ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นกลัวและขนลุก ข้าพเจ้าเกลียดชังความเลวร้ายเหล่านี้ตลอดชีวิตของข้าพเจ้า
เราได้เห็นช่องเล็กๆ ขนาดเท่ากับตัวคน บ้างก็ตั้งเป็นแนวตรง บ้างก็ตั้งเป็นแนวขวาง นั้นหมายถึงว่า นักโทษผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ ต้องยืนหรือไม่ก็นอนจนตาย ซากศพของคนเหล่านั้นยังคงมีอยู่ให้เห็น บางคนตายจนร่างกายเน่าเปื่อย บางคนก็เห็นเนื้อหลุดเป็นชิ้นๆไปแล้ว เพื่อที่จะทำให้กลิ่นเหม็นเบาบางลงบ้าง ข้าพเจ้าได้สั่งให้ทหารเปิดหน้าต่างออกซึ่งนั้นเป็นเพียงช่องลมเล็กๆ เท่านั้น
นอกจากนี้เราได้พบโครงกระดูกของคนที่ยังถูกมัดติดอยู่กับโซ่ในห้องนี้ด้วย นักโทษที่เราพบนั้นมีทั้งชายและหญิงอายุของนักโทษเหล่านั้นจะอยู่ระหว่าง 14-70 ปี เราได้ช่วยเหลือนักโทษบางคนที่ยังมีชีวิตอยู่ออกมา ซึ่งบางคนก็มีอาการร่อแร่ปางตายแล้ว
นักโทษบางคนถึงกับเป็นบ้าเพราะถูกทรมานมากและนานจนเกินไป นักโทษทุกคนต่างอยู่ในสภาพเปลือยกาย ภาพที่เห็นนั้นถึงกับทำให้ทหารของข้าพเจ้าบางคนต้องถอดเสื้อคลุมออกเพื่อให้นักโทษเหล่านั้นแทน
เราค่อยๆนำนักโทษออกจากห้องขังอย่างระมัดระวังที่ละขั้นตอน เพราะเรากลัวว่าดวงตาของนักโทษที่คุ้นชินกับความมืดมายาวนานอาจจะบอดลง หากดวงตาของพวกเขาได้เห็นแสงสว่างในทันทีโดยที่ไม่ได้มีการปรับสายตาหรือทำให้ดวงตาได้ต้องแสงที่ละนิดที่ละน้อย บรรดานักโทษต่างร้องไห้ด้วยความดีใจ บางคนถึงขนาดจูบมือจูบเท้าผู้ที่ปลดปล่อยพวกเขาให้พ้นจากการทรมานอันน่ากลัวนี้ เสียงร้องไห้นี้ระงมไปทั่วทั่งบรรยากาศ เชื่อว่าถ้าก้อนหินร้องไห้ได้ก้อนหินก็คงร้องไห้ไปด้วยแน่แล้ว
หลังจากนั้นเราย้ายไปยังห้องถัดไป ซึ่งห้องนี้ยิ่งทำให้เราขนพองสยองเกล้าขึ้นกว่าเดิม เราเห็นเครื่องมืออันน่าขยะแขยงที่ใช้ในการทรมานผู้คน หนึ่งในนั้นคือเครื่องมือสำหรับหักกระดูกและบดคนเป็นๆ เครื่องบดนี้จะเริ่มบดกระดูกจากเท้าเรื่อยไปจนถึงหน้าอก ศีรษะ และมือตามลำดับ เครื่องจะบดจนกระทั่งเนื้อแยกออกเป็นชิ้นๆ นั่นหมายความว่าอีกฝั่งหนึ่งของเครื่องบดจะเป็นช่องที่รวบรวมเนื้อและเลือดของมนุษย์ที่ถูกบด และนี่คือสิ่งที่พวกเขาได้ทำกับผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น
เราได้เห็นกล่องซึ่งมีขนาดเท่าหัวของมนุษย์ กล่องนี้เอาไว้ใช้สวมให้แก่นักโทษที่พวกเขาต้องการทรมาน พวกเขาจะผูกแขนผูกขาของนักโทษด้วยโซ่ เพื่อที่จะไม่ให้นักโทษเคลื่อนไหว ข้างบนกล่องนี้มีรูที่ถูกเจาะไว้เพื่อที่พวกเขาจะได้หยอดน้ำเย็นที่ละหยดลงบนหัวนักโทษตามเวลาที่กำหนด คือนาทีละหนึ่งหยดๆหลายคนถุกทรมานเช่นนี้จนบ้าและก็มีบางคนต้องตายจากการทรมานชนิดนี้
ต่อมาเราได้เห็นโลงที่มีฝาโลงถูกเสียบด้วยมีดและของมีคมสำหรับทรมานคนหนุ่มหรือวัยรุ่น พวกเขาจะเอาคนหนุ่มหรือวัยรุ่นโยนใส่โลง หลังจากนั้นก็จะปิดฝาโลงที่มีมีดหรือของแหลมคมปักอยู่ เมื่อโลงถูกปิดสนิทแล้ว มีดที่ปักอยู่กับฝาโลงก็จะทิ่มแทงนักโทษไปทั่วทั้งตัว
นอกจากนี้ เราได้เห็นเครื่องมือทรมานชิ้นอื่นๆอีก เช่น ตะขอแหลมสำหรับเกี่ยวลิ้นคน ซึ่งหลังจากที่มันเกี่ยวลิ้นของนักโทษแล้ว มันจะถูกดึงเพื่อให้ลิ้นนั้นออกมา แล้วลิ้นก็จะฉีกออก ตะขอบางอันใช้เกี่ยวไปที่เต้านมของผู้หญิงแล้วดึง ดั่งเช่นการดึงลิ้น เพื่อให้เต้านมฉีกออก หรือบางครั้งพวกเขาก็ตัดเต้านมทิ้งด้วยมีดไปเลยก็มี เราได้พบแส้เหล็กที่มีหนามแหลมคม แส้นี้ใช้ตีนักโทษที่ถูกให้เปลื่อย เพื่อทำให้กระดูกของเขาแตกละเอียด แล้วเนื้อก็หลุดลุ่ยออกมาเป็นชิ้น
(จากหนังสือ การตรวจค้นและศาลมืด ของ ดร.อาลี มัซฮัร ถ่ายทอดจากหนังสือแนวคิดหัวรุนแรงและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ หน้า 311-318 อารีซัน เก็นตาสา แปล)
การทรมานดังกล่าวนี้เป็นเพียงแค่การลงโทษกลุ่มคริสเตียนต่างนิกายทีไม่ลงรอยกันกับพวกเขาเท่านั้น ดังนั้นท่านทั้งหลายลองคิดดูว่าที่พวกเขาทำกับมุสลิมจะหนักขนาดไหน แน่นอนจะต้องหนักและทรมานกว่าแน่นอน